บทที่ 431: ข้าขอคืนสิ่งนี้ให้ท่าน

-A A +A

บทที่ 431: ข้าขอคืนสิ่งนี้ให้ท่าน

ภายใต้หน้ากากสีเงิน มีประกายบางอย่างแล่นผ่านดวงตาของเซียวถังอี้อย่างรวดเร็ว เขายกยิ้มมุมปากก่อนจะหันหลังกลับเดินไปหามู่ไป๋ไป่ 2-3 ก้าว

 แม้ว่าตอนนี้คนหนึ่งจะอยู่ชั้นล่าง ส่วนอีกคนอยู่ชั้นบน แต่ฝ่ายหญิงสาวกลับมองชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอด้วยความรู้สึกที่อยากจะหันหลังวิ่งหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

“เจ้าเป็นห่วงเป็นใยข้ามากขนาดนั้นเลยหรือ?”

มู่ไป๋ไป่ที่หน้าแดงระเรื่อตอบออกไปโดยไม่ทันคิดว่า “ข้าแค่… แค่… ข้าเป็นคนมีมนุษยธรรม จึงได้เป็นห่วงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน”

ใช่ มันเป็นเพราะมนุษยธรรม!

ถึงอย่างไรเขาก็ได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยเธอเอาไว้

ถ้าเธอเอาแต่นิ่งเฉยไม่ทำอะไร มันคงจะดูเลือดเย็นเกินไปสักหน่อย

“มนุษยธรรม?” นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวถังอี้ได้ยินคำพูดเช่นนี้ เขาจึงขมวดคิ้วถามด้วยความสับสน “นั่นหมายความว่าอย่างไรหรือ?”

ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กคนนี้จะชอบพูดคำแปลก ๆ ออกมาเป็นครั้งคราว นิสัยนี้นางเป็นมาตั้งแต่ยังเด็ก เหมือนกับว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปใช้กัน

มู่ไป๋ไป่เองก็ไม่สามารถอธิบายออกมาได้อย่างชัดเจน และเธอก็ไม่ได้อยากอธิบายเกี่ยวกับมัน ดังนั้นเธอจึงตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “อย่างไรก็เถอะ เอาเป็นว่าข้าไม่ได้สนใจท่านมากขนาดนั้นก็พอ”

เซียวถังอี้มองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย แล้วก็สังเกตเห็นความตื่นตระหนกที่ปรากฏอยู่บนใบหน้ารูปไข่ รอยยิ้มที่มุมปากของเขาจึงกดลึกมากยิ่งขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจผิดไปเอง”

“...” คราวนี้หญิงสาวไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

ระหว่างคนทั้ง 2 จึงเกิดความเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ยามนี้พระจันทร์เต็มดวงที่เพิ่งถูกก้อนเมฆบดบังจู่ ๆ ก็สาดแสงลงมาอีกครั้งโดยที่ทั้งคู่ไม่ทันได้สังเกตเห็น

แสงจันทร์สีนวลแผ่กระจายลงมาห่อหุ้มร่างของพวกเขาเอาไว้

มู่ไป๋ไป่มองเห็นร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านล่างได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น และเห็นว่าใบหน้าของเซียวถังอี้ยังดูซีดเล็กน้อย

มันทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเมื่อคิดว่าคนผู้นี้ควรจะพักผ่อนอยู่ที่ห้องของตัวเอง แต่กลับต้องไปวุ่นวายอยู่ด้านนอกตลอดทั้งวัน

ในไม่ช้าความโมโหก็ได้กลบความตื่นเต้นลงไปจนมิด ทำให้เธอสงบสติอารมณ์ลงได้ง่ายขึ้น

“นี่ท่านจะยังกลับไปที่ห้องของตัวเองอยู่หรือไม่?” มู่ไป๋ไป่พิงขอบหน้าต่างแล้วโน้มตัวเข้าไปคุยกับเซียวถังอี้ “ถ้าท่านจะกลับไปพักแล้ว ท่านก็ควรไปทักทายถังถังก่อน”

“มันไม่เป็นไรถึงแม้ว่าท่านจะไม่สนใจนางมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ก่อนหน้านี้ท่านจากไปโดยไม่บอกลานางอยู่หลายครั้ง ต่อให้ถังถังจะไม่ได้พูดอะไร แต่นางก็ยังคงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ ในฐานะพี่ชาย ท่านจะทำตัวแบบนี้ไม่ได้”

ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน เป็นสายเลือดเดียวกันที่หลงเหลืออยู่บนโลกนี้เพียง 2 คน ถ้าเทียบกับพี่ชายทั้ง 2 คนของเธอแล้ว เซียวถังอี้ล้มเหลวในการเป็นพี่ชายมาก

