บทที่ 442: ข้ากลัวว่าจะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้

-A A +A

บทที่ 442: ข้ากลัวว่าจะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้

มู่ไป๋ไป่ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรแล้วเดินตรงไปที่สวนด้านหลังตำหนักอวี๋ชิง

แม้ว่าฐานะของซูหว่านจะเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา แต่นางก็ยังคงอาศัยอยู่ในตำหนักเล็กๆหลังเดิม

มู่ไป๋ไป่เดินเข้าไปในเรือนที่คุ้นเคยซึ่งไม่ได้มานานแล้วมองผู้เป็นแม่ที่กำลังงีบหลับโดยเอามือเท้าคางไว้ พร้อมกับความรู้สึกที่ได้ย้อนกลับไปในวัยเด็ก

ในเวลานั้นเธอเพิ่งทะลุมิติมาที่โลกนี้ และเธอได้สร้างปัญหาไว้มากมายเพราะเธอสามารถเข้าใจภาษาสัตว์

แต่ไม่ว่าเธอจะเจอเรื่องวุ่นวายอะไรจากภายนอก หรือคนอื่นจะพูดถึงเธอว่าอย่างไร ตราบใดที่เธอกลับมาที่ตำหนักอวี๋ชิง ซูหว่านก็ยังอ่อนโยนกับเธอเสมอ

นางไม่เคยพูดจารุนแรงกับเธอเลยสักครั้ง

เมื่อนางกำนัลกำลังตั้งท่าจะปลุกซูหว่าน มู่ไป๋ไป่ก็รีบห้ามอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วค่อย ๆ ก้าวเดินให้เบาที่สุดไปนั่งลงด้านข้างก่อนจะศีรษะพิงไหล่นางเบา ๆ

ที่เรือนหลังนี้เงียบสงบมาก มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนดังขึ้นเป็นครั้งคราว นั่นทำให้หัวใจของหญิงสาวสงบลงได้ในไม่ช้า

“อืม… ไป๋ไป่ เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเจ้าถึงไม่ปลุกแม่?” ซูหว่านลืมตาขึ้นมองลูกสาวที่กำลังซบไหล่ตนราวกับเด็กน้อย ซึ่งภาพนั้นทำให้นางอมยิ้มเอ็นดู “เจ้านี่มันเด็กดื้อจริง ๆ โตแล้วก็ยังเอาแต่ใจตัวเองอีก”

พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าท่านแม่ตื่นแล้ว นอกจากเธอจะไม่ยอมลุกขึ้น เธอยังทิ้งตัวลงไปนอนในอ้อมแขนของอีกคนพร้อมกระซิบว่า “ไม่ว่าข้าจะอายุเท่าไหร่ ข้าก็ยังเป็นลูกน้อยของท่านเสมอ!”

ซูหว่านรู้สึกขบขันกับคำพูดของลูกสาว “ใช่ ๆ ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ เจ้าก็ยังเป็นเด็กในสายตาแม่อยู่ดี”

“อาหารเย็นหมดแล้ว แม่จะสั่งให้คนเอาไปอุ่นมาให้ เจ้าเร่งเดินทางมาตั้งหลายวันคงจะหิวมากสินะ”

ในขณะที่ผู้เป็นแม่กล่าว นางก็เตรียมตัวจะลุกขึ้นเพื่อไปจัดเตรียมอาหารให้ลูกสาว แต่นางกลับถูกมู่ไป๋ไป่ห้ามเอาไว้

“ไม่ต้องหรอกท่านแม่ อาหารยังอุ่น ๆ อยู่ ข้าจะกินแบบนี้แหละ” ในตอนที่หญิงสาวอยู่ตำหนักตี้เฉิน เธอกินอะไรไม่ค่อยลง

เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอคิดว่าอาหารพวกนี้ลี่เฟยเป็นคนปรุงเอง เธอก็อยากจะโยนตะเกียบทิ้งไปเสียทุกรอบ

ในเวลานี้มู่ไป๋ไป่ไม่สนใจที่จะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองอีกต่อไปและใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่ได้กินอาหารในวังหลวงมานานแล้ว อร่อยมากเลยเพคะ….”

พอซูหว่านเห็นลูกสาวพูดทั้งที่ยังมีอาหารเต็มปาก นางก็แสดงสีหน้าเจื่อน ๆ โดยไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือโมโหดี “เจ้าค่อย ๆ กินเถอะ ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก กินช้า ๆ ลงหน่อย เดี๋ยวจะสำลักเอา ถ้าอาหารไม่พอ แม่จะสั่งให้คนไปทำมาเพิ่ม”

“พอแล้วเพคะ” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าซ้ำ ๆ คราวนี้เธอรอจนกว่าจะกลืนอาหารในปากจนหมดแล้วจึงพูดว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าเอาแต่ดูข้ากิน ท่านก็มากินด้วยกันสิ”

“ท่านแม่ ท่านผอมลงอีกแล้ว ตอนที่ข้าไม่อยู่ท่านได้กินข้าวดี ๆ บ้างหรือไม่?”

