บทที่ 406: ข้าอยากให้นางทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตาย
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ” หลัวเซียวเซียวฝืนยิ้มให้กับชายหนุ่ม ก่อนจะดึงมือออกจากมืออีกฝ่ายแบบเนียน ๆ
“แต่หน้าเจ้าซีดมาก” มู่จวินเซิ่งขมวดคิ้วมองดูใบหน้าของหญิงสาว “จู่ ๆ เจ้าก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาหรือไม่? ถ้าเจ้ารู้สึกไม่สบายใจก็บอกมาเถอะ หอไป่เฉ่าเอาไว้ก่อนก็ได้ เรากลับไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า”
หลัวเซียวเซียวต้องพูดซ้ำอยู่นานกว่าที่แม่ทัพหนุ่มจะเชื่อว่านางไม่เป็นไรจริง ๆ และไม่ได้คิดจะลากนางกลับโรงเตี๊ยม
ทั้งคู่เดินต่อไปจนถึงหอไป่เฉ่าโดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นว่าร้านอาหารตรงหัวมุมถนนนั้นมีชายร่างสูงที่มีสีหน้าเศร้าหมองกำลังยืนอยู่บนชั้น 2 จ้องมองแผ่นหลังของพวกเขาอยู่
“เลิกมองได้แล้ว มาดื่มกันดีกว่า” ถังเป่ยเฉินเหลือบมองแผ่นหลังกว้างของฉู่เสวียนแล้วยกยิ้มมุมปากพูดว่า “สุราดอกท้อของที่นี่หายากมาก หลังจากผ่านฤดูกาลนี้ไป เจ้าจะหาดื่มที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว”
ทันใดนั้นก็มีแสงสีแดงวูบวาบในดวงตาของชายหนุ่ม “ข้าจะลงมือได้เมื่อใดขอรับ?”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” เจ้าสำนักตระกูลถังพอใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายมาก ขณะที่เขากล่าวว่า “พวกเขายังคงระมัดระวังตัวอยู่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะลงมือ”
ฉู่เสวียนหรี่ตาเรียวยาวให้แคบลงพร้อมกับความไม่พอใจที่ฉายชัดบนใบหน้า “ข้าสามารถส่งคนไปแอบจับตัวนางมาโดยที่ไม่มีใครรู้ได้”
“แล้วจากนั้นล่ะ?” ถังเป่ยเฉินเลิกคิ้วถามด้วยความสนใจ “เจ้าจะจัดการนางอย่างไร ผู้หญิงคนนี้หลอกใช้เจ้า หักหลังเจ้า เกือบทำให้เจ้าต้องตาย เจ้าจะทรมานนางอย่างไรหลังจากจับตัวนางมาแล้ว”
“ข้าอยากให้นางทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตาย” ฉู่เสวียนกัดฟันพูดเสียงต่ำฟังดูคล้ายเสียงของงูพิษ “ข้าอยากให้นางได้ลิ้มรสความทุกข์ทรมานที่ข้าได้รับ”
“เพียงเท่านี้เองหรือ?” เจ้าสำนักตระกูลถังยืนขึ้นเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม แล้วกระซิบพูดเสียงต่ำลงเป็นการสะกดจิตเขาว่า “เมื่อเทียบกับสิ่งที่นางทำ ข้ามีวิธีที่ดีกว่า”
แสงในดวงตาของฉู่เสวียนพลันสว่างมากยิ่งขึ้น จากนั้นเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองผู้เป็นนาย “วิธีใดหรือขอรับ?”
