อยู่ให้ไหว เมื่อต้องทำงานกับคนที่ไม่ชอบหน้า: เข้าใจความรู้สึก และจัดการอย่างมืออาชีพ
ที่ทำงานไม่ใช่ที่ที่เราจะเลือกคนมาอยู่รอบตัวเองได้เสมอ บางคนเรารู้สึกดีตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ แต่บางคน...แค่เห็นหน้าก็รู้สึกไม่อยากเข้าใกล้แล้ว
แม้จะไม่เคยมีปัญหาอะไรกันตรง ๆ แต่พลังงานบางอย่างก็บอกเราว่า “ไม่ชอบเขาเลย” แล้วพอได้ร่วมงานกันจริง ๆ มันก็ยิ่งชัดขึ้นทุกวัน ว่านี่แหละคือคนที่เราไม่อยากเจอ ไม่อยากคุยด้วย และไม่อยากต้องพึ่งพากันเลยสักนิด
แต่เพราะเราทำงานอยู่ในที่เดียวกัน มีโปรเจกต์ร่วมกัน มีทีมเดียวกัน เราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
บางคนเลือกเงียบ บางคนเลือกฝืนยิ้ม บางคนพูดแค่เท่าที่จำเป็น บางคนพยายามทำเหมือนไม่มีอะไร แต่ไม่ว่าจะแสดงออกแบบไหน ข้างในใจก็ยังเหนื่อยเหมือนเดิม
ทำไมเราถึงไม่ชอบเขา? ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดชัด ๆ
บางคนเสียงดังเกินไป ชอบพูดแทรกเวลาคนอื่นกำลังเสนอไอเดีย บางคนชอบพูดประชด ใส่น้ำเสียงขัดใจตลอด บางคนชอบโยนงาน หรือรับปากไว้แล้วหาย บางคนพยายามทำตัวเด่นเกิน จนกลายเป็นทำลายบรรยากาศของทีม
และบางครั้ง เขาอาจไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แค่เรารู้สึกไม่คลิก ไม่อยากอยู่ใกล้ แค่นั้นจริง ๆ
ไม่ผิดหรอกที่เราจะไม่ชอบใคร แต่เมื่อเรายังต้องทำงานร่วมกัน เราควรหาวิธี “อยู่ให้ไหว โดยไม่ทำร้ายใจตัวเอง” มากกว่าแค่ทนไปวัน ๆ
เราสามารถไม่ชอบใครก็ได้...แต่ต้องไม่ให้มันมาทำร้ายเราเอง
ถ้าเราไม่ชอบเขา แล้วเอาความรู้สึกนั้นมากักไว้ในใจทุกวัน มันจะกลายเป็นความอึดอัดที่ระเบิดออกมาแบบไม่รู้ตัว
เราอาจเริ่มจับผิดเขาทุกอย่าง ไม่รับฟังเขา ทั้งที่เรื่องนั้นอาจจะมีประโยชน์ พยายามหลีกเลี่ยงทุกการสื่อสาร หรือบางวันก็แอบประชดเขาเบา ๆ แบบไม่รู้ตัว สุดท้ายคนที่เหนื่อยที่สุดคือตัวเราเอง
ไม่ใช่เพราะเขาทำร้ายเราหนักแค่ไหน แต่เพราะเราเอาเขามาอยู่ในหัวเยอะเกินไป
แยก “งาน” ออกจาก “ความรู้สึก” ให้ชัดที่สุด
ถึงจะไม่ชอบเขา แต่เรายังต้องส่งงานให้ตรงเวลา เรายังต้องคุยกับเขาในบางโปรเจกต์ ยังต้องฟังไอเดียเขาเวลาอยู่ในห้องประชุมเดียวกัน
ลองคิดให้ชัดว่าเราต้องทำงานกับเขาในบทบาทไหน แล้วจำกัดบทบาทนั้นให้ชัดเจน เช่น เขาอาจเป็นคนที่เรารำคาญมากในเรื่องส่วนตัว แต่ในฐานะทีม เขาอาจยังมีข้อดีบางอย่างที่ช่วยให้งานเดินได้
เราจะไม่ปล่อยให้ความไม่ชอบหน้า กลายเป็นเหตุให้เราปิดกั้นคุณภาพของงาน เพราะเราไม่ได้ทำเพื่อเขา แต่เราทำเพื่อชื่อของเราเอง
เข้าใจเขา…ไม่ใช่เพื่อให้อภัย แต่เพื่อเลิกเก็บมาใส่ใจ
ลองนั่งเงียบ ๆ แล้วมองเขาในมุมอื่นดู เขาอาจเป็นคนที่เคยโดนเจ้านายตำหนิบ่อย ๆ จนกลัวผิดพลาด เพราะแบบนั้นเลยกลายเป็นคนที่ชอบออกตัวแรง หรือเขาอาจเติบโตมากับวัฒนธรรมการสื่อสารที่ตรงมาก ๆ จนไม่รู้ว่าเสียงของตัวเองแรงเกินไปในมุมคนอื่น
เราไม่จำเป็นต้อง “ให้อภัย” หรือ “เห็นใจ” แค่ไม่เอาทุกคำพูดของเขามาปักใจ แค่รู้ว่า…บางอย่างมันไม่เกี่ยวกับเราเลย เขาเป็นเขา เราเป็นเรา แค่นั้นพอ
