บทที่ 407: จอมยุทธ์จวงตื่นแล้ว

-A A +A

บทที่ 407: จอมยุทธ์จวงตื่นแล้ว

ขณะที่มู่ไป๋ไป่กำลังจะตอบตกลง เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา แล้วจู่ ๆ ประตูก็ถูกผลักเปิดออกอีกครั้ง

“องค์หญิง!” ซั่วเยว่รีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าประหม่า “องค์หญิง! จอมยุทธ์จวงตื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

หญิงสาวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่กี่อึดใจเธอก็ฟื้นคืนสติและเข้าใจว่าซั่วเยว่เพิ่งพูดอะไร ทันใดนั้นดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้าง “ตื่นแล้วหรือ! ข้าจะไปดูเขา!”

ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่ไม่สนใจเรื่องอื่น เธอเปิดผ้าห่มลุกจากเตียง ใส่รองเท้าอย่างเร่งรีบแล้วสาวเท้าเร็ว ๆ ออกจากห้องไป

“ศิษย์พี่ ท่านต้องสวมเสื้อคลุมด้วยสิ!” อวี้หวานหว่านรีบวิ่งไล่ตามหญิงสาวไป “ข้างนอกอากาศหนาวมาก ท่านใส่เสื้อคลุมกันลมหนาวสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ!”

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่นางวิ่งออกไปด้านนอก นางก็ไม่เห็นแผ่นหลังมู่ไป๋ไป่เลย

อีกห้องหนึ่ง เซียวถังอี้กำลังตื่นขึ้นมา เขาลุกขึ้นนั่งเอนตัวพิงหัวเตียงเพื่อจิบชาให้ชุ่มคอ ท่าทางของเขาดูสุขสบายดีมาก ไม่เหมือนคนที่เพิ่งฟื้นจากอาการป่วยหนัก

“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” อวี้เซิ่งที่เห็นว่าคนป่วยฟื้นแล้วก็มองสำรวจทั่วตัวอีกฝ่ายอย่างสงสัย แต่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแตกต่างออกไปหลังจากที่ชายหนุ่มฟื้นขึ้นมา แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายมันว่าอย่างไร

เซียวถังอี้วางถ้วยชาลงแล้วยิ้มจาง ๆ “รู้สึกดีทีเดียว พิษหลิวกวงนั้นดูจะอ่อนลงมาก เจียงเหยาทำอะไรกับข้าหรือ?”

“เหยาเหยาที่ไหนกัน?” นักฆ่าหนุ่มโบกมือปฏิเสธ “ถ้าเหยาเหยามีวิธีรักษาท่านได้ นางคงจัดการไปนานแล้ว… นี่ท่านจำไม่ได้จริง ๆ หรือ?”

เซียวถังอี้ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว เขาพยายามนึกถึงความทรงจำในระหว่างที่ถูกพิษโจมตีกะทันหันในวันนั้น แต่ทุกอย่างดูเลือนรางมาก

“ข้าจำได้แค่ว่าตัวเองกำลังแช่สมุนไพร… หลังจากนั้นข้าก็คิดอะไรไม่ออกอีกเลย” ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น แต่พอนึกอยู่นาน สุดท้ายเขาก็นึกไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น

“เป็นไป๋ไป่ต่างหาก” อวี้เซิ่งนั่งไขว้ขาบนเก้าอี้แล้วพูดว่า “วันนั้นท่านกระอักเลือดตอนที่กำลังแช่สมุนไพร ซั่วเยว่จึงไปตามไป๋ไป่มา แล้วนางก็ใช้เวลาครึ่งชั่วยามกับท่านเพียงลำพังในห้อง”

“หลังจากที่นางกลับออกมา อาการของท่านก็ทรงตัว”

ปลายนิ้วของเซียวถังอี้ที่จับถ้วยชาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะถามย้ำว่า “นางรักษาข้าอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่เช่นนั้นล่ะ?” นักฆ่าหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยสายตามีเลศนัยขณะที่กล่าวว่า “แต่ไม่มีใครรู้ว่านางรักษาท่านด้วยวิธีใด แม้แต่กับเหยาเหยานางก็ยังไม่ยอมบอกด้วยซ้ำ”

“หลังจากนั้นนางก็เป็นลมหมดสติ ท่านนอนมาหลายวัน นางเองก็ต้องนอนพักอยู่หลายวันเช่นกัน มันทำให้เหยาเหยาเป็นกังวลมาก”

แล้วสีหน้าของเซียวถังอี้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนที่อารมณ์บางอย่างจะฉายอยู่ในแววตาของเขา

