น้องชายซึ่งล่วงลับ

-A A +A
น้องชายซึ่งล่วงลับ

น้องชายซึ่งล่วงลับ

หมวดเรื่องสั้น: 

หนูยิ้มอายุสิบขวบ เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกกันติดปากว่า “หมู่บ้านข้าราชการ” เพราะหมู่บ้านแห่งนี้มีข้าราชการหลายคน หลายสาขาอาชีพมาจับจองอยู่

วันหนึ่งหนูยิ้มก็ได้รับข่าวดีจากแม่ว่าเธอกำลังจะมีน้องมาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน หนูยิ้มดีใจมาก เพราะฝันอยากมีน้องมานานแล้ว

พอกลับจากโรงเรียน ระหว่างที่พ่อของเด็กหญิงขับรถเข้ามาทางเข้าอีกด้านหนึ่งของหมู่บ้าน ตลอดทางเด็กหญิงจะถามถึงน้องน้อยของเธอเป็นระยะๆ จนพ่อของเธอขับรถกำลังจะถึงทางเลี้ยวเข้าซอยบ้าน สายตาพ่อก็เหลือบไปทางบ้านหลังหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“นั่นน้องลูกรึเปล่า..คิดว่าใช่แล้วนะ..คงหนีออกมาจากบ้านแน่เลย” หนูยิ้มรีบหันไปตามสายตาของพ่อ ก่อนเห็นเจ้าหมาขนหยิกหยอยสีขาวตัวหนึ่งกำลังเดินคุ้ยเขี่ยอะไรอยู่หน้าประตูรั้วบ้านที่อยู่ห่างไม่ไกลนัก จากนั้นพ่อก็ชะลอรถ บอกให้หนูยิ้มไปเอาน้องของเธอกลับบ้านด้วยกัน

หนูยิ้มวิ่งเข้าไปอุ้มน้องน้อยขึ้นแนบอกด้วยความยินดี แล้ววิ่งกลับมาซ้อนมอเตอร์ไซค์พ่อกลับบ้านด้วยความร่าเริง

ต่อมา แม่ตั้งชื่อน้องน้อยของเด็กหญิงว่า “มูมู่” หลังจากที่แม่และเด็กหญิงช่วยกันคิดอยู่นาน โดยชื่อที่ได้นี้ แม่ของหนูยิ้มเป็นคนตั้งให้ แม้จะเป็นชื่อที่เด็กหญิงไม่ค่อยชอบนัก เพราะเธออยากให้น้องน้อยมีชื่อที่กิ๊บเก๋ แต่เมื่อแม่ของเธอปลงใจเรียกน้องน้อยว่ามูมู่เสียแล้วจึงปล่อยเลยตามเลย

“มูมู่” คาดว่าน่าจะเป็นพันธุ์พุดเดิ้ลผสม เพราะมันไม่ได้มีเพียงขนสีขาวล้วน แต่ตรงสะโพกเจ้าหมาน้อยยังมีสีน้ำตาลแซมมาด้วย เป็นเด็กชายที่สุดแสนซุกซน พลัดหลงหรือถูกใครนำมาปล่อยที่โรงพยาบาลอำเภอที่แม่ของหนูยิ้มทำงานอยู่

มาอยู่ใหม่ๆ ครอบครัวของหนูยิ้มก็เลี้ยงมูมู่เหมือนหมาทั่วไป คือให้นอนหน้าบ้าน แต่ใครจะรู้ว่าฤทธิ์ของเจ้านี่ร้ายกาจนัก เพราะเล่นเห่าหอนทั้งคืนไม่ยอมหลับยอมนอนเพื่อจะขอเข้ามาอยู่ในบ้านด้วย

แม่เล่าว่า

“ก็ที่มันอยู่กับพี่พยาบาลที่รับเลี้ยงมูมู่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ก็เพราะอย่างนี้แหละ” หนูยิ้มจึงถึงบางอ้อ ต่อมาเธอจึงขอให้แม่อนุญาตให้มูมู่เข้ามานอนในบ้านด้วยกัน

แม่ก็พามูมู่อาบน้ำ กำจัดเห็บหมัดให้เรียบร้อยก่อนพาเข้าบ้าน

นับแต่วันนั้น มูมู่ก็ได้นอนกับคนในบ้านมาตลอด และมีเหตุการณ์หลายอย่างที่เป็นความทรงจำดีๆเกี่ยวกับมูมู่ในบ้านหลังนี้

ทุกเย็นในช่วงเปิดภาคเรียน หนูยิ้มจะมีการบ้านกลับมาทำทุกวัน วันนี้ก็เช่นกัน เธอนำการบ้านมานั่งทำหน้าโทรทัศน์ เขียนการบ้านสลับกับดูโทรทัศน์ไปด้วย

