บทที่ 3 : เงื่อนและเงา

คือใจในกาล
คุณกำลังอ่าน: คือใจในกาล (จบ)

-A A +A

บทที่ 3 : เงื่อนและเงา

               มันควรเป็นคืนแห่งการพักผ่อนหลังฟื้นไข้ หากเสียงเร่งเร้าจากโทรศัพท์นับสิบครั้งก็ปลุกร่างสันทัดให้งัวเงียขึ้นรับอย่างไม่สู้เต็มใจนัก

               "ยาโด แกอยู่ไหน มาโรงเรียนหรือเปล่า"

               เสียงปลายสายเป็นของไซเรียน เร่งร้อนพิกลจนยาโดนึกแปลกใจ

               "เพิ่งตื่น" เขาตอบ

               "ฟังฉันให้ดีนะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล ซารีล้มเมื่อเช้ากลางคาบศิลปะประยุกต์"

               ความงัวเงียแตกกระจายพร้อมสติ ยาโดทะลึ่งพรวดขึ้นนั่ง สะบัดศีรษะแรงๆ พูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ ตาพร่าง่วงเห็นเข็มสั้นบนหน้าปัดนาฬิกามุมห้องชี้เลขสิบ เขาตกใจสองอย่างในเวลาเดียวกัน หนึ่งนั้น เขาสายเกินเวลาเข้าคาบร่วมชั่วโมง และอีกหนึ่งยิ่งกว่านั้นคือ ข่าวที่เพิ่งได้รับเมื่อครู่

               "ว่าไงนะ"

               เมื่อหลุดปากคำแรกได้ ยาโดก็ร้องแทบเป็นตะโกนใส่โทรศัพท์ ตกใจเกินกว่าจะมัวนึกว่าปลายสายต้องยกมืออุดหูเพราะเสียงนั้นหรือไม่

               "บอกแล้วว่าให้ทำใจ ฉันเองก็ตกใจพอกับแกนั่นแหละ ซารีนั่งเรียนกับฉันอยู่ดีๆก็ร่วงลงเก้าอี้ไปเฉยๆ ครูถึงกับต้องเลิกสอนเลยวันนี้"

               "แก่อยู่ตรงไหนของโรงพยาบาล" ยาโดถามลิ้นพันกัน

               "ข้างตึกฉุกเฉิน" ไซเรียนตอบแล้วรีบดักเหมือนรู้ว่าประโยคต่อไปจะเป็นอะไร "แกไม่ต้องมา อย่าถามว่าทำไม ฉันบอกตอนนี้ไม่ได้"

               "เพื่อนล้มทั้งคนนะ" คนเพิ่งฟื้นไข้ทั้งหงุดหงิดทั้งร้อนใจ เสียงปลายสายแทรกกลางปล้อง ช้า ชัดเจน

               "ถ้าแกเรียนบ่ายเสร็จ ไปหาฉันที่บ้าน แล้วฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง"

               แล้วสายก็ถูกตัด ยาโดกระแทกโทรศัพท์ลงบนผ้าห่ม กระแทกตัวนอนตาม รู้สึกไม่อยากไปเรียนตอนบ่ายขึ้นฉับพลัน เขาอยากให้นาฬิกาถึงเลขสี่เร็วๆ...นาฬิกา...

               "บ้าเอ๊ย!"

               เสียงสบถดังหนักเท่ากับสังหรณ์ที่พุ่งวูบ เด็กหนุ่มลุกพรวด ซวนเซเพราะอาการปวดศีรษะค้างจากเมื่อวานยังไม่หายสนิท เขาเอื้อมไปหยิบวัตถุเป้าหมายหลังกระเป๋าบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ เปิดหน้าต่างให้แดดสองแล้วจ้องมันไปทีละส่วน