จังหวะที่เขากำลังจะถามอวี้เซิ่งเกี่ยวกับเรื่องของมู่ไป๋ไป่ในวันนี้ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านนอกประตู

หญิงสาวไม่คิดว่าจวงอี้หรานจะสามารถลุกขึ้นนั่งได้แล้ว เธอเปิดประตูเข้ามาสบตากับอีกฝ่ายแล้วก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

“จอมยุทธ์จวง ท่านดูดีทีเดียว”

มู่ไป๋ไป่ระงับอาการลิงโลดในใจเมื่อเห็นว่าคนไข้ของตนอาการดีขึ้นมาก ก่อนจะเดินเข้าไปหาเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “ดูเหมือนว่ายมโลกจะไม่ค่อยต้อนรับท่านมากนัก เขาจึงไม่ยอมรับชีวิตของท่านไป”

เดิมทีเธอคิดว่าจวงอี้หรานจะตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเช่นเคย

แต่คนบนเตียงกลับเอาแต่มองลึกเข้ามาในดวงตาของเธอ ส่วนเธอเองก็ไม่ยอมแพ้จ้องตาเขากลับ แต่ทั้งคู่สบตากันอยู่นานจนหญิงสาวเกือบจะสงสัยแล้วว่ามีอะไรติดอยู่บนหน้าของเธอหรือเปล่า

“ทะ-ท่านมองอะไรอยู่หรือ?” มู่ไป๋ไป่จับทั่วใบหน้าตัวเองด้วยความไม่สบายใจ พอแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดติดอยู่บนหน้าตน เธอก็เดินไปนั่งที่ขอบเตียง “หรือว่าพิษหลิวกวงได้แทรกซึมเข้าไปในสมองของท่าน จนทำให้แม้กระทั่งข้าท่านก็จำไม่ได้?”

“ข้าจำเจ้าได้” เซียวถังอี้ตอบเสียงต่ำ แต่เดิมเสียงของเขาก็แหบแห้งอยู่แล้วเนื่องจากหมดสติไปหลายวัน แต่เนื้อเสียงของเขาก็ยังฟังดูไพเราะน่าฟังดังเดิม

มู่ไป๋ไป่รู้สึกราวกับว่าหัวใจของตัวเองถูกอุ้งเท้าแมวตะปบ เธอขมวดคิ้วพูดด้วยความโมโหว่า “ท่านจำข้าได้ แล้วทำไมถึงจ้องหน้าข้าขนาดนั้น ทำไมหรือ ท่านรู้ว่าข้าเป็นคนช่วย ท่านจึงไม่พอใจขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?” 

“ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่าข้าก็ไม่ได้อยากช่วยท่านหรอกนะ เพียงแต่ข้าไม่ชอบเห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตาเท่านั้น”

เซียวถังอี้มองดูใบหน้าเกลี้ยงเกลาของมู่ไป๋ไป่ แม้ว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าในวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าผอมลงมากจากเมื่อไม่กี่วันก่อน

โดยเฉพาะใบหน้าที่เล็กอยู่แล้วก็ยิ่งเล็กลงไปอีก

ชายหนุ่มค่อย ๆ ลดสายตาลงเพื่อปิดบังอารมณ์ในดวงตาแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ขอบคุณแม่นางไป๋ที่ชีวิตข้าเอาไว้ ข้าจะจดจำบุญคุณในครั้งนี้ให้ขึ้นใจ”

ทันทีที่มู่ไป๋ไป่ได้ยินเขาเอ่ยขอบคุณอย่างตรงไปตรงมา เธอกลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เธอเกาแก้มตัวเองพลางพูดแก้เก้อว่า “ท่านอย่าได้รีบพูดขอบคุณข้าเลย พิษในร่างกายของท่านยังขจัดออกไปไม่หมด”

“ถึงแม้ข้าจะเจอวิธีรักษาท่านแล้ว แต่ข้ายังต้องลองดูอีกสักครั้งว่ามันจะสามารถขจัดพิษหลิวกวงในร่างกายของท่านไปจนหมดได้หรือไม่”

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หอไป่เฉ่าพบตำราโบราณหลายเล่มตามที่เธอได้ขอไป แล้วเธอก็ได้อ่านมันทั้งหมดทีละเล่ม

แต่ในตำราเหล่านั้นยังไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเลือดของจ้าวอสูรมากนัก

เธออนุมานจากประสบการณ์ที่เคยรักษาจวงอี้หรานได้ว่า ขอเพียงเธอไม่ได้ป้อนเลือดให้เขาโดยตรง มันก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรง

พอมู่ไป๋ไป่คิดเช่นนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขขึ้นมา

สำหรับคนเป็นหมอ ไม่มีสิ่งใดน่ายินดีไปกว่าการล้างพิษและช่วยชีวิตคนเอาไว้ได้

แม้ว่า… มันจะต้องแลกมาด้วยเลือดของเธอก็ตาม

“อะแฮ่ม ท่านตื่นก็ดีแล้ว” มู่ไป๋ไป่พยายามระงับความสุขที่แสดงออกบนใบหน้า “รอให้อาจารย์ของข้ามาแล้วค่อยให้นางตรวจชีพจรของท่าน”

เธอยังจำได้ขึ้นใจว่าจวงอี้หรานไม่ยอมให้เธอตรวจชีพจรของเขา

ก่อนหน้านี้เธอทำไปโดยพลการเนื่องจากเขาหมดสติไปแล้ว แต่ตอนนี้เขามีสติครบถ้วน เธอจึงไม่สามารถแตะเนื้อต้องตัวเขาได้ 

แต่ใครจะไปคาดคิดว่าทันทีที่หญิงสาวพูดจบ ก็มีมือขาวสะอาดยื่นมาหาเธอ

เซียวถังอี้พลิกข้อมือในจุดที่ตรวจชีพจรได้ให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย

มู่ไป๋ไป่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

“ให้เจ้าตรวจชีพจรข้า” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก ในขณะที่ดวงตาดุจเหยี่ยวหรี่ลงเล็กน้อย เนื่องจากหางตาที่ยกขึ้นทำให้ใบหน้าของเขายิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้น

หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะหยุดนิ่งมองดูภาพตรงหน้า เธอรู้สึกอิ่มเอมใจ แต่ก็ยังพูดจาถากถางอีกฝ่ายเป็นการกลบเกลื่อนว่า “แต่ก่อนท่านไม่อยากให้ข้าตรวจไม่ใช่หรือ?”

“ครั้งก่อนก็คือครั้งก่อน ครั้งนี้ก็คือครั้งนี้” เซียวถังอี้ไม่ได้อธิบายเหตุผลที่ตนไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายตรวจชีพจร เขาเพียงแค่ยิ้มและพูดว่า “ข้าเคยดูถูกแม่นางไป๋ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะสามารถยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”

หลังจากที่มู่ไป๋ไป่อดทนมาหลายครั้ง ในที่สุดเธอก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหวจึงหัวเราะออกมาดัง ๆ แล้วเธอก็เหลือบมองชายตรงหน้าที่กำลังจ้องมองตนอยู่ ก่อนจะกระแอมในลำคอ “ ข้าจะยกโทษให้หรือไม่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะข้าไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น”

“ช่างเถอะ ก็เพียงแค่ตัวชีพจรไม่ใช่หรือ? ท่านอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยมาตรวจด้วยตัวเอง ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะทำเอง”

ขณะที่หญิงสาวเอ่ยปากเช่นนั้นนั้น เธอก็เอื้อมมือไปจับชีพจรของจวงอี้หราน

ทางด้านอวี้หวานหว่านที่ตามหลังมายื่นศีรษะไปมองชายหนุ่มอย่างสงสัย แต่คนตัวเล็กก็ถูกอวี้เซิ่งเขกหัวเบา ๆ

“ท่านพ่อ ท่านเขกหัวข้าทำไม?” เด็กหญิงกุมศีรษะตัวเองพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อตาปรอย

อวี้เซิ่งทำหน้าเรียบเฉยแล้วพูดว่า “เป็นสาวเป็นนางอย่าได้ยื่นหน้าไปมองผู้ชายแบบนั้น ถ้าเจ้าทำเช่นนี้ ผู้คนจะหัวเราะเจ้าเอาได้”

“หา?” อวี้หวานหว่านมองมู่ไป๋ไป่ก่อนจะหันไปมองเซียวถังอี้ด้วยสีหน้าสับสน “แต่ทำไมศิษย์พี่ทำได้ล่ะ แล้วทำไมข้าถึงทำไม่ได้!”

ฝ่ายที่ได้ยินถึงกับสำลัก ก่อนจะพูดเสียงเข้มว่า “เจ้ากับศิษย์พี่ของเจ้าจะเหมือนกันได้อย่างไร? ไม่รู้ล่ะ พ่อบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ เจ้าตามพ่อมา ไปหาแม่ของเจ้ากัน”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.