เซียวถังถังเหมือนถูกปล่อยให้เติบโตขึ้นมาตามลำพังราวกับว่านางไม่เคยมีพี่ชายมาก่อนก็ไม่ปาน

ถ้าไม่มีเธอคอยดูแลศิษย์น้องในช่วงหลายปีมานี้ ก็ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าตัวจะทำอะไรบ้าคลั่งได้มากแค่ไหน

พอมู่ไป๋ไป่คิดถึงช่วงเวลาที่เธอได้ดูแลเด็ก ๆ มาตลอดหลายปี เธอก็อยากจะถอนหายใจดัง ๆ

“ตกลง” เซียวถังอี้หัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้าตอบรับ “ข้าเข้าใจแล้ว”

เมื่อหญิงสาวได้ยินคำตอบแบบขอไปทีของเขา เธอก็รู้สึกเหมือนควันออกหูเล็กน้อย

“ท่านจะเข้าใจอะไร?” มู่ไป๋ไป่กัดฟันพูด “ถ้าท่านไม่ไป ถึงเวลาที่ข้าจะต้องปลดภาระแล้ว”

จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็หยิบจี้หยกที่เธอพกติดตัวมาตลอดออกมา

เมื่อ 12 ปีก่อนในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเช่นนี้ เซียวถังอี้ได้หยิบยื่นจี้หยกให้กับเธอ โดยบอกว่ามันเป็นของตอบแทนให้เธอคอยดูแลเซียวถังถัง

ตอนนี้เธอกับเซียวถังถังสำเร็จการศึกษาแล้ว

หลังจากกลับเมืองหลวงครั้งนี้ ไม่แน่ว่าทั้ง 2 จะต้องพบเจอสถานการณ์เช่นไร

จี้หยกนี้ดูพิเศษมาก ดังนั้นมันไม่มีเหตุผลที่เธอจะเก็บมันเอาไว้อีกต่อไป

“ข้าขอคืนสิ่งนี้ให้ท่าน” มู่ไป๋ไป่ลูบจี้หยกอุ่น ๆ ในมือ สุดท้ายแล้วเธอก็สวมมันมาหลายปี ดังนั้นเธอจึงรู้สึกลังเลที่จะส่งคืนเจ้าของ

จี้หยกนี้เป็นเหมือนถุงประคบร้อนแบบพกพาในฤดูหนาวซึ่งมันมีประโยชน์มาก!

หญิงสาวโยนจี้หยกไปให้เซียวถังอี้ขณะที่มันส่องประกายแวววาวหยอกล้อกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน และร่างสูงที่ยืนอยู่ชั้นล่างก็รับมันเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ

เมื่อชายหนุ่มมองจี้หยกในมือของตัวเอง เขาก็ตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะหนึ่ง

เขาไม่ได้เห็นจี้หยกนี้มานานมากกว่า 10 ปีแล้ว

แต่เจ้าตัวเล็กคนนี้เข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปหรือไม่?

หลังจากที่เขามอบมันให้นาง เขาไม่เคยคิดที่จะเอามันกลับคืนมาเลย

และ…

ดูเหมือนว่านางจะชอบจี้หยกชิ้นนี้มาก

เซียวถังอี้ไล้ปลายนิ้วลูบรอบ ๆ พู่ที่ถูกห้อยเอาไว้ใต้จี้หยก ในขณะที่ดวงตาดุจเหยี่ยวค่อย ๆ อ่อนลง

“อูย…” หลังจากที่จี้หยกอยู่ห่างจากร่างกายของมู่ไป๋ไป่ เธอก็เริ่มรู้สึกหนาวสั่นท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน เธอจึงใช้แขนโอบรอบตัวเองเอาไว้พร้อมกับพูดด้วยเสียงสั่นเท่า “เอาล่ะ ข้าคืนจี้หยกนี้ให้กับท่าน ข้าได้ทำตามสัญญาเรียบร้อยแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าทำภารกิจนี้สำเร็จลุล่วงแต่โดยดี ดังนั้น…”

พอมาถึงจุดนี้หญิงสาวก็เริ่มพูดติดขัด

แล้วอย่างไรล่ะ?

เธอทำอย่างกับว่าพวกเธอทั้ง 2 จะต้องแยกทางกันแล้ว นี่มันเรื่องไร้สาระสิ้นดี เดิมทีความสัมพันธ์ของพวกเธอ 2 คนตั้งแต่เมื่อ 12 ปีก่อนก็ไม่ค่อยดีนัก และคราวนี้พวกเธอจะต้องกลับไปเมืองหลวงพร้อมกันเพื่อเข้าร่วมงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา

ยิ่งมู่ไป๋ไป่คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองได้สูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างจากการทำข้อตกลงกับชายหนุ่มในครั้งนั้น

“แล้ว?...” เซียวถังอี้เข้าใจความคิดของหญิงสาว เขาจึงจงใจถามอีกฝ่ายออกไปว่า “องค์หญิงหก เจ้ามีสิ่งใดอยากจะขอข้าหรือไม่?”