“มู่ ทำอะไรน่ะ”ขณะนั้นเอง แม่ก็เอ่ยขึ้น หนูยิ้มที่ตาจดจ่ออยู่กับการบ้านจึงเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางที่คิดว่ามูมู่อยู่ ก็เห็นน้องนั่งชิดผนัง หลับตา และสัปหงกเป็นระยะๆ

“ง่วงนอนหรือ ทำไมไม่ไปนอนดีๆ”แม่คุยกับมูมู่ที่ตาปรือขึ้นมานิดหนึ่งก่อนหลับไปอีกอย่างช่วยไม่ได้ หนูยิ้มเห็นแล้วก็อดเอ็นดูปนขำไม่ได้ สงสัยน้องคงยังระแวงครอบครัวใหม่ที่รับอุปการะ จึงไม่ยอมนอนในท่าผ่อนคลาย

เพิ่งเห็นครั้งแรกนี่แหละนะ ที่หมานั่งสัปหงก

หลายวันเข้า มูมู่ก็เริ่มคุ้นเคยกับครอบครัวใหม่ เวลาหนูยิ้มขึ้นไปนอนบนเตียง เจ้าหมาสุดดื้อก็เห่าจะเอาด้วย แต่ทั้งแม่และหนูยิ้มไม่สะดวก จึงไม่อุ้มน้องขึ้นมา แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่าไอ้ตัวแสบจะกระโจนขึ้นเตียงมานอนด้วยจนได้

สำหรับมูมู่แล้ว อยากได้อะไรต้องได้ เอาแต่ใจ และดื้อสุดๆ

พอขึ้นเตียงมาได้ เจอผ้าห่มนุ่มนิ่มก็ไถลหน้าชูก้นโด่งไปมาอย่างชอบใจทันที เห็นน้องเพลิดเพลิน หนูยิ้มก็นึกสนุกแกล้งบ้าง โดยการเอาผ้ามาคลุมมูมู่ไว้ แล้วมูมู่ก็จะหาทางมุดผ้าโผล่หน้าออกมาจ๊ะเอ๋เอง และเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง

พอยามเช้าวันใหม่มาถึง คนที่เคยเลี้ยงหมาจะเข้าใจ ว่าพวกเด็กๆเป็นนาฬิกาปลุกที่ดีได้ มูมู่จะตื่นแต่เช้า แล้วมาเห่าเรียกให้เปิดประตูบ้าน เพื่อที่มันจะได้ออกไปทำธุระส่วนตัว

เรื่องเปิดประตูนี้ มูมู่แสนฉลาด หลังจากกลับจากขับถ่ายเรียบร้อยก็จะมานั่งข่วนประตูพร้อมเห่าเรียกคนในบ้านให้เปิดให้มันเข้าอีก แต่พอนานๆไป หากประตูไหนเจ้าตัวน้อยทดลองแล้วว่าประตูไม่ได้ล็อค หรือปิดสนิทก็จะเปิดเอง โดยการเอาหน้าดันประตูบ้าง ใช้ขาหน้าเขย่าประตูบ้าง

มูมู่เป็นหมาที่กลัวแม่ของหนูยิ้ม เพราะแม่ของเธอมักจะดุ และตีมันเวลาดื้อมาก เวลามูมู่ต้องการใช้งานคน ก็จะต้องมาเรียกหนูยิ้มเสมอ ถึงแม้เด็กหญิงจะอยู่ในห้องนอน และแม่นั่งอยู่ด้านนอกก็ตาม ดูซิ ฉลาดเลือกใช้คนด้วยนะเจ้านี่

มีวันหนึ่ง พ่อซื้อไก่ทอดหน้าปากซอยมาให้มูมู่กิน และซื้อไก่ย่างห้าดาวมาให้ครอบครัวกิน เจ้ามูมู่ก็อุตส่าห์รู้ ว่าอะไรราคาแพงกว่ากัน หรูหรากว่ากัน เจ้าแสนรู้ก็เลือกที่จะแค่ดมๆไก่ทอดหน้าปากซอย แล้วหันมาเหาแย่งคนที่กำลังหยิบไก่ย่างห้าดาวกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่หันไปสนใจไก่ทอดบ้านๆสักนิด นึกแล้วเด็กหญิงก็ขำ น้องชายเธอนี่หัวสูงสุดๆ แถมเลือกกินอีกด้วย ถ้าอาหารไหนที่มูมู่กินบ่อยแล้วเบื่อ ซื้อมาให้กินอีกก็จะไม่กิน