               สายเก่า กรอบเก่า ทุกอย่างเก่า แดงซีดในสภาพเดิมกับตอนเห็นครั้งแรก เขาไม่รู้สึกถึงความขนลุกที่ซาริตีว่า แต่เพราะอะไร ทำไมคนรู้จักสองคนจึงมีอันล้มไปในเวลาไล่เลี่ยกัน และหลังเห็นนาฬิกาเรือนนี้เหมือนกัน หรือซาริตีไม่ได้ล้มเพราะนาฬิกา

               คิดได้ดังนั้น ใจค่อยชื้นขึ้นบ้าง ร่างสันทัดเกือบผอมเดินกระย่องกระแย่งออกนอกห้อง เขาเพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าหิว ขนมปังจากเมื่อวานยังเหลือเป็นมื้อเช้าเลยถึงกลางวันได้ เขาจัดการตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วเดินไปโรงเรียน ตามถนนสายคุ้นเคย ผ่านร้านรวงที่เห็นจนเจนตา และพบคนรู้จักเข้าตรงทางเลี้ยวออกถนนใหญ่ โซโบในชุดนักเรียนโบกมือให้จากอีกฟากถนน ยาโดโบกตอบ แล้วทั้งสองก็เดินครึ่งทางที่เหลือด้วยกัน

               "ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่าพี่ซารีล้ม" เด็กหนุ่มว่า เมื่อสหายของพี่ชายเล่าเรื่องในโทรศัพท์ให้ฟัง

               "วันนี้เขาไม่มีคาบบ่ายใช่ไหม" ยาโดถาม

               "ไม่ฮะ มีแค่ศิลปะประยุกต์ตอนเช้าวิชาเดียว"

               อยู่ๆ ยาโดหยุด เขาเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้อย่างหนึ่ง และเป็นการนึกที่แม้ตัวเองก็แปลกใจว่าทำไม เขาดึงร่างรุ่นน้องเข้าข้างทาง ลดเสียงลง

               "โซโบ เธอมีสัมผัสที่หกใช่ไหม"

               อีกฝ่ายเบิกตากว้าง ทั้งฉงนทั้งงงกับคำถามนั้น

               "ผม...ครับ พี่มีอะไรหรือเปล่า"

               มิใช่เพียงแต่โซโบที่งง แม้เจ้าของคำถามเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน เขารู้มานานแล้วว่าน้องชายเพื่อนผู้นี้มีอะไรพิเศษ แต่ไม่ได้สนใจมากนัก บัดนี้ ความประสงค์รุนแรงอย่างหนึ่งกลับแวบขึ้นในใจ แม้ไม่ถึงกับศรัทธา โซโบอาจให้ความกระจ่างเกี่ยวกับนาฬิกาเรือนนี้ได้บ้าง

               "ช่วยดูนาฬิกาเรือนนี้ให้พี่หน่อย" พูดพลาง เขาก็ม้วนแขนเสื้อให้เห็นวัตถุแดงซีดบนแขน หนุ่มรุ่นน้องก้มลงจนชิด นิ่งอยู่ครู่ก็ถอนสายตาออก

               "ผมเห็นแต่อะไรดำๆอยู่ในนั้นสามจุด"

               ยาโดพยายามจ้องด้วยตัวเอง ไม่เห็นอะไรนอกจากแสงตัวเลขแดงเรือง หากโซโบไม่ปั้นเรื่อง นาฬิกาเรือนนี้คงมีอะไรแอบแฝงอยู่ แต่เขาจะเอาหลักฐานมาจากไหน นอกจากไปถามร้านขายของมือสองที่พ่อซื้อมา ร้านอะไรก็ยังไม่รู้

               ยาโดตัดบทด้วยการออกเดินต่อ ไม่สนใจสายตางงๆของรุ่นน้องข้างๆ เขาเงียบตลอดทางจนถึงเวลาแยกกัน และเงียบต่อไปอีกตลอดคาบนั้นจนหลายคนนึกแปลกใจ

               "มีอะไรหรือเปล่า ท่าทางเธอไม่แจ่มใสเลยนะ" เจโก ครูคอมพิวเตอร์ที่เขาสนิทด้วยที่สุดถามตอนหมดคาบ ยาโดเพียงฝืนยิ้ม ตอบกึ่งปัดว่า