“ทำลายสิ่งที่นางรักมากที่สุด” ถังเป่ยเฉินเหยียดยิ้มชั่วร้าย “เจ้าไม่คิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในการแก้แค้นคนคือการทำลายทุกสิ่งที่นางรักไปทีละอย่างเช่นนั้นหรือ?”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วมองไปยังทิศทางที่หลัวเซียวเซียวหายตัวไปอย่างครุ่นคิด
“ยิ่งไปกว่านั้น นางเป็นคนแรกที่กล้ามาหลอกใช้เจ้า และยังหลอกให้เจ้าตายแทนนางด้วย” เจ้าสำนักตระกูลถังกางพัดของตัวเองออกแล้วขยับมันช้า ๆ “แบบนี้มันถึงจะสมน้ำสมเนื้อ”
“สิ่งที่นางรักมากที่สุด…” ฉู่เสวียนพึมพำกับตัวเองประหนึ่งว่าตนถูกสะกดจิต “สิ่งที่นางรักมากที่สุดก็คือมู่ไป๋ไป่ องค์หญิงหก”
“เจ้าจะฆ่านางหรือ?” ดวงตาของถังเป่ยเฉินฉายแววกระหายเลือด “เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าอยู่แล้ว ไม่ว่าเจ้าตัดสินใจอย่างไร ข้าก็จะสนับสนุนเจ้า ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นสหายกัน”
ดูเหมือนว่าฉู่เสวียนจะขยับตัวเล็กน้อย เขาเหลือบมองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ขอบคุณขอรับ”
“จุ๊ ๆ ฉู่เสวียน เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว เจ้าไม่เคยพูดขอบคุณข้ามาก่อนเลย” ถังเป่ยเฉินพูดพร้อมกับหยิบจอกสุราขึ้นมายื่นให้คนตรงหน้า “ข้าดีใจมากที่ได้ยินเจ้าพูดขอบคุณข้า”
“เมื่อก่อนข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างจริงใจ แต่เจ้ากลับรู้สึกเสมอว่าข้าคิดจะทำร้ายเจ้า”
“เรื่องนี้ข้าไม่ตำหนิเจ้า ข้ารู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะหลัวเซียวเซียวคนนั้น นางคอยพูดเรื่องไม่ดีของข้าต่อหน้าเจ้า”
“ตอนนี้พวกเราได้ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด”
ฉู่เสวียนหยิบจอกสุราขึ้นมาแล้วมองดูสุราในจอกด้วยความรู้สึกมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง
เป็นเช่นนั้นหรือ?
ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าคำพูดนั้นมีช่องโหว่
แต่แล้วมันผิดปกติตรงไหนล่ะ?
ชายหนุ่มพยายามคิดถึงเรื่องนี้ แต่หัวสมองของเขาก็ว่างเปล่าไปทันทีพร้อมกับมีเสียงตะโกนดังในใจบอกว่าสิ่งที่ผู้เป็นนายพูดนั้นเป็นความจริง
ทุกคนในใต้หล้านี้อาจจะโกหกเขา แต่ไม่ใช่กับถังเป่ยเฉิน
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นบุคคลเดียวที่คู่ควรฝากความไว้วางใจ
“ขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านพูด” ฉู่เสวียนยกสุราดื่มจนหมดจอก “ข้าจะทำลายสิ่งที่หลัวเซียวเซียวรักมากที่สุด ทำให้นางต้องทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้า”
พอได้ยินดังนี้ถังเป่ยเฉินก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจ
ในเวลาเดียวกัน พวกมู่ไป๋ไป่ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักตระกูลถังได้ติดตามพวกตนมาแล้ว
นับตั้งแต่ที่ทุกคนได้พบกับอวี้หวานหว่าน ก็มีคนคอยดูแลมู่ไป๋ไป่เพิ่มอีกคนหนึ่ง
เด็กหญิงคอยเฝ้าดูศิษย์พี่ใหญ่ดื่มยา และกินข้าวให้ตรงเวลาทุกวัน พอมีนางอยู่ด้วย หลัวเซียวเซียวกับเซียวถังถังก็ดูเหมือนจะมีเวลาว่างมากขึ้น
ขณะนี้มู่ไป๋ไป่กำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่างเพื่อรับลมที่พัดเข้ามาและนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ กับตัวเอง แต่แล้วจู่ ๆ ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดเข้ามาจากด้านนอก
ตามด้วยอวี้หวานหว่านที่เดินเข้ามาพร้อมกับของว่าง ทันทีที่นางเห็นว่าศิษย์พี่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง นางก็อุทานเสียงดังว่า “ศิษย์พี่! ทำไมท่านถึงลุกจากเตียงแล้วยังไปรับลมที่หน้าต่างอีก! ถ้าร่างกายท่านถูกความเย็นจนเป็นหวัดขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
“ท่านรีบกลับขึ้นไปนอนบนเตียงเร็วเข้า!”
เด็กหญิงรีบวิ่งไปปิดหน้าต่าง 2-3 บานที่อยู่ใกล้เคียง แล้วดันหลังหญิงสาวให้กลับไปนอน
“หวานหว่าน… ข้าหายดีแล้ว” มู่ไป๋ไป่พูดพร้อมกับทำหน้าสิ้นหวัง “แล้วข้าก็ไม่ใช่คนอ่อนแอขนาดนั้น…”
นี่เธอดูเป็นคนอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือ?