หนูยิ้มไม่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงหมามาก่อน พอวันหนึ่ง มูมู่ไปคาบผ้าขนหนูที่ห้อยไว้ที่ประตูมาทางเธอ พร้อมทำเสียงขู่ในลำคออย่างเผ็ดร้อน แล้วแม่บอกเธอว่า

“มูมู่จะเล่นแล้วนั่น” นั่นก็เป็นครั้งแรกของเธอ ที่รู้ว่าหมาก็เล่นแบบนี้ด้วยหรือ จากนั้นแม่ก็บอกให้เด็กหญิงไปดึงผ้ายื้อแย่งเล่นกับมัน เจ้าตัวแสบก็กัดกระชาก บ้างสลัดผ้าอย่างเมามัน

แต่พีกสุดสิ ที่อยู่มามูมู่ก็คาบผ้าอะไรไม่รู้ชิ้นไม่ใหญ่มากมาใกล้ พลางสะบัดมันให้ว่อน ด้วยความที่หนูยิ้มเห็นว่าน้องจะชวนเล่น จึงเดินเข้าไปแย่งผ้านั้น

“เฮ้ยมู่ นี่มันกางเกงในใช้แล้วเว้ย!” พอรู้อย่างนั้นหนูยิ้มก็รีบยึดกางเกงในตัวนั้นยัดใส่ตะกร้าผ้าให้มิดชิดกว่าเดิมทันที เฮ้อ หมาน้อหมา หาคาบอะไรไม่รู้มาจนได้สิน่า

การเล่นสุดแปลกของหมาน้อยยังไม่จบนะ นอกจากจะเล่นผ้าแล้ว มูมู่ก็ยังชอบเล่นฟุตบอลเล็กที่มีเสียงปี๊บๆอีกด้วย แม่ซื้อให้ภายหลังจากที่มูมู่มาอยู่ในบ้านได้หลายวันแล้ว คงจะเป็นเรื่องปรกติ ที่หมามักจะให้เราขว้างบอลไปไกลๆ แล้วมันจะรีบวิ่งอย่างกระตือรือร้นไปคาบมา แต่มูมู่นี่ซิ ที่พอไปคาบมาแล้ว แทนที่จะเอามาใส่มือเด็กหญิงดีๆ น้องก็ชอบเอามาใส่มือแต่พอจะดึงออกก็ขู่คล้ายจะกัด หรือบางทีก็ไปคาบมาแล้วมานอนราบใกล้ๆ เอาลูกบอลไว้ในอ้อมแขน แล้วเห่าเรียกให้หนูยิ้มไปแย่งมา พอจะหยิบมาจริงๆน้องก็จะขู่และกัดเด็กหญิง พอเธอไม่สนใจ เจ้าหมาตัวแสบก็จะเห่าเรียกให้มาเล่นด้วยต่อ แต่พอจะมาเอาลูกบอลที่มูมู่ครองไว้ มันก็ขู่ไม่ให้อีก แต่บอกตรงนะ น้องชอบให้เด็กหญิงแย่งแล้วต้องคอยหวงอย่างนี้แหละ คงได้อารมณ์ ประมาณว่าซาดิสท์อะไรแบบนั้น เด็กหญิงก็เลยเอาใจหมาน้อยซุกซนด้วยการแกล้งจะแย่งตามที่มันต้องการ บางทีถ้าไม่มีใครเล่นด้วย มูมู่ก็มักจะคาบลูกบอลมาโยนเล่นเอง

มูมู่เป็นหมาใจดีนะ ไม่รู้สิ แต่หนูยิ้มเคยลองใจน้องชายตัวแสบหลายครั้งเหมือนกัน เวลาที่เธอแกล้งยั่วให้มูมู่โมโห จนมันกระโดดกัด เธอก็จะใช้ไม้ขอความเห็นใจด้วยการร้องว่า

“โอ๊ยยยย เจ็บบบ..โอ๊ยยย เจ็บบบ” แค่เดี๋ยวเดียวมูมู่ก็คลายเคี่ยวโง้งออกจากแขนเธอเหมือนว่า เห็นพี่สาวเจ็บมากแล้วก็นึกเป็นห่วง จึงรีบปล่อย ทำนองนั้น

มูมู่มีคู่ปรับตัวฉกาจอยู่หนึ่งตัว ทั้งบ้านพร้อมใจเรียกเจ้าตัวนั้นว่า “เหมียว” น้องเป็นแมวจรที่คุ้นเคยคนมาก เข้ามาใกล้ เข้ามาคลอเคลีย หรือนอนเล่นในบ้านบ่อยๆ ด้วยความที่มูมู่เป็นหมาพันธุ์เล็ก และเหมียวตัวค่อนข้างใหญ่กว่าแมวธรรมดา ทำให้ทั้งสองตัวขนาดไล่เลี่ยกัน

