บทที่ 430: เหตุใดจึงต้องตีหน้าเศร้า?
“หืม?” มู่จวินเซิ่งมองตามสายตาของมู่ไป๋ไป่ไปและเห็นว่าคืนนี้พระจันทร์บนท้องฟ้าถูกเมฆปกคลุมไปจนเกือบมิดแทบมองไม่เห็นอะไรเลย
ทางด้านหญิงสาวดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นท่าทีสับสนของพี่ชายคนรอง เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “พี่รอง ร่างกายของท่านแข็งแรงดี หลังจากได้กินยาของหุบเขาหมอเทวดา พิษในร่างกายของท่านเกือบจะขจัดไปจนสิ้นแล้ว ขอเพียงท่านพักผ่อนอีก 2-3 วัน ท่านก็จะหายเป็นปกติ”
“เซียวเซียว ข้าคงต้องรบกวนให้เจ้าคอยดูแลพี่รองของข้าอีกสักหน่อย”
หลัวเซียวเซียวตั้งใจฟังคำสั่งและคำแนะนำของอีกฝ่ายพร้อมกับพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “องค์หญิงหก พระองค์ไม่ต้องเป็นห่วง หม่อมฉันจะคอยดูแลองค์ชายรองให้ดีเพคะ”
“ดีมาก” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจพลางกะพริบตาส่งสัญญาณให้มู่จวินเซิ่ง “ สำหรับคนของตระกูลเฉิน พรุ่งนี้เช้าข้าจะส่งคนไปสืบดู ตอนที่เราไปวันนี้เราไม่เจอสมาชิกของตระกูลเฉินแม้แต่คนเดียว อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาหรือนี่เป็นเพียงกับดักที่สำนักตระกูลถังวางเอาไว้ ความเป็นไปได้ทั้ง 2 นี้ทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น”
เมื่อหญิงสาวพูดถึงตระกูลเฉิน ทุกคนก็มีสีหน้าจริงจังมากขึ้น
“ไป๋ไป่ การที่คนของสำนักตระกูลถังอยู่ที่นี่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ข้าคิดว่าพวกเขาคงวางแผนเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว” มู่จวินเซิ่งกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว “อีกไม่กี่วันเราจะมุ่งหน้าเข้าสู่เขตเมืองหลวงแล้ว ข้ากลัวว่า…”
“พี่รอง ท่านกับข้ามีความคิดเหมือนกัน” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเธอรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “ถังเป่ยเฉินตั้งใจจะหาเรื่องหุบเขาหมอเทวดา แต่สถานการณ์บังคับให้เขาต้องยอมแพ้ไปเสียก่อน เขาเป็นคนใจแคบ ในเมื่อแผนการของเขาไม่สำเร็จ เขาจะต้องหาทางแก้แค้นอย่างแน่นอน เขาคงจะคอยติดตามเรามาโดยตลอด”
“ข้าเขียนจดหมายแจ้งท่านพี่รัชทายาทเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เราก้าวเข้าไปในเขตเมืองหลวง ข้าขอให้เขาช่วยตรวจสอบคนของสำนักตระกูลถังในเมืองหลวงด้วย เราจะไม่ยอมให้พวกเขาสร้างปัญหาในวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮาแน่นอน”
เธอเป็นถึงองค์หญิงลำดับที่ 6 ของแคว้นเป่ยหลง หากเธอยอมให้สำนักตระกูลถังมาข่มเหงและก่อปัญหาในอาณาเขตของเธอเอง เช่นนั้นคนอื่นจะไม่เอาเรื่องนี้มาหัวเราะเยาะเธอหรอกหรือ?
หากว่าถังเป่ยเฉินไม่กลัวตายแล้วพาฉู่เสวียนเข้าไปในเมืองหลวง
เธอก็จะให้เขาได้ลิ้มรสการถูกสังคมตีตราว่ามันรู้สึกอย่างไร!
ทางด้านมู่จวินเซิ่งยิ้มโล่งใจเมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาว “ข้าคิดมากไปเอง ไป๋ไป่ เจ้าเป็นคนฉลาดมาตั้งแต่เด็ก เรื่องที่ข้าคิดได้เจ้าย่อมคิดได้เช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากนี้พี่รองจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่”
“ส่วนคนของพี่รอง เจ้าสามารถใช้งานพวกเขาได้ตามต้องการ หากพวกเขาไม่เชื่อฟังเจ้า เจ้าก็จัดการได้ตามสมควร อย่าได้เกรงใจพวกเขา”
“อีกอย่าง เจ้าก็ไม่ควรละเลยเรื่องของเสด็จอา คราวที่แล้วเสด็จอาได้รับลูกธนูแทนเจ้า เจ้าจะต้องทำตัวสุภาพกับเสด็จอามากกว่านี้ เจ้าจะทำตัวเหมือนตอนเป็นเด็กไม่ได้อีกแล้ว เข้าใจหรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่แอบเถียงอยู่ในใจเงียบ ๆ ว่าผู้ชายคนนั้นช่วยชีวิตเธอไว้ก็จริง แต่เธอได้ตอบแทนเขาไปแล้วไม่ใช่หรือ?