               "ผมแค่รู้สึกไม่ดีที่ทำงานชิ้นแรกให้ครูไม่สำเร็จน่ะครับ"

               เจโกยกมือเหี่ยวตบไหล่เขาเบาๆ

               "ไม่มีใครเกิดมาทำสำเร็จทุกอย่างหรอก ไม่ต้องเครียด ครูตรวจคอมเครื่องนั้นแล้ว เธอทำไม่พลาดหรอก มันเกินกำลังของเธอจริงๆ"

               เด็กหนุ่มนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วถามว่า

               "ตอนนี้เครื่องนั้นอยู่ไหนแล้วครับ"

               เจโกยิ้มน้อยๆ ตาสีเมล็ดถั่วแก่ๆมีประกายพอใจ

               "ครูส่งร้านไปแล้วล่ะ คงจำเป็นต้องถอดชิ้นส่วนเลย ครูเองก็ซ่อมไม่ได้เหมือนกัน ไม่มีเครื่องมือ"

               ยาโดสนทนากับครูอีกครู่ก็ขอตัวกลับ นาฬิกาเจ้าปัญหาเรือนเดิมบอกเวลาสี่โมงตรง เขาเดินจนพ้นตัวตึกออกมาหลบหลังรถยนต์คันหนึ่ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นกดหมายเลขที่รอคอยทั้งบ่าย

               "ฉันอยู่บ้านแล้ว มาได้เลย"

               ปลายสายรับแล้ววาง ไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดแม้คำเดียว แต่เท่านั้นก็พอแล้ว

               ประตูเล็กเปิดกว้างรับคนมาเยือนเช่นเคย หมาด่างชอบผูกมิตรก็อยู่บนลานแคบหน้าบ้านเช่นเคย ยาโดเตรียมพร้อมหลบการกระโดดใส่ แต่เขาไม่ได้ทำ เพราะประตูด้านในเปิดออก ร่างหนึ่งก้าวมาดักมันไว้เสียก่อน

               "สวัสดีตอนบ่ายครับน้าซีรา" ว่าที่นักคอมพิวเตอร์ทักทาย ซีรายิ้มรับขณะไล่เจ้าเดวีให้ไปหมอบดีๆ เธอเป็นคุณแม่ยังสาวโดยแท้ แม้วัยจะล่วงเข้าต้นสี่สิบ ผิวเนื้อสีเดียวกับลูกชายชนิดถอดแบบกัน สูง และมักอยู่ในชุดคลุมตามสบายสีไม่ซ้ำ วันนี้เธอใส่สีเขียวสด มีลายใบไม้ปักไว้ตามชายเสื้อเต็มไปหมด

               "ไซเรียนอยู่ข้างในแน่ะ" ซีราบอกหลังจัดการเจ้าด่างไปพ้นประตู ยาโดยิ้ม ก้มศีรษะขอบคุณแล้วเดินเข้าข้างใน

               ตลอดสองข้างทางแคบๆปูกระเบื้องลายใบไม้ เป็นม้านั่งยาวสลับโต๊ะและชั้นเล็กๆไปจนสุด เหนือม้านั่งแขวนภาพเล็กบ้างใหญ่บ้างไว้เต็มผนัง ภาพเหล่านั้นยาโดคุ้นเคยดี บางภาพเจ้าของบ้านวาดเอง บางภาพก็มีคำกำกับว่ามาจากที่อื่น บางภาพสดใสใหม่เอี่ยม บ้างเก่าซีด บอกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ผ่านเส้นสีเลือนจาง

               เขาหยุดชะงักอยู่ที่ภาพหนึ่งเหนือม้านั่งตัวขวาสุดทางเดิน ภาพนี้มองอย่างไรก็ไม่คุ้นตา เป็นภาพชายชราผอมสูง มือซ้ายถือมีดปลายแหลม มือขวาชี้ลงพื้น เส้นสีของมันใหม่ราวกับเพิ่งถูกวาดเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ ใต้ภาพมีตัวอักษรกำกับสีแดงเข้มชัดเจน