ครั้งหนึ่ง มูมู่กำลังวิ่งออกไปหน้าบ้านเพื่อเห่าคนที่ผ่านหน้าบ้านไป ขณะนั้นเอง เหมียวก็โผล่มาจากไหนไม่ทราบขวางหน้าประตูพร้อมยกกรงเล็บคมขึ้นวักหน้ามูมู่อย่างจัง แม่ก็ว่า

“ไอ้เหมียวคงอิจฉามูมู่ ได้อยู่บ้านดี มีคนเอ็นดูนะ” ก็อดขำกับความแสบของสองตัวนี้ไม่ได้

นอกจากนี้ เหมียวยังชอบมาแย่งมูมู่กินข้าว เวลาเหมียวมาแย่งกิน ก่อนมูมู่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเหมียวใจเด็ดมาก กล้าต่อกลอนกับเจ้าแสบได้ มูมู่ก็ได้แต่เห่าประท้วง จะเข้าไปกัดบ้าง เหมียวก็ยกหมัดมวยแมวสอยหน้าซะเลย

ถึงเวลานอนอีกครั้ง มูมู่ชอบมากที่จะขึ้นไปนอนทับผ้าห่มนุ่มๆ แต่คงไม่เป็นไรหรอก หากผ้าห่มนั้นจะไม่ต้องใช้ร่วมกับคน เพราะดึกๆไป มูมู่ชอบมากที่จะเข้ามานอนทับผ้าห่ม บางทีก็มานอนเอาตรงระหว่างขา เล่นทำให้พี่สาวอดไม่ได้ที่จะต้องยันมันออกให้ลุกไปนอนที่อื่น ไม่งั้นก็เปลี่ยนท่านอนอื่นบ้างไม่ได้เลย

หลายเดือนผ่านไป จนถึงช่วงสัปดาห์ของเทศกาลหยุดยาว แม่ก็พาหนูยิ้มและมูมู่ออกเที่ยวต่างจังหวัด ระหว่างทาง แม่ของเด็กหญิงแวะปั๊มน้ำมันเพื่อเติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำ พอรถมาจอดบริเวณหน้าห้องน้ำแล้วก็ปล่อยมูมู่ลงมาวิ่งเล่นทำธุระส่วนหมาบ้าง

แม่ปล่อยให้มูมู่ทำธุระอยู่ครู่ จึงพาหนูยิ้มไปเข้าห้องน้ำบ้าง แต่ก็ไม่ลืมที่จะเรียกเจ้าหมาน้อยให้ตามมาด้วยกัน แต่เจ้าดื้อรึจะสนใจ มันเอาแต่ทำอาณาเขตของตนเองไว้ถ่ายเดียว แม่จึงทิ้งไว้ที่ลานจอดรถ แล้วพาหนูยิ้มมาเข้าห้องน้ำก่อน

เสร็จแล้วแม่ก็พาเด็กหญิงมาขึ้นรถ แล้วตนเองก็แวะไปซื้อของในเซเว่นสักหน่อย กลับมาที่รถอีกทีก็ตามหามูมู่ไม่เจอ

คราวนี้เป็นเรื่องเลย แม่ออกเดินตามหา ร้องเรียกเจ้าแสบไปทั่วลานจอดรถ หนูยิ้มก็เป็นห่วง แต่ตอนนั้นช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะดวงตาของเธอมองไม่เห็นแล้ว เนื่องจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่ จึงได้แต่นั่งภาวนาให้แม่เจอน้องน้อย

ขณะนั้นเอง แม่ก็นึกอะไรได้ เอะใจจึงพาตนเองกลับไปดูที่หน้าเซเว่น เผื่ออาจจะเจอมูมู่อยู่แถวนั้น

ที่หน้าเซเว่น เจ้าหมาพุดเดิ้ลสีขาวตัวหนึ่งนั่งหน้าสลอนอยู่ใกล้ประตูเซเว่น พลางหันจ้องไปที่ประตูซึ่งมีคนเดินเข้าออกพรุกพร่านอย่างตั้งตาคอย ใกล้ๆกันนั้นมีคุณลุงใจดีนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ก็ลูบหัวเจ้าดื้ออย่างเอ็นดู

จนกระทั่งแม่ไปเห็น แล้วเอ่ยเรียก

“มูมู่!” เจ้าหมาน้อยหันมาเห็นว่าเป็นคนที่ตัวมองหาอยู่ก็รีบวิ่งมาหาด้วยความดีใจทันที เกือบไปแล้ว เกือบถูกทิ้งอีกรอบแล้วซีเจ้าตัวดี

