บทที่ 377 บังเหียน
บทที่ 377 บังเหียน
“ตอนนี้พวกเรากำลังจะประชุมกันในพื้นที่พิเศษ นายอยากจะเข้าร่วมการประชุมด้วยไหม?” เจียงเจ๋อส่งข้อความมาถาม
ปัจจุบันลู่หยางได้มอบหมายการจัดการกิลด์ส่วนใหญ่ไปให้กับเจียงเจ๋อแล้ว หน้าที่ของเขามีเพียงแค่การควบคุมทิศทางของกิลด์เท่านั้น ส่วนเรื่องการบริหารยิบ ๆ ย่อย ๆ จะเป็นหน้าที่ของเจียงเจ๋อ, ถูเฟิง, เซี่ยหยู่เว่ย, ฉิงชางและเหล่าบรรดาแกนหลักที่จะคอยแบ่งหน้าที่กันบริหารเอง
“โอเค เดี๋ยวฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย” ลู่หยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
—
ในพื้นที่พิเศษ
ถูเฟิงกำลังสรุปสถานการณ์ของวันนี้ให้ทุกคนได้ฟัง แต่เมื่อทุกคนได้เห็นลู่หยางปรากฏตัวขึ้นมาพวกเขาต่างก็ลุกขึ้นเพื่อต้อนรับ
“นั่งลงเถอะ ส่วนถูเฟิงก็พูดต่อได้เลยฉันแค่มีข่าวดีจะมาแจ้งให้กับทุกคน” ลู่หยางกล่าว
“ข่าวดีอะไรเหรอครับ/ค่ะ?” ทุกคนกล่าวด้วยแววตาอันเป็นประกาย
“ใจเย็น ๆ ให้ถูเฟิงพูดให้จบก่อนแล้วฉันค่อยแจ้งให้ทุกคนทราบทีเดียว” ลู่หยางตอบ
ทุกคนหน้ามุ่ยขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็พยายามอดทนรอฟังข่าวดีต่อไป เพราะท้ายที่สุดทุกสิ่งที่ลู่หยางบอกว่าเป็นข่าวดี มันก็มักจะเป็นข่าวดีที่ทำให้ทุกคนตื่นเต้นได้จริง ๆ
ถูเฟิงส่งเสียงกระแอมขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพูดต่อไปว่า
“ฉันจะพยายามพูดให้จบโดยเร็วที่สุดก็แล้วกันนะ วันนี้พวกเราได้รับวีดีโอยืนยันการสังหารสมาชิกของดีวายโซล 13,200 คลิปและได้จ่ายเงินออกไป 1,320 เหรียญทอง ส่วนฝ่ายตรงข้ามจัดการกับพวกเราไปได้ 3,502 คน ซึ่งฉันก็ได้จ่ายเงินค่าช่วยเหลือไปให้กับพวกเขา 300 เหรียญทอง สิริรวมแล้ววันนี้พวกเราใช้เงินไปทั้งสิ้น 1,620 เหรียญทอง”
“ทำไมฉันรู้สึกว่าการทำสงครามแบบนี้มันไม่ค่อยคุ้มเลยนะ” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างจนใจ เพราะเงินจำนวน 1,600 กว่าเหรียญทองมันก็สามารถแปลงเป็นเงินได้เกือบ ๆ 500,000 เครดิต
“มันใช้เงินมากไปจริง ๆ ครับ” ไป๋เหลิงกล่าว
“พวกเราควรหยุดเอาไว้เท่านี้ดีไหม?” ถูเฟิงถาม
เซี่ยหยู่เว่ย, ไป๋เหลิงและทุกคนต่างก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
ลู่หยางคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะส่ายหัวและพูดว่า
“คงสถานการณ์นี้เอาไว้ก่อน หากสงครามยังคงเป็นไปแบบนี้ต่อไป โซลออฟอีเทอนิตี้จะเป็นคนที่เสียเปรียบมากกว่าพวกเราและมันก็ยังจะทำให้ศัตรูประมาทพวกเราอีกด้วย”
“ฉันเพิ่งได้รับข่าวมาว่าบลัดไทแรนท์นำกองกำลังเร่งเก็บเลเวลกันอย่างเต็มที่ บางทีเขาอาจจะตกลงกับโซลออฟอีเทอนิตี้เพื่อโจมตีพวกเราหรือเปล่า?” ถูเฟิงกล่าว
สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้บลัดไทแรนท์กลายเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ที่กำลังขวางคอพวกเขาไปแล้ว เพราะเมื่ออีกฝ่ายได้รวมกิลด์ทั้ง 3 ของตัวเองกลายเป็นกิลด์เดียว พวกเขาก็ได้ครอบครองป้อมปราการถึง 3 แห่งโดยอัตโนมัติ และด้วยม้วนคัมภีร์ป้อมปราการมันก็จะทำให้สมาชิกภายในเมืองทั้ง 3 สามารถเทเลพอร์ตไปมาเพื่อเป็นกองสนับสนุนกันได้ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันบลัดบราเธอร์เพียงกิลด์เดียวก็ยังไม่มีกำลังมากพอจะจัดการกับบลัดเติสตี้ได้ และถ้าหากจะให้บลัดเติสตี้มาจัดการกับพวกเขาก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน วิธีการเดียวคือโซลออฟอีเทอนิตี้และบลัดไทแรนท์จะต้องจับมือกันเพื่อรวบรวมกองกำลังมาโจมตีพวกเขาในคราวเดียว
อย่างไรก็ตามระยะห่างระหว่างกองกำลังทั้งสองก็อยู่ค่อนข้างไกลกันมาก และกิลด์ของโซลออฟอีเทอนิตี้ก็ไม่สามารถที่จะรวมเข้ากับกิลด์ของบลัดไทแรนท์ได้อีกด้วย ดังนั้นลู่หยางจึงคิดว่าอย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ใช่ภัยคุกคามต่อบลัดบราเธอร์เป็นการชั่วคราว
“ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาแล้วนำคนของเราเร่งเก็บเลเวลต่อไป ตอนนี้สมาชิกในกิลด์ของเรามีชุดอุปกรณ์ระดับทองเลเวล 30 กันกี่คนแล้ว?” ลู่หยางถาม
“16,506 คน” ถูเฟิงตอบ
ลู่หยางพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ เนื่องจากเรื่องนี้คือรากฐานอันแข็งแกร่งที่ทำให้ยังไม่มีกิลด์ไหนกล้ามาโจมตีพวกเขา เพราะทุกกิลด์ที่จะเข้ามาโจมตีจะต้องคิดให้ดี ๆ ว่าพวกเขาจะรับมือกับกองกำลังชุดทองทั้ง 16,000 กว่าคนนี้ได้ยังไง
เมื่อลู่หยางเห็นว่าไม่มีใครพูดเรื่องอะไรอีกต่อไปแล้วเขาถึงพูดขึ้นมาว่า
“เอาล่ะ ฉันขอประกาศข่าวดีเลยก็แล้วกัน ช่วงนี้ทุกคนช่วยกันเตรียมรายชื่อเอาไว้ให้ฉันด้วย ฉันน่าจะได้รับใบเปลี่ยนอาชีพมาประมาณ 60 ใบ เอาเป็นว่าฉันจะกระจายให้แม่ทัพทั้ง 6 คนคนละ 10 ใบจะได้ไม่ถือว่าเป็นการลำเอียงเข้าข้างใครคนใดคนหนึ่ง”
คำพูดของลู่หยางทำให้ฉิงชาง, เซี่ยหยู่เว่ยและแม่ทัพคนอื่น ๆ เบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น เพราะใบเปลี่ยนอาชีพจะได้รับมาจากการสังหารบอสเลเวล 30 ขึ้นไปเท่านั้น น่าเสียดายที่ในแต่ละแผนที่มีบอสอยู่เพียงแค่ตัวเดียว ดังนั้นตลอดทั้งสัปดาห์พวกเขาจึงสามารถรวบรวมใบเปลี่ยนอาชีพกันได้เพียงแค่กองทัพละประมาณ 5 ใบ
อย่างไรก็ตามลู่หยางกลับประกาศจะมอบใบเปลี่ยนอาชีพให้กับพวกเขาคราวเดียวถึง 10 ใบ ซึ่งมันก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการหาใบเปลี่ยนอาชีพให้กับลูกน้องไปได้มากพอสมควร