มู่ไป๋ไป่ก้มหน้าลงต่ำขณะคีบอาหารให้ผู้เป็นแม่โดยพยายามระงับความรู้สึกอยากจะร้องไห้เอาไว้ 

เธอกับซูหว่านติดต่อทางจดหมายกันอยู่เป็นประจำ และนางก็มักจะเขียนข่าวดีมาในจดหมายตลอด ซึ่งนางไม่เคยกล่าวถึงเรื่องไม่ดีเลย

ถ้าไม่มีท่านพี่รัชทายาท เธอคงไม่รู้ว่าลี่เฟยถูกปล่อยตัวออกจากตำหนักเย็น และยังให้กำเนิดองค์ชายน้อยแก่มู่เทียนฉงอีกด้วย

ในตอนนั้นซูหว่านคงจะรู้สึกเศร้าใจมาก

“กินสิ แม่กำลังจะกินแล้ว” ยามนี้คนเป็นแม่มองดูแก้วตาดวงใจของตนทั้งน้ำตา “แม่คีบอาหารเองได้ ไป๋ไป่กินสิ อาหารพวกนี้แม่เตรียมเอาไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ”

จากนั้น 2 แม่ลูกก็ผลัดกันคีบอาหารใส่ชามอีกฝ่าย หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ดูเหมือนว่าอารมณ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นเล็กน้อย

ต่อมา ซูหว่านเอ่ยปากบอกให้คนรอบตัวออกไป ก่อนจะจับมือลูกสาวมาพูดอย่างลังเลว่า “เจ้าเพิ่งไปพบเสด็จพ่อของเจ้ามา ดังนั้นเจ้าคงจะรู้เรื่องของลี่เฟยแล้ว”

มู่ไป๋ไป่ไม่ได้บอกท่านแม่ว่าเธอรู้เรื่องลี่เฟยมาตั้งแต่แรก เธอจึงลดเปลือกตาลงเพื่อซ่อนอารมณ์ในใจและพยักหน้าเบา ๆ “ข้ารู้ ตอนพี่รองกับข้าอยู่ที่ตำหนักตี้เฉิน ลี่เฟย… แม่นางหลัวก็ทำอาหารมาส่ง”

“ท่านแม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านยังมีข้าอยู่ ท่านอย่าได้เศร้าไปเลย”

“ข้าคิดว่าจะต้องมีสาเหตุบางอย่างแน่ ๆ ที่ท่านพ่อทำเช่นนี้ ข้าจะช่วยท่านสืบเอง”

“อย่าเลยไป๋ไป่ ช่วงนี้เจ้าทำตัวดี ๆ เถอะ” ซูหว่านยิ้มจาง ๆ ขณะกล่าวว่า “แม่ไม่เคยขอให้เสด็จพ่อของเจ้าโปรดปรานแม่เพียงคนเดียวเลย ดังนั้นแม้ว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตให้ลี่เฟยออกจากตำหนักเย็น แม่ก็ไม่สนใจ ขอเพียงแค่นางไม่ทำร้ายเจ้าอีก แม่ก็ไม่สนใจนาง”

แต่ถ้าหากลี่เฟยจ้องจะทำร้ายมู่ไป๋ไป่เหมือนที่เจ้าตัวเคยทำในอดีต นางย่อมไม่มีวันปล่อยอีกฝ่ายไปแน่นอน

“ท่านแม่…” หญิงสาวรู้สึกเศร้าใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ 

“เอาล่ะ แม่ไม่เป็นไร ที่แม่พูดเช่นนี้กับเจ้าก็เพื่อไม่ให้เจ้าทำอะไรหุนหันพลันแล่น” ซูหว่านพูดพลางตบหลังมือลูกสาวเป็นการปลอบเบา ๆ “นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าเจ้ายังต้องไปเข้าเฝ้าไทเฮาอีก”

“ไทเฮาส่งคนมาถามไถ่ถึงเจ้าหลายวันแล้ว เจ้าจะไปสายไม่ได้เด็ดขาด”

พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ต่อ เธอจึงหยุดบทสนทนาแล้วกล่าวลาท่านแม่ก่อนจะกลับห้องตัวเอง

ในขณะที่หญิงสาวนอนอยู่บนเตียง ความเหนื่อยล้าก็เพิ่งจะถาโถมเข้ามาใส่เธอ

“องค์หญิงหก ให้หม่อมฉันปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พระองค์ดีหรือไม่เพคะ?” หลัวเซียวเซียวเดินเข้ามาถามคนบนเตียงเบา ๆ