เหตุการณ์ที่แสดงให้รู้ว่ามูมู่นี้แสนฉลาด และฟังภาษาคนรู้เรื่องยังมีอีกนะ

หลังจากที่แม่รู้แล้วว่ามูมู่นี้หัวดี ต่อมา เวลาเดินทางแล้วแวะเข้าห้องน้ำที่ปั๊ม แม่ก็จะปล่อยมูมู่ทำธุระส่วนหมาตามลำพัง (แต่ผู้เขียนไม่แนะนำให้เอาแบบอย่างนะ เพราะน้องอาจพลาดถูกรถเหยียบ หรือคนอุ้มหายไปได้) ซึ่งตอนนั้นหนูยิ้มก็เป็นห่วงเหมือนกัน แต่ไม่อยากพูดมากกับแม่ เพราะถ้าแม่ไม่ฟัง พูดเยอะไปก็พานจะทะเลาะกันเสีย

“มูมู่ ทำธุระเสร็จแล้วให้มารอที่นี่นะ!”แม่ร้องบอกมูมู่ที่ง่วนอยู่กับการชิ้งฉ่อง เจ้าแสบหันมาดูนิดหนึ่ง แม่ชี้จุดที่ให้มูมู่รออยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ ก่อนกลับไปทำธุระส่วนหมาต่อ แล้วแม่ก็พาหนูยิ้มเข้าห้องน้ำ

หนูยิ้มทำธุระในห้องน้ำด้วยความกังวล กลัวน้องชายที่รักจะเป็นอันตราย แต่เวลาผ่านไปครู่ พอแม่ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ออกมาจากห้องน้ำข้างๆ

“อ้าว มูมู่ ทำธุระเสร็จแล้วหรือ เก่งมากๆ”เสียงแม่ทักเจ้าหมาน้อย พอหนูยิ้มที่ยังทำธุระในห้องน้ำไม่เสร็จได้ยินอย่างนั้นก็ถามขึ้น

“แม่ มูมู่มาแล้วเหรอ!”

“มาแล้ว นั่งอยู่หน้าห้องน้ำนี้แหละ!”แม่ขานตอบ พอหนูยิ้มเข้าห้องน้ำเรียบร้อย แม่จึงเล่าให้ฟังว่า เจ้าแสบมานั่งรอหน้าห้องน้ำตรงจุดที่แม่เคยบอกมันไว้ก่อนหน้านี้หน้าสลอนเลย

รู้อย่างนั้น หนูยิ้มก็ปลื้มน้องชายจอมป่วนของตนเองมากขึ้นไปอีก เพราะประทับใจในความแสนรู้ของมัน

อยู่ด้วยกันนานไป ก็จะรู้ว่า หมาอย่างมูมู่พกมาทั้งความฉลาด แสบ และยังมีความเจ้าเล่ห์พ่วงมาอีกด้วย

บริเวณหมู่บ้านของหนูยิ้ม นอกจากมูมู่แล้ว ก็ยังมีบ้านอื่นที่เลี้ยงหมาเหมือนกัน และเป็นพันธุ์ตัวโตกว่าเจ้าตัวน้อยของเธอเสียอีก

พวกหมาเหล่านั้นไม่ชอบมูมู่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่แม่ของเธอก็เข้าข้างลูกชายตัวเองว่า

“พวกนั้นคงเห็นมูมู่หล่อเลยอิจฉาเนอะ”วันนั้นแม่คุยกับมูมู่ที่หน้าบ้าน

ทุกเย็นแม่จะปล่อยมูมู่ให้ออกไปวิ่งเล่นหน้าบ้านบ้าง เพราะภายในเขตรั้วบ้านค่อนข้างพื้นที่น้อย มูมู่ก็จะวิ่งเล่นตามประสาหมาๆเพียงตัวเดียว เพราะพรรคพวกอย่างบ้านอื่นเขาไม่มี

ขณะเพลิดเพลินอยู่กับการทำอาณาเขตยังเสาไฟฟ้าต้นต่างๆในบริเวณนั้น จู่ๆ หมาพันธุ์บางแก้วตัวโตก็วิ่งตรงเข้ามาจะกัดมูมู่ ด้วยสัญชาตญาณรักชีวิตของสัตว์โลก เจ้ามูมู่ก็รีบวิ่งหน้าตั้งมาหาแม่ที่กำลังกวาดใบไม้บริเวณถนนหน้าบ้านอยู่