“หัวหน้า คุณช่วยพวกเราได้มากเลยครับ” บิทเทอร์เลิฟกล่าว
“ถ้าไม่มีพวกนาย ฉันก็ทำตัวสบาย ๆ แบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน” ลู่หยางตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนต่างก็ส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างตลกขบขัน
เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในข้อดีของลู่หยาง เพราะเขาสามารถมอบหมายงานให้กับลูกน้องได้อย่างสบายใจ ไม่ว่ามันจะมีข่าวอะไรหลุดรอดออกมาลู่หยางก็จะเชื่อแต่แม่ทัพทั้ง 6 คนนี้เท่านั้น และเขาก็จะไม่รับฟังข่าวลือใด ๆ ที่หลุดออกมาทั้งสิ้น
หลังจากคุยเล่นกันอีกสักพัก ลู่หยางก็ออกไปพักนอกเกม
—
“พี่ครับตอนนี้ฝั่งเผ่าอสูรเริ่มทำสงครามกันแล้ว ดูเหมือนกลุ่มทุน 4 กลุ่มกำลังแย่งชิงอำนาจเพื่อควบคุมเผ่าสัตว์อสูรทั้งหมด ตอนนี้สถานการณ์เลยค่อนข้างที่จะตึงเครียดมากเลยครับ” มู่ยี่กล่าว
ลู่หยางพอจะจำเรื่องนี้ได้อยู่เหมือนกัน ซึ่งในตอนนั้นกวางซิงกรุ๊ป, ตงเซียงกรุ๊ป, เทียนหัวกรุ๊ปและจงเทียนกรุ๊ปของลิ่วเจียได้ทำสงครามกันเพื่อแย่งชิงอำนาจในเผ่าสัตว์อสูร
สงครามได้ดำเนินกันไปอย่างยาวนาน ซึ่งในที่สุดลิ่วเจียที่ควบคุมเผ่ามนุษย์และเผ่าเอลฟ์ได้สำเร็จก็นำกองกำลังจากเผ่าอื่นเข้าไปเป็นกำลังเสริมและเอาชนะกลุ่มทุนอื่น ๆ อีก 3 กลุ่มได้สำเร็จ
“เดี๋ยวพี่ขอคิดก่อนก็แล้วกัน ว่าพี่จะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี” ลู่หยางกล่าว
—
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากออกกำลังกายจนเสร็จ ลู่หยางก็เข้าสู่เกม
“อาจารย์ครับ ของสำหรับพวกฮั่นเฟยเสร็จแล้วหรือยังครับ?” ลู่หยางถามหลังจากเดินทางมาหาฮั่นจง
“เสร็จแล้ว ทุกคนยอมทำงานทั้งคืนเลยนะกว่าจะสร้างสิ่งที่นายขอได้ 5 ชุด” ฮั่นจงตอบ
“เยี่ยมเลยครับ แบบนี้ตอนไปเก็บเลเวลในแผนที่เลเวลสูง ๆ พวกเราก็ไม่ต้องกลัวตายกันแล้ว” ลู่หยางกล่าว
—
หลังจากพูดลาจากฮั่นจงแล้วลู่หยางก็มุ่งหน้าตรงไปยังพระราชวัง
เมื่อผู้เล่นมีเลเวลจนถึง 35 ทางระบบจะเปิดฟังก์ชั่นสัตว์ขี่ให้ได้ใช้งาน ซึ่งสัตว์ขี่จะช่วยเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ให้กับผู้เล่นตั้งแต่ 50%-150% การเดินทางจากแผนที่หนึ่งไปยังอีกแผนที่หนึ่งจึงสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น โดยปกติการเดินทางจากป้อมปราการวินด์ธันเดอร์ไปยังป้อมปราการซีดราก้อนจำเป็นจะต้องใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง แต่ถ้าหากผู้เล่นใช้สัตว์ขี่ในระหว่างการเดินทาง มันก็จะทำให้ระยะเวลาการเดินทางลดลงเหลือเฉลี่ยเพียงแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหากผู้เล่นต้องการที่จะมีสัตว์ขี่ พวกเขาก็จำเป็นจะต้องซื้อบังเหียนมาเพื่อทำการฝึกสัตว์เสียก่อนและบังเหียนแต่ละอันก็มีราคาสูงถึง 100 เหรียญทอง