“ก็ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นไม่ได้” อวี้หวานหว่านยืนเท้าสะโพกบ่นผู้เป็นศิษย์ที่ “ท่านแม่บอกว่าให้ข้าจับตาดูท่านเอาไว้ อย่าให้ท่านทำตัววุ่นวาย ถ้าท่านไม่เชื่อฟังข้า ข้าจะไปฟ้องท่านแม่”
พอมู่ไป๋ไป่ได้ยินว่านี่เป็นคำสั่งของเจียงเหยา เธอก็รู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาทันที
ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะยังไม่ปล่อยผ่านเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งที่ผ่านมา ดังนั้นการที่เธอจะไปยั่วโมโหอีกฝ่ายในตอนนี้นับว่าไม่ฉลาดนัก
สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงกลับไปนอนลงบนเตียงอย่างเชื่อฟังเท่านั้น
“ดีมากเจ้าค่ะ” อวี้หวานหว่านพยักหน้าชื่นชม “ศิษย์พี่ ท่านจะต้องเป็นเด็กดีคอยดูแลตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายของท่านฟื้นตัวเร็วขึ้น”
“นี่คือขนมบัวหิมะโสมที่ข้าทำให้ท่านด้วยตัวเอง”
“ศิษย์พี่ ท่านชอบกินของว่างไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ท่านมาลองชิมสิ ข้าใส่โสมเพิ่มเข้าไปด้วยจะได้ช่วยบำรุงร่างกายของท่าน”
มู่ไป๋ไป่ได้แต่นิ่งอึ้งพูดไม่ออกเมื่อได้ยินชื่อขนม
อวี้หวานหว่านมีความสามารถในทุกด้าน ยกเว้นฝีมือการทำอาหารของนางที่ย่ำแย่มาก
แต่เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้ นางถึงได้หลงใหลในการทำอาหารมาก และยังเคยทำอาหารที่มีหน้าตาน่ากลัวในหุบเขาหมอเทวดาด้วย
เนื่องจากลูกศิษย์ทุกคนในหุบเขาหมอเทวดาต่างก็เกรงใจเด็กหญิง ดังนั้นพวกเขาจึงกินมันเข้าไปโดยที่ไม่มีใครบ่นว่ามันมีรสชาติแย่เลยสักนิด
ต่อมา พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องควบคุมความกระตือรือร้นในการทำอาหารของอวี้หวานหว่าน ซึ่งทุกคนจะช่วยกันหาเหตุผลที่จะไม่ให้นางลงมือทำอาหารเองต่าง ๆ มากมาย
ใครจะไปคาดคิดว่าหลังออกจากหุบเขาแล้ว เด็กคนนี้จะเริ่มสนใจการทำอาหารอีกครั้ง
มู่ไป๋ไป่แทบจะอาเจียนออกมาหลังจากกินขนมแปลก ๆ ที่อีกฝ่ายทำเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ในวันนี้เธอรู้สึกคิดถึงเจ้าส้มมาก
ถ้าเจ้าแมวอ้วนตัวนั้นอยู่ที่นี่ เธอยังจะสามารถยัดขนมทั้งหมดเข้าไปในปากอีกฝ่ายได้
น่าเสียดายที่เจ้าส้มไม่ได้อยู่ที่นี่
“ศิษย์พี่? ทำไมท่านไม่กินล่ะเจ้าคะ?” พออวี้หวานหว่านเห็นศิษย์พี่ใหญ่เอาแต่นิ่งเงียบ นางก็เอียงคอมองพร้อมพูดด้วยท่าทางเสียใจเล็กน้อยว่า “ศิษย์พี่ไม่ชอบขนมที่หวานหว่านทำหรือ?”
“ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่อยากกินอะไรเจ้าคะ? ข้าจะไปทำมาให้ท่าน!”
ขณะที่นางพูด นางก็เลิกแขนเสื้อแล้วลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางฮึกเหิม
มู่ไป๋ไป่รีบห้ามเด็กคนนั้นไว้ทันที “ไม่ต้อง! ไม่ต้อง เพียงแค่มื้อกลางวันข้ากินเยอะมากเกินไป ตอนนี้ข้าเลยอิ่มจนกินอะไรไม่ลงแล้ว”
นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เธอไม่อยากให้มีขนมแปลก ๆ เพิ่มขึ้นมาในห้องอีก
“นั่นสินะ” หลังจากอวี้หวานหว่านได้ยินสิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่พูด นางก็ไม่ได้รบเร้าอะไร แล้วนางก็วางจานขนมไว้ด้านข้างโดยไม่ลืมที่จะกำชับด้วย “ศิษย์พี่ ถ้าท่านหิวก็กินมันได้เลยนะ”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 171
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น