แต่เจ้าหมาตัวใหญ่วิ่งเร็วกว่า ก็เข้าถึงตัวและขย้ำมูมู่จนร้องเจ็บปวด

แม่หันมาตามเสียงร้อง เห็นมูมู่กำลังถูกหมาตัวใหญ่กว่าทำร้าย ก็รีบออกไปเอาไม้กวาดทางมะพร้าวไล่ คราวนี้มูมู่จึงรอดจากคมเคี่ยวคมของฝ่ายคุกคามมาได้

หมาตัวนั้นเห็นคนมีอาวุธและคาดว่ากำลังเหนือกว่าก็รีบหนีไป แต่ขณะนั้นเองไอ้แสบก็วิ่งวกกลับไปหาเขา ใช้โอกาสทีเผลอ กระโดดฝากคมเคี่ยวไว้กลางหลังของเจ้าตัวโตกว่าทีหนึ่ง จากนั้นรีบแจ้นหนีมาอย่างผู้มีชัย

มันน่าภูมิใจมั้ยเนี่ย?....

อ้อ อีกเรื่องหนึ่ง พักหลังๆมานี้มักได้ยินคนที่รักหมาแมวเรียกตนเองว่า ทาสของสัตว์ชนิดนั้นๆ เช่น ทาสหมา, ทาสแมว ที่เขาว่ากันหนูยิ้มก็เห็นจริง

เพราะตนเองก็ประสบกับตัวมาแล้ว

มูมู่ ใหม่ๆก็ดีหรอก ช่วยเหลือตนเองได้ค่อนข้างดี แต่นานๆไปไม่รู้เป็นไร ความสามารถในการเปิดประตูเองหล่นหาย

จากที่เจ้าแสบเคยใช้ปากหรือขาหน้าบ้างตามสมควรเปิดประตูเข้าออกเองได้ เดี๋ยวนี้ไม่ทำละ เรียกพี่มันนี่มาเปิดให้

บ๊อก! บ๊อก! เสียงดังมาจากห้องรับแขกหน้าบ้าน

บ๊อก! บ๊อก!

และเสียงก็จะดังอยู่อย่างนั้นจนกว่ามันจะสมใจ

หนูยิ้มเดินออกมาดูตามเสียงเรียกซึ่งเห่าอยู่หน้าประตูบ้านด้านใน ก็รู้ว่าน้องชายเธอต้องการจะออกไปด้านนอก

เธอเดินไปแตะประตู ทันใดนั้นเองบานประตูไม้หนาก็อ้าออกอย่างง่ายดาย ชนิดที่เธอรู้ดีว่า ประตูลักษณะปิดไม่สนิทแบบนี้ ถ้าไอ้หมาบ้านไม่ขี้เกียจก็สามารถใช้ปากดันเปิดเองได้เลย เพราะก่อนหน้านี้มันก็ทำเองบ่อยๆ

ฮื่ม....

บางทีก็เหมือนกัน ประตูมุ้งลวดถ้าไม่ได้ใส่กลอนไว้เจ้าแสบก็จะใช้ขาหน้าเขย่าให้เปิดได้

แต่ช่วงหลังสิ เรียกทาสมาเปิดค่า เจ้านายยืนเห่าเฉยๆอย่างหน้าด้านๆ

แบบว่า เอ่อ...เปิดเองมั้ยเพ่

สิ่งที่แสบสันเหลือหลาย แต่หนูยิ้มก็คิดว่าน้องคงไม่ได้ตั้งใจหรอก คือ การตดใส่พี่มันหน้าตาเฉย

มีใครเคยถูกหมาตดใส่บ้าง หนูยิ้มอยากบอกว่า เหม็นเหมือนแก๊สพิษจากตูดคนเลย

หนูยิ้มก็เลยโวยวายลั่น แต่มูมู่สิ ทำหน้าไร้เดียงสาใส่ ประมาณว่า ‘ฮะ ผมทำอะไรผิดเหรอ ตดเป็นเรื่องธรรมชาติ’

คุณสมบัติหนึ่ง ที่หลายคนซึ่งเคยเลี้ยงหมาจะรู้ นั่นคือ หากหมาน้อยได้รับความกรุณาจากใครแล้ว มันจะรักและภัคดีต่อคนนั้นตลอดชีวิต หนูยิ้มรับประกันได้ว่าเป็นอย่างนั้น

แต่ยังไง เราก็ต้องดูอารมณ์และนิสัย หรือสัญชาตญาณของน้องด้วย เพราะหมาก็เหมือนคน หากอยู่ในสภาวะอารมณ์ไม่ปกติ จิตสำนึกของการระวังภัยย่อมเกิด หรืออาจเหมือนคนที่ว่า บันดาลโทสะ