หยุดเติมไฟให้ตัวเอง ด้วยการนินทาหรือระบายบ่อยเกินไป
การได้พูดให้ใครสักคนฟังว่าเราไม่ชอบเขา มันทำให้เรารู้สึกดีขึ้นในตอนนั้นก็จริง แต่ถ้าเราพูดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ บ่นซ้ำ ๆ กับคนเดิม หรือวนอยู่กับเรื่องของเขาทุกวัน มันจะกลายเป็นการเลี้ยงไฟในใจตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ระบายได้ แต่ให้ระบายเพื่อปล่อย ไม่ใช่เพื่อเติม พูดครั้งเดียวแล้วพอ ละ แล้วปล่อย เพราะคนที่เอาเรื่องของเขามาวนในหัวทุกวันคือตัวเรา เขาอาจไม่ได้สนด้วยซ้ำว่าเรารู้สึกยังไง
ถ้าต้องคุยกันตรง ๆ ให้ใช้ภาษาที่จริงใจ ไม่ปะทะ
บางครั้งเราจำเป็นต้องเคลียร์กันบ้าง เพราะบางเรื่องมันเริ่มสะสมมากเกินไป แต่การเผชิญหน้าไม่ใช่การระเบิดใส่ มันคือการสื่อสารด้วยความจริงใจ โดยไม่ประชด ไม่แซะ
อย่างเช่น
“เราว่าตอนประชุมที่ผ่านมาอาจมีบางจุดที่เราสื่อสารไม่ตรง ถ้าเธอมีมุมที่เห็นต่าง บอกเราได้เลยนะ จะได้เข้าใจตรงกัน”
หรือ
“ถ้าตอนนั้นเราทำให้เธอรู้สึกไม่ดี บอกเราได้นะ เราอยากเคลียร์ไว้ จะได้ทำงานต่อกันแบบไม่ค้างคา”
ถ้าเขายังนิ่ง ยังไม่ยอมเปิดใจ อย่างน้อยเราก็ได้พยายามทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว และนั่นคือชัยชนะในใจของเราเอง
ไม่ต้องฝืนเป็นเพื่อนกัน แต่ก็ไม่ต้องกลายเป็นศัตรู
เราไม่ต้องพยายามไปสนิทกับเขา ไม่ต้องฝืนชวนคุย ชวนกินข้าว หรือฝืนยิ้มตลอดเวลา
แค่ “ไม่แสดงความเกลียด” ก็เพียงพอแล้ว
อยู่แบบไม่ใส่อารมณ์ อยู่แบบทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ขวาง ไม่ประชด ไม่สร้างศัตรูเพิ่มก็พอ
เพราะถ้าเรายังยึดติดว่า “ต้องชอบกันถึงจะทำงานด้วยกันได้” เราจะเหนื่อยทุกวัน เพราะความจริงคือมันไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป
อย่าลืมว่าเรายังมีทีมอื่น เพื่อนคนอื่น และพลังใจจากที่อื่น
อย่าให้คนคนเดียวทำให้เราหมดพลัง ในขณะที่ยังมีอีกหลายคนที่พร้อมร่วมมือ ยังมีเพื่อนที่คุยแล้วสบายใจ ยังมีงานที่เราทำแล้วภูมิใจ ยังมีความหมายในสิ่งที่เราทำ อย่าให้ใครแค่คนเดียว ลบทุกสิ่งเหล่านั้นออกไปจากใจเรา
ถ้าเริ่มหมดใจจริง ๆ ให้มองหาทางเลือกใหม่ อย่างมีสติ ถ้าเราลองทุกอย่างแล้ว ตั้งขอบเขตแล้ว คุยแล้ว ปรับแล้ว เข้าใจแล้ว แต่ความอึดอัดยังอยู่ จนเริ่มกระทบทั้งงาน ทั้งใจ ก็อย่ากลัวที่จะมองหาทางออกใหม่
ไม่ต้องเปลี่ยนงานทันที แต่อาจเริ่มจากขอย้ายทีม ปรับบทบาท หรือพูดคุยกับหัวหน้าอย่างจริงใจ เพื่อหาวิธีที่เรายังได้ทำงานในที่ที่เรารัก โดยไม่ต้องฝืนใจตัวเองทุกวัน
เพราะความสัมพันธ์ที่บั่นทอนใจต่อเนื่อง มันกัดกินพลังงานเงียบ ๆ จนวันหนึ่งเราอาจไม่เหลือใจจะทำสิ่งดี ๆ อีกเลย
เราไม่จำเป็นต้องชอบทุกคน แต่อย่าให้ใครทำให้เราเกลียดตัวเอง สุดท้ายนี้ ไม่ต้องรู้สึกผิดที่ไม่ชอบใคร แต่ขอให้เรายังรู้จักตัวเองดีพอ ว่าเราไม่ใช่คนเกลียดชัง ไม่ใช่คนประชดประชัน ไม่ใช่คนเอาแต่ระบายอารมณ์ใส่คนอื่น
เราคือคนที่พยายามอยู่ให้ได้ ในพื้นที่ที่ไม่ได้เลือกเอง ด้วยความเคารพต่อตัวเอง และความเป็นมืออาชีพในหัวใจ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว


แสดงความคิดเห็น