ถ้านับกันจริง ๆ แล้วเซียวถังอี้เป็นหนี้ชีวิตเธอมากกว่าอีก!
“ข้ารู้ ข้ารู้แล้ว ท่านขี้บ่นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” หญิงสาวกลัวว่าพี่ชายคนรองจะคอยจู้จี้ไม่หยุด เธอจึงเอามือปิดหูแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดว่า “ท่านรีบพักผ่อนเถอะ”
“เราจะออกเดินทางตามกำหนดเดิมในวันพรุ่งนี้ หากตอนนั้นบาดแผลของท่านยังไม่หายดี ระหว่างการเดินทางท่านคงจะทรมานไม่น้อย หากเป็นเช่นนั้นท่านก็อย่ามาโทษข้าเสียล่ะ”
หลังจากพูดจบเธอก็ดึงเซียวถังถังออกไปโดยไม่รอให้มู่จวินเซิ่งตอบอะไร
“เจ้าเด็กคนนี้นี่…” ชายหนุ่มหัวเราะพลางส่ายหัวเบา ๆ ขณะมองน้องสาวเดินหายออกไปทางประตู “นางน่าเป็นห่วงจริง ๆ”
ทางด้านหลัวเซียวเซียวได้รินชาใส่ถ้วยและส่งให้แม่ทัพหนุ่มพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน “องค์หญิงหกดูเหมือนจะเป็นกังวลเรื่องนี้มากเพคะ”
นางเติบโตมากับมู่ไป๋ไป่ ทั้งคู่จึงแทบไม่เคยแยกจากกัน
ตัวนางนั้นได้มีส่วนร่วมในเรื่องวุ่นวายและเรื่องตลกขบขันเกือบทั้งหมดที่องค์หญิงหกเคยประสบมา
เรื่องพวกนี้อาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ละเรื่องมันทำให้นางรู้สึกชื่นชมมู่ไป๋ไป่มาก
สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าบุกเข้าไปในตลาดผีเพื่อช่วยเหลือสัตว์จำนวนมากในตอนอายุเพียง 4 ขวบ
“จริงอย่างที่เจ้าพูด” มู่จวินเซิ่งรับถ้วยชาจากหญิงสาวมา เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจ “ถ้าไม่มีไป๋ไป่ ข้าเกรงว่าเราคงไม่รู้แผนการของหนานซวนก่อนล่วงหน้า บางทีตอนนั้นประชาชนชาวเป่ยหลงอาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเช่นนี้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
…
แน่นอนว่ามู่ไป๋ไป่รู้ว่ามู่จวินเซิ่งกับหลัวเซียวเซียวกำลังพูดถึงตนอยู่ เธอจึงรีบวิ่งให้เร็วที่สุดเพราะไม่อยากได้ยินพี่ชายพูดเรื่องเธออีก และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เธออยากให้ 2 คนนั้นได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น
แต่ใครจะไปรู้ว่าหัวข้อการสนทนาสุดท้ายของพวกเขาทั้ง 2 ก็ยังคงเป็นเรื่องของเธออยู่ดี
“ไป๋ไป่ ท่านหิวหรือไม่?” เซียวถังถังกุมท้องที่ส่งเสียงร้องประท้วงของตัวเอง นางเฝ้าศิษย์พี่ใหญ่มาตลอดทั้งบ่าย นางจึงยังไม่ได้กินอะไรมากนัก
ก่อนหน้านี้หญิงสาวไม่ได้ใส่ใจดูแลตัวเองสักเท่าไหร่ พอตอนนี้เรื่องทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว นางจึงได้รู้ว่าตนหิวมากแค่ไหน
“หืม? ข้าไม่หิว” มู่ไป๋ไป่ตอบพลางเหลือบมองร่างที่นั่งตากน้ำค้างอยู่ที่ลานด้านล่างไว ๆ “ถ้าเจ้าหิว เจ้าก็ไปหาอะไรกินที่ห้องครัวก่อนเถอะ ถ้าต้องเข้านอนทั้งที่ท้องยังว่างคงไม่ใช่เรื่องดี”
“ถูกต้อง…” คนเป็นศิษย์น้องพยักหน้าเห็นด้วย แต่หลังจากที่เดินไปได้ 2-3 ก้าว นางก็หันกลับมาราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้และถามว่า “ท่านกลับห้องคนเดียวได้หรือไม่ ถ้าระหว่างทางท่านเป็นลมล้มพับขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
“ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น” มู่ไป๋ไป่โบกมือปฏิเสธพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ารีบไปเถอะ ถ้าข้ารู้สึกเวียนหัวข้าจะเรียกให้คนมาช่วย”
เซียวถังถังคิดว่าพวกนางได้จองโรงเตี๊ยมทั้งหมดเอาไว้แล้ว แค่ศิษย์พี่ตะโกนเสียงดังจะต้องมีใครสักคนได้ยินมันแน่นอน ดังนั้นนางจึงรู้สึกโล่งใจแล้วรีบวิ่งไปหาของกินที่ห้องครัว
หลังจากมู่ไป๋ไป่เห็นว่าแผ่นหลังของศิษย์น้องหายไปจากปลายทางเดินชั้น 2 เธอจึงกล้าหันไปมองคนที่ยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะหินในลานกว้างตรง ๆ
ยามนี้เซียวถังอี้นั่นหันหลังให้เธอ มันจึงทำให้เธอเห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจน
“ชิ… ดึกดื่นป่านนี้แล้วทำไมเขาถึงไม่ยอมนอน มานั่งตีหน้าเศร้าอะไรอยู่ตรงนั้น” หญิงสาวเอามือเท้าคางตรงหน้าต่างแล้วบ่นเบา ๆ
ทันทีที่เธอพูดจบ คนที่นั่งอยู่ในลานกว้างก็หันกลับมามองเธอ
ดวงตาคมดุภายใต้หน้ากากสีเงินนั้นสบเข้ากับเธอจัง ๆ
มู่ไป๋ไป่เห็นดังนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ในเวลาเดียวกัน เธอยืดตัวตรงอย่างตื่นตระหนกก่อนจะหันหลังวิ่งหนีไป
พอหญิงสาวก้าวไปได้ไม่ถึงครึ่งก้าว เธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถ้าตนหนีไปตอนนี้มันจะดูผิดปกติไม่น้อย เธอจึงบังคับตัวเองให้หันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย และสบกับนัยน์ตาที่น่าดึงดูดของเซียวถังอี้
“อะไรกัน” มู่ไป๋ไป่เชิดหน้าขึ้น เนื่องจากตอนนี้มันดึกมากแล้ว ทุกอย่างรอบตัวจึงดูมืดไปหมด ถึงแม้ว่าสายตาของชายหนุ่มจะเฉียบคมขนาดไหน แต่เขาไม่มีทางรู้ว่าใบหน้าของเธอนั้นแดงมากเพียงใด
“ข้าพูดอะไรผิดไปหรืออย่างไร?” หญิงสาวกระซิบพูดด้วยเสียงแหบพร่า
“ไม่ผิด” เซียวถังอี้ยกยิ้มมุมปากกลั้นหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไป๋ไป่เตือนได้ถูกต้องแล้ว อาคงต้องกลับไปพักผ่อนที่ห้อง”
เมื่อมู่ไป๋ไป่เห็นว่าเขาเดินออกไปทันทีที่พูดจบ เธอก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ก่อนที่สมองของเธอจะสั่งการ ร่างกายของเธอกลับมีปฏิกิริยาไปก่อน “ช้าก่อน…”
“หืม?” เซียวถังอี้หันกลับมาเลิกคิ้วมองคนที่อยู่บนชั้น 2 “เจ้ามีอะไรอีกหรือ?”
มู่ไป๋ไป่กัดริมฝีปากตัวเองด้วยความรู้สึกหงุดหงิดใจ เธอคงบ้าไปแล้วที่จู่ ๆ ก็รั้งให้ชายหนุ่มอยู่ต่อ
ไม่ ๆๆ!
คงเป็นเพราะเซียวถังถังกับมู่จวินเซิ่งพูดกรอกหูเธอมากเกินไป
ทั้งหมดเป็นเพราะ 2 คนนั้นเอาแต่พูดเรื่องเซียวถังอี้ต่อหน้าเธอตลอดจนทำให้สมองของเธอรวนไปหมด
“เปล่า ไม่มีอะไร” มู่ไป๋ไป่สงบสติอารมณ์และบังคับให้แสดงท่าทีสงบ “ข้าแค่อยากถามเรื่องบาดแผลที่ไหล่ของท่าน”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 150
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น