ทว่ามู่ไป๋ไป่ยังคงเหม่อมองไปบนเพดานแล้วพูดถึงเรื่องอื่น “เซียวเซียว รอจนกว่าข้ากับพี่รองไปเข้าเฝ้าไทเฮาพรุ่งนี้เสร็จแล้ว เจ้าจึงจะสามารถออกจากวังไปพร้อมกับพี่รองของข้าได้”

“องค์หญิงหก!” ใบหน้าของหลัวเซียวเซียวถอดสีทันที นางไม่สนใจกฎเกณฑ์ใด ๆ แล้วก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว “องค์หญิง หม่อมฉันไม่ไปเพคะ พระองค์อยู่ที่ไหนหม่อมฉันก็จะอยู่ที่นั่น”

“อีกอย่าง องค์ชายรองกับหม่อมฉันยังไม่ได้แต่งงานกัน หม่อมฉันจะ—”

“หา? นี่เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” มู่ไป๋ไป่ยิ้มให้อีกคนพร้อมกับทำหน้าหยอกล้อ “ข้าบอกไปแล้วว่าเรื่องนี้แล้วแต่เจ้ากับพี่รองจะตกลงกันเอาเอง ไม่มีใครบังคับอะไรเจ้าได้ เพียงแต่สถานการณ์ในวังหลวงตอนนี้มันซับซ้อนมากขึ้น ข้ายังไม่มั่นใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรกันแน่”

“แล้วเจ้าส้มก็ยังไม่กลับมา ข้ากลัวว่าจะปกป้องเจ้าเอาไว้ไม่ได้”

“เจ้าตามพี่รองของข้าออกไปจากวังหลวงก่อน อย่างน้อยข้าก็จะได้สบายใจเมื่อพวกเจ้าทั้ง 2 อยู่ด้านนอก เพียงเท่านี้ข้าก็จะสามารถจัดการกับลี่เฟยได้โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง”

เธอเคยเปิดโปงแผนการของลี่เฟยกับราชครูตัวปลอมคนนั้นเมื่อตอนเธออายุเพียง 5 ขวบ เพราะฉะนั้นอีกฝ่ายไม่มีทางปล่อยเธอไปง่าย ๆ แน่

สุดท้ายนางก็หาหนทางกลับเข้าสู่วังหลังได้ คนผู้นั้นจะต้องใช้โอกาสนี้ทำเรื่องไม่ดีอย่างแน่นอน

“แต่ว่า…” หลัวเซียวเซียวยังคงไม่ยินยอม นางแทบไม่เคยแยกจากองค์หญิงหกเลยตั้งแต่ยังเด็ก

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น!” พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าสหายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เธอจึงแสร้งทำเป็นโมโห “นี่คือคำสั่ง!”

“ถ้าหากเจ้ายังนับว่าข้าเป็นเจ้านายของเจ้า เจ้าก็ต้องเชื่อฟังข้า พรุ่งนี้เจ้าจงทำตามที่ข้าบอก”

“แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมรับว่าข้าเป็นเจ้านายก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เจ้าก็สามารถออกจากวังไปเพื่อใช้ชีวิตกับแม่ของเจ้าให้ดี”

“องค์หญิงหก!” ดวงตาของหลัวเซียวเซียวพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “พระองค์ตรัสเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ…”

มู่ไป๋ไป่ลอบถอนหายใจและยกมือขึ้นแตะศีรษะของอีกฝ่ายเหมือนตอนที่พวกเธอยังเด็ก ก่อนจะกล่าวว่า “เพราะข้ารู้จักเจ้า ถ้าข้าไม่พูดแบบนี้ เจ้าจะยอมไปดี ๆ หรือไม่?”

“ครั้งนี้ลี่เฟยมาด้วยเจตนาร้าย เจ้าเองก็เป็นคนของตระกูลหลัวด้วย ข้ากลัวว่านางจะพุ่งเป้ามาที่เจ้าเป็นคนแรก”

“เซียวเซียว เจ้าไปกับพี่รองของข้าเถอะ อย่างน้อยเขาก็ปกป้องเจ้าได้ ข้าจะได้รู้สึกโล่งใจ”

หลัวเซียวเซียวเม้มปากแน่นจนเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เมื่อเห็นว่ามู่ไป๋ไป่ได้ตัดสินใจไปแล้ว นางจึงทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย “องค์ชายรองกับหม่อมฉัน…”

“แต่องค์หญิง พระองค์ต้องสัญญากับหม่อมฉันว่าหากองค์ชายรองเสด็จเข้ามาในวังหลวง ขอให้พระองค์ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันมากับองค์ชายรองด้วยเพคะ”

มู่ไป๋ไป่คิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี ดังนั้นเธอจึงตอบตกลงทันที และสั่งให้หลัวเซียวเซียวคอยดูแลเซียวถังถังกับอวี้หวานหว่านที่อยู่ด้านนอกแทนตน

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.