               'เทพแห่งความมืด เซบรี วาดเมื่อ 2/11/2005 ดรานาศก'

               นาม เซบรี สะดุดความรู้สึกอย่างประหลาด เขาเห็นมันไม่กี่ครั้งในหนังสือประวัติศาสตร์และจากการบอกเล่าของไซเรียนผู้คลั่งเรื่องเหนือธรรมชาติ ดรานาเดิมแตกความเชื่อออกเป็นสามลัทธิใหญ่ เซบรีเป็นหนึ่งในนั้น ตรงข้ามกับโซเมแห่งแสงสว่าง คนลัทธินี้ส่วนใหญ่ฝึกอำนาจจิตเพื่อการประกอบพิธีนอกรีต จนทำให้เกิดสงครามลัทธิขึ้นเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน หลังจากนั้น ชื่อของเซบรีก็แทบไม่ปรากฏที่ไหนอีก นอกจากเป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงผิวเผินเท่านั้น พวกบูชาเซบรีป่าเถื่อนอย่างไร ชาวดรานายุคหลังฟังเอาเป็นนิทานเสียมากกว่าอย่างอื่น

               "เฮ้!"

               เสียงเรียกพร้อมน้ำหนักแตะที่ไหล่ เรียกสติให้เขาหันไปมอง ร่างสูงที่อยากพบยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าปกติประดับยิ้มร่าเริง วันนี้กลับเผือดเครียดจนดูหมอง ยิ่งบวกกับแผลเป็นด้วยแล้ว ยิ่งคล้ายคนมีภาวะทางจิต

               "เป็นไง ชอบรูปใหม่ของแม่ไหม"

               ยาโดหันไปพินิจรูปเซบรีอีกครั้งแล้วฝืนยิ้ม แม้จะถูกวาดบรรจงเพียงใด สีสันชัดเจนแค่ไหน เขากลับมิอาจทำใจให้ชอบได้

               "ถ้าไม่ชอบก็บอกตรงๆได้ โซโบบ่นไปแล้วสามสี่รอบตอนแม่เอามันมาแขวน บอกว่าไม่อยากลงมาเข้าห้องน้ำกลางคืน กลัวภาพนี้เป็นผีมาหลอก"

               ยาโดนึกขำ แต่ยังนิ่งอยู่ หากเป็นเวลาปกติเขาคงสนับสนุนคำกล่าวของน้องชายเพื่อนไปแล้ว แต่ใบหน้าที่เห็นทำให้หัวเราะไม่ออก แม้จะขำเพียงใด

               "ความจริงก็สวยดี แต่ฉันรู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้" เขาสารภาพตามตรงแล้วชี้ไปที่มีดในภาพ "ฉันเคยได้ยินแต่เซบรีถือพัดสีเทา ทำไมรูปนี้ถือมีดล่ะ"

               สหายหน้าแผลเป็นมองนิดหนึ่งแล้วร้องอ้อ อธิบายว่า

               "นั่นมันภาคความมืด เซบรีที่แกเห็นเป็นอีกภาคที่เพิ่งนับถือกันช่วงก่อนสงครามลัทธินี่เอง ภาคความตาย มีดนั่นเขาว่าเอาไว้ทำลายวิญญาณไม่ภักดี อะไรไม่รู้บ้าบอ พวกที่นับถือเซบรีภาคนี้ถึงมีข้ออนุญาตให้ใช้อำนาจจิตสะกดใจใครได้ตามใจชอบไง"

               แล้วสองหนุ่มก็สยิวกายพร้อมกัน ไซเรียนตัดบทชวนเข้าข้างใน ไม่ให้เขาถามอะไรอีก ยาโดเองก็เริ่มอยากรู้เรื่องซาริตีมากกว่าภาพน่ากลัวบนผนัง ทั้งสองเข้าห้องเล็กสุดทางเดินที่ใช้เป็นทั้งห้องนั่งเล่นและห้องอาหาร กลิ่นหอมของอะไรอบในครัวโชยเข้าจมูก แต่ไม่มีใครใส่ใจ