“ฮือๆๆ”หนูยิ้มนั่งร้องไห้คนเดียวในห้องนอนของเธอ เพราะวันนี้ทะเลาะกับเพื่อนสนิทมาอีกครั้งแล้ว จะไประบายกับพ่อแม่ ก็ต่างวุ่นวายอยู่กับการหาเงิน จนแทบไม่มีเวลามาเอาใจใส่

ระหว่างนั้น เจ้าขนหยิกขาวตัวหนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้ และยื่นหน้าเข้ามาเลียมือของเธอคล้ายปลอบประโลม

หนูยิ้มสัมผัสได้ว่า น้องคงอยากจะโอ๋เธอ จึงอุ้มน้องมากอดไว้ในอ้อมอก และร้องไห้เงียบๆ

สำหรับคนที่เคยมีเพื่อนแบบนี้ คิดเหมือนกันรึเปล่า ว่าเขาแคร์เรา และสัมผัสได้ว่าเรากำลังแย่

ถึงแม้จะปล่อยเจ้าตัวน้อยลงแล้ว มูมู่ก็ไม่ได้ทิ้งหนูยิ้มไปไหน มันนอนลง และเอาหัวมาวางบนตักพี่สาวเหมือนจะบอกว่า

“ผมอยู่เป็นเพื่อนนะ”

มูมู่เป็นเพื่อนยามทุกข์ที่ดี ไม่น้อยไปกว่าองครักษ์ที่ยอดเยี่ยม

เพราะวันหนึ่ง น้องสาวเพื่อนบ้านของหนูยิ้มมาเยี่ยมที่บ้าน ตอนนั้นมูมู่ก็ไม่ได้อยู่ห่าง ขณะที่หนูยิ้มและน้องคนนั้นเล่นหยอกล้อกัน จึงมีบางครั้งที่รุ่นน้องตีเข้าที่แขนหนูยิ้มดัง เผียะ! เล็กๆ

แต่ด้วยความไร้เดียงสาของหมาน้อย ก็นึกว่าพี่สาวถูกทำร้าย จึงกระโจนเข้างับมือรุ่นน้องของหนูยิ้มทันที โชคดีที่เธอเอามือหลบทัน มูมู่ก็ยืนจังก้าขวางระหว่างหนูยิ้มกับรุ่นน้องคนนั้นไว้อย่างป้องกันภัย

รุ่นน้องเพื่อนบ้านเห็นอย่างนั้น ก็นึกหมั่นไส้ จึงแกล้งตีหนูยิ้มอีกหลายครั้ง มูมู่ก็ทำหน้าที่ปกป้องอย่างแข็งขัน

ช่วงหยุดการเรียนผ่านไป หนูยิ้มก็ไปโรงเรียนแต่เช้าตรู่ โดยมีแม่และมูมู่มาส่งขึ้นรถเหมือนทุกวัน และกลับมาตอนเย็น หนูยิ้มก็จะได้อยู่กับมูมู่ตามลำพัง เพราะแม่ทำงานเลิกสองทุ่ม

หลังจากเข้ามาในบ้านและปิดล็อคประตูเรียบร้อย หนูยิ้มก็เข้าไปทำการบ้านในห้องส่วนตัว จนเวลาประมาณหัวค่ำ

ครืง....กึกกัก กึกกัก ซ่าๆๆ เสียงแผ่นดินใต้บ้านสั่นสะเทือน พร้อมข้าวของที่ขยับตาม และต้นไม้ด้านนอกสั่นไหวอย่างรุนแรง

เกิดอะไรขึ้น! หนูยิ้มรู้สึกเหมือนบ้านถูกยักษ์ตัวโตเขย่า และมีปีศาจร้ายกำลังคุกคามบ้านเธออยู่ด้านนอก พื้นที่เหยียบเคลื่อนไหวไปมา

หนูยิ้มตกใจ พยายามตั้งสติกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านเธอตอนนี้ จึงคิดได้ว่า แผ่นดินไหว

เธอกลัวจนตัวสั่น แต่ยังรู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร

หนูยิ้มนึกถึงน้องชายตัวจ้อยของเธอ ที่ตอนนี้ไม่รู้ไปนอนที่ไหน เกรงว่าอาจเกิดอันตรายกับบ้านหลังนี้ จึงออกปากเรียก

“มูมู!....มูมู่!....” เรียกอย่างนั้นอยู่สองสามครั้ง ตอนแรกหนูยิ้มก็เกรงว่าเจ้าแสบจะไม่ยอมออกมา เพราะเคยรู้มาว่า สัตว์พวกนี้จะรู้เหตุการณ์ธรรมชาติล่วงหน้า และมันอาจหาที่หลบภัยไปก่อนเราแล้ว