“เดิมทีองค์หญิงหกได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทเสมอมา ดังนั้นเจ้าจึงมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการอยู่แล้ว ข้าเกรงว่าในตำหนักอ๋องเซียวของข้าคงไม่มีสิ่งที่องค์หญิงหกชื่นชอบ”

นั่นคือความจริง

มู่เทียนฉงรักมู่ไป๋ไป่มาก

ถึงแม้ว่าในช่วงหลายปีมานี้หญิงสาวจะไม่ได้อยู่ในวังหลวง แต่มู่เทียนฉงก็ไม่เคยลืมนาง เมื่อใดก็ตามที่เป็นวันสำคัญ หรือมีใครเอาของใหม่ ๆ มาถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการ ฝ่าบาทก็จะส่งคนให้เอาไปส่งมอบให้แก่ลูกสาวทันที

ทางด้านมู่ไป๋ไป่คิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เธอก็คิดคำพูดดี ๆ ไม่ออก เธอจึงตัดสินใจพูดออกไปประโยคเดียวว่า “ท่านรู้ก็ดีแล้ว”

หลังจากพูดจบเธอก็หันหลังเดินกลับห้องของตัวเอง

ช่างมันเถอะ

ไม่ว่าเซียวถังอี้จะแกล้งทำเป็นจวงอี้หรานหรือไม่ก็ตาม เธอไม่อยากสนใจเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว

เธอกับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน แล้วทำไมเธอจะต้องสนใจเขามากขนาดนั้นด้วย?

ไม่เช่นนั้น เธอคงจะกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าเซียวถังอี้

ขณะนี้มู่ไป๋ไป่นอนกางแขนกางขาอยู่บนเตียง จากนั้นก็พลิกตัวไปกอดหมอนเอาไว้ ไม่นานเธอก็รู้สึกคิดถึงเจ้าส้มขึ้นมา

ถ้าหากเจ้าแมวอ้วนอยู่ที่นี่ คงมีใครคอยรับฟังปัญหาของเธอ

แต่ในขณะนี้เธอกลับรู้สึกว่าในใจเธอมีปัญหามากมายและไม่รู้ว่าจะพูดกับใครดี

“เจ้าแมวอ้วน ทำไมเจ้าถึงได้ชักช้านัก!” หญิงสาวพลิกตัวกลับไปอีกด้านพร้อมกับดึงผ้าห่มมากอด “ข้ารอเจ้าอยู่นานมากแล้ว แต่เจ้าก็ยังตามมาไม่ทันเสียที คอยดูเถอะ ถ้าเจ้ากลับมาเมื่อไหร่ ข้าจะลงโทษเจ้า!”

มู่ไป๋ไป่บ่นพึมพำกับตัวเอง เวลาผ่านไปไม่นานเธอก็ค่อย ๆ จมอยู่ในห้วงของนิทรา

เนื่องจากการเสียเลือดมากถึง 2 ครั้งภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งมันถือว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับเธอ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้หญิงสาวจะยังดูเหมือนปกติดี แต่มีเพียงตัวเธอเท่านั้นที่รู้ว่าพลังในร่างกายของตัวเองแย่ลงมาก

ในขณะที่หลับใหล มู่ไป๋ไป่ฝันถึงภาพที่เธอได้พบกับเซียวถังอี้ครั้งแรกตอนที่ยังเป็นเด็ก ส่งผลให้มีรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏที่มุมปากของเธอโดยไม่รู้ตัว

วันรุ่งขึ้น หลังจากผ่านช่วงรุ่งสางมาไม่นาน เจียงเหยาก็ลากลูกศิษย์คนโตออกจากเตียง และลากเธอไปสั่งสอนข้างล่างตั้งแต่เช้า

“ท่านอาจารย์ นี่ข้ากำลังสับสนหรือว่าท่านกำลังสับสนกันแน่” มู่ไป๋ไป่ขยี้ตาด้วยความง่วงงุนพลางถามว่า “พวกเราไม่ได้ตื่นมาเรียนตอนเช้ามากี่ปีแล้ว?”

ครั้งสุดท้ายที่เธอต้องตื่นมาเรียนแต่เช้าก็คือเมื่อ 4 หรือ 5 ปีที่แล้ว

ต่อมาเจียงเหยาบอกว่าเธอเรียนรู้ได้เร็วจนนางไม่มีอะไรจะสอนแล้ว หลังจากนั้นนางก็ไม่เคยสอนอะไรเธออีก แต่จะคอยให้คำแนะนำเป็นครั้งคราวหลังจากที่เธอได้ไปตรวจอาการของคนไข้

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.