               "แกนะแก เพื่อนป่วยอยู่โรงพยาบาล หลอกให้ฉันพูดเรื่องเทพน่ากลัวนั่นเสียยืดยาว" คนตัวสูงกระแทกนั่งพลางบ่นพลาง ใบหน้ายังเคร่งเครียดเช่นเดิม

               "ฉันไม่ได้ขอให้แกอธิบายนี่ อยากเล่าเองแล้วมาโทษคนอื่น"

               ตอบแล้ว ยาโดก็ยกมือถูกันแรงๆ เขาไม่ใช่คนกลัวอำนาจลึกลับ แต่บัดนี้กลับมีอาการตะครั่นตะครออย่างประหลาดหลังจากเพียงได้ยินเพื่อนกล่าวถึงเซบรี คงเป็นเพราะยังหลอนอาการป่วยผิดธรรมดาของมีนากระมัง เขาสรุปกับตัวเอง

               "อะไรก็ช่างเถอะ ฉันเข้าเรื่องเลยแล้วกัน" ไซเรียนยืดตัวขึ้น ใบหน้าขาวดูเผือดลง ยาโดมองแล้วให้นึกหวาดอยู่ลึกๆ เขาไม่เห็นคนผู้นี้จริงจังกับอะไรแม้แต่งานมานานจนแทบจำครั้งสุดท้ายไม่ได้แล้ว

               "แกจำอาการพี่มีนาได้ไหม"

               ยาโดพยักหน้า ใจเริ่มเต้นแรงจนรู้สึกได้ ขอให้ไม่ใช่คำตอบนั้น ไม่ใช่.....

               "ซารีเป็นเหมือนพี่เขาเลย ร้องโวยวายหานาฬิกาเหมือนกันด้วย"

               เขาเม้มปากสนิท ใจเต้นถี่รัวจนรู้สึกอึดอัด มันเป็นอย่างที่คิดจริงๆ

               "วันนี้ฉันไปเยี่ยมพี่มีนามา ญาติกำลังรับกลับบ้านพอดี หมอบอกว่าอาการเหมือนคนหลับธรรมดา คลื่นสมองก็ปกติ แต่ไม่มีใครเชื่อ เขาว่าถ้าโรงพยาบาลรักษาให้ไม่ได้ก็จะพึ่งอย่างอื่น"

               เขายังคงนิ่ง

               "ว่าแต่แกเถอะ โซโบเล่าเรื่องวันนี้ตอนเที่ยงให้ฉันฟังแล้วนะ แกมีอะไรหรือเปล่า"

               ยาโดยังนิ่ง และนิ่งต่อไปจนคนเล่ายื่นมือบีบไหล่หนักๆ เขานิ่งต่อไปอีกครู่จึงสงบสติอารมณ์ได้ ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฟัง

               "แปลกมาก" สหายผิวขาวคราง "วันนั้นตอนแกเอาให้ดู ฉันก็รู้สึกปวดหัวแปลกๆเหมือนกัน"

               ยาโดใจหายวาบ สะท้านไปทั้งร่าง ความห่วงเพื่อนอัดขึ้นในอกจนต้องหายใจลึกๆข่มไว้ เขาให้อภัยตัวเองไม่ได้เด็ดขาด ถ้าไซเรียนเป็นอะไรไปอีกคน

               "แกรู้สึกอะไรแปลกๆบ้างไหม"

               "ไม่นะ แค่ปวดหัวตอนจ้องหน้าปัด" คำตอบทำให้ใจชื้นขึ้นเล็กน้อย ตอบแล้วไซเรียนก็ถามต่อ "แกเอานาฬิกามาด้วยไหม ฉันขอดูอีกที"