แต่หนูยิ้มก็ใจชื้นขึ้น เมื่อหมาน้อยเดินเงียบๆเข้ามาสู่อ้อมแขนที่อ้ารอ

เธอรีบอุ้มมูมู่ไปหาที่ปลอดภัยทันที

ผ่านเหตุการณ์วันนั้นมาได้ หนูยิ้มก็คิด ปรกติแล้ว ถ้าสัตว์ไม่รักเจ้าของ หรือหวาดกลัวจนเอาตัวรอดไปก่อน คงจะไม่ออกมาหาเจ้านายที่กำลังร้องเรียกมันด้วยความเป็นห่วง

แต่นี่มูมู่ยอมออกมา หนูยิ้มคิดว่าน้องชายของเธอคงรู้ว่าพี่สาวเป็นห่วงและต้องการเพื่อน

หลายปีผ่านไป มูมู่อายุมากขึ้น และต้องบอกก่อนว่ามูมู่ระบบท้องไส้และขับถ่ายไม่ค่อยดีนัก ตามประสาหมาพันธุ์นี้ ประกอบกับครอบครัวของหนูยิ้มไม่มีความรู้ในการเลี้ยงหมามากนัก จึงเลี้ยงตามมีตามเกิด

และวันนั้น มูมู่ก็ได้กินอาหารบางอย่าง ซึ่งทำให้ท้องไส้และระบบขับถ่ายมีปัญหาอีกแล้ว ทั้งมูมู่ก็ตัวเหม็นมาก แม่เกรงว่ามูมู่จะสกปรกเกินไปจนอาจนำเชื้อไวรัสมาติดคนในบ้าน จึงจับล่ามไว้หน้าบ้าน

ผ่านไปหลายวัน อาการไม่ดีขึ้น แม่จึงพามูมู่ไปหาหมอ

และเธอก็ได้รับข่าวร้าย ภายในรูจมูกและก้นของน้องชายเธอตอนนี้เต็มไปด้วยหนอนยั้วเยี้ย ซึ่งอาจไม่รอด หมอรักษาได้เพียงฉีดยาให้ แต่อาการมูมู่ตอนนั้นไม่ค่อยดีแล้ว ไม่มีแรงลุกเดิน พ่อแม่คุยด้วยก็ทำมึนๆเบลอๆ

หนูยิ้มเห็นดังนั้น ก็ออกไปนั่งเฝ้ามูมู่หน้าบ้าน แต่นั่งเว้นระยะห่างประมาณเมตรครึ่ง เพื่อป้องกันเชื้อโรค และเธอก็ร้องไห้ ร้องไห้กับอาการไม่สู้ดีของน้องชายที่รักของเธอ

หนูยิ้มนั่งร้องไห้ต่อหน้ามูมู่ด้วยความเอ็นดูสงสาร

“พี่ขอโทษที่เลี้ยงมูมู่ไม่ดี ไม่ทันระวังว่าน้องจะเป็นถึงขนาดนี้” เพราะหลายครั้งเวลามูมู่มีปัญหาระบบขับถ่ายก็ปล่อยไว้ซักพักหรือไปหาหมอก็หาย

แต่เธอพลาดเอง

ขณะหนูยิ้มนั่งร้องไห้ เธอก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบของใบไม้แห้งที่มักปลิวจากหน้าบ้านมาตกในบริเวณนั้นที่แม่ล่ามมูมู่ไว้ เสียงเหมือนมูมู่ขยับลุก และพยายามเดินเข้ามาหา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ใครๆคุยอะไรกับมูมู่ ก็ไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด

มูมู่คงพยายามเข้ามาปลอบใจเธอเหมือนเคย

เสียงกรอบแกรบดังได้ครู่ เหมือนเชือกที่มัดมูมู่อยู่สุดตรงนั้น พร้อมกับแรงที่เหือดหาย

หลังจากนั้นไม่กี่วัน น้องชายของเธอก็จากไป

หนูยิ้มออกมาจับร่างมูมู่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะนั่งสวดมนต์ส่งวิญญาณมูมู่ตรงนั้น น้ำตาที่ไหลคือการสั่งลาครั้งสุดท้ายของเธอ

รักแกนะ

หมดกรรมแล้วนะเจ้าแสบ

ต่อไปนี้ไปเกิดเป็นคนนะ

ลาก่อนน้องรัก...โชคดี

***ฝากเผจด้วยจ๊ะจ๋า

https://m.facebook.com/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%...

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.