ชายหนุ่มเดินไปยังคอกสัตว์บริเวณทางซ้ายของปราสาท ก่อนที่เขาจะได้เจอกับ NPC ผู้ดูแลที่มีชื่อว่าเกรย์
“ขอซื้อบังเหียนหน่อยครับ”
“อันละ 100 เหรียญทองครับ” เกรย์ตอบกลับอย่างสุภาพ
ลู่หยางหยิบเงินออกมาจ่าย 500 เหรียญทองพร้อมกับรับบังเหียนสีแดงเข้มมา 5 ชิ้น
“คุณสามารถใช้บังเหียนพวกนี้เพื่อฝึกสัตว์ที่คุณชอบได้ แต่การฝึกสัตว์ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ หากคุณต้องการม้าคุณก็สามารถซื้อจากผมไปได้เลย” เกรย์กล่าว
ม้าที่ถูกขายจากทางตัวเกมมีราคาอยู่ที่ 50 เหรียญทอง แต่มันกลับสามารถเพิ่มความเร็วได้เพียงแค่ 70% เท่านั้น ซึ่งลู่หยางก็มองว่ามันไม่ค่อยคุ้มค่ามากเท่าไหร่
“ผมขอลองไปจับสัตว์ป่ามาเป็นสัตว์ขี่ก่อนก็แล้วกัน” ลู่หยางตอบ
“วิธีการดีที่สุดสำหรับการจับสัตว์ป่าคือการใช้อาหารล่อพวกมันเข้าสู่กับดัก จากนั้นคุณก็ใช้น้ำยามอมเมาสัตว์เพื่อให้พวกมันมึนงงแล้วใช้บังเหียนในการควบคุมพวกมันซะ” เกรย์กล่าวแนะนำ
ลู่หยางเลือกซื้อพลั่ว, เนื้อกวาง 50 ชิ้นและน้ำหอมมอมเมาสัตว์จากเกมมาอีก 10 ขวด ซึ่งมันก็ได้ใช้เงินไปอีก 50 เหรียญทอง
หลังจากเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วลู่หยางก็ได้ท่องคาถาเทเลพอร์ตกลับไปยังวิหารเทพอสูร จากนั้นเขาก็เดินทางผ่านวิหารเทพอสูรเพื่อกลับมายังช่องโหว่บนเพดานภายในสปิริตอะคาเดมี่อีกครั้งหนึ่ง
“พี่ลู่หยางกลับมาแล้ว” ฮั่นอิ่งพูดอย่างดีใจ
“ตอนนี้พวกเธอเลเวลเท่าไหร่กันแล้ว?” ลู่หยางถามด้วยรอยยิ้ม
“เลเวล 39 แล้วครับ” ฮั่นเฟยพูดอย่างภูมิใจ ซึ่งความจริงแล้วความเร็วในการเก็บเลเวลของพวกเขาก็อยู่ในระดับที่ไม่เลวเลย
“ดีมาก ทุกคนมาเอาของรางวัลพวกนี้ไปคนละ 1 ชุดนะ” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับมอบแว่นตาก็อบลิน, เออีดีและโล่คลื่นเสียงให้กับทุกคน
ฮั่นอวี่หยิบแว่นตาก็อบลินขึ้นมาสวมใส่ ก่อนที่เขาจะอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า
“โอ้โห! แว่นนี่มันช่วยให้ผมมองได้ไกลขึ้นเยอะเลย”
“หากมีโล่อันนี้มันก็เหมือนว่าผมมีสกิลเอาชีวิตรอดเพิ่มอีกอัน” เสี่ยวเหลียงกล่าว
“ตอนนี้หนูมีเออีดีแล้ว เดี๋ยวหนูขอทำหน้าที่แทนนักบวชก็แล้วกัน” มู่หยูกล่าวอย่างน่ารัก
“ขอบคุณนะคะพี่” ฮั่นอิ่งกล่าว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 162
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น