               "ไม่" ยาโดหลุดปากดังจนอีกฝ่ายตกใจ เขารู้สึกตัว นิ่งสะกดอารมณ์อยู่ครู่จึงพูดต่อ ลดเสียงลง "ฉันเอามา แต่ฉันไม่ให้ใครดูอีกทั้งนั้น ฉันจะไม่ใช้มันอีกแล้ว"

               ไซเรียนถอนใจยาว ยื่นมือสัมผัสมือเย็นชื้นของเพื่อนเบาๆ เขาอาจไม่ใช่คนคิดมากอย่างยาโด แต่ในภาวะนี้ แม้คนคิดมากที่สุดก็คงยากจะเห็นสาเหตุของปัญหา อะไรอยู่เบื้องหลังนาฬิกาเรือนนั้น คงมีแต่มิชที่รู้

               "ยาโด" เขาตัดสินใจ บีบแขนเพื่อนหนักๆ "พ่อแกอยู่บ้านไหมวันนี้"

               "พ่อไปเขียนป้ายต่างจังหวัด กลับมาเย็นๆโน่น" ยาโดตอบทอดถอน

               "งั้นแกอย่าเพิ่งทำอะไรทั้งนั้น รอพรุ่งนี้เจอพ่อตอนเช้า ลองเลียบๆเคียงๆดูว่าไปได้นาฬิกามาจากไหน"

               ทั้งสองสนทนาเรื่อยเปื่อยอีกร่วมชั่วโมง ว่าที่นักคอมพิวเตอร์จึงขอตัวกลับ เขาพบซีรายืนมองภาพเซบรีอยู่ข้างบันได ไม่สนใจเสียงลูกชายโวยวายจากในครัวให้เอาอาหารออกจากเตา

               "กินอะไรด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับไหม" เธอถาม ใบหน้านั้นยาโดทายไม่ถูกว่ายิ้มให้เขาหรือให้ชายชราในภาพ ท่าทางซีราพอใจกับการเอาความน่ากลัวแขวนไว้หน้าบันไดเสียจริงๆ

               "ไม่รบกวนล่ะครับ" เขาปฏิเสธตามมารยาท แต่ยังไม่ทันขยับ ร่างสูงอีกหนึ่งก็เดินลงบันไดมาสมทบ ร้องทักตั้งแต่ข้างบน

               "สวัสดีตอนเย็นฮะ กินข้าวด้วยกันไหมพี่"

               "ไม่ล่ะ ตามสบายเถอะ" ยาโดส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่อง ท่าทางวิตกของอีกฝ่ายทำให้เหตุการณ์เมื่อกลางวันย้อนกลับสู่ห้วงคิดอย่างช่วยไม่ได้ "เธอดูเพลียๆนะ ไม่สบายหรือเปล่า"

               โซโบยกมือลูบหน้า บิดขี้เกียจสองสามครั้ง

               "เปล่าฮะ ผมมีงานต้องทำสื่อนำเสนอวันพรุ่งนี้"

               เขาหยุด โบกมือไปทางภาพเซบรี

               "ผมทำเรื่องลัทธินี้อยู่ฮะ"

               ยาโดเพียงยิ้ม ไม่สนใจนัก บ้านนี้เกี่ยวข้องกับทั้งศิลปะทั้งประวัติศาสตร์จนเหมือนเป็นปกติไปเสียแล้ว ซีราถนัดงานแนวนี้ ลูกชายสองคนที่เรียนคอมพิวเตอร์ประยุกต์ก็พลอยได้รับอิทธิพลไปด้วย โดยเฉพาะโซโบ สัมผัสที่หกทำให้เขาหาเรื่องสร้างสื่อภาพแปลกๆได้เสมอ และเป็นงานที่คนถนัดซ่อมเครื่องอย่างยาโดเข้าไม่ถึง

               "กลับไปอยู่บ้านแกก็ไปนั่งคิดงี่เง่าเปล่าๆน่า กินข้าวด้วยกันก่อนค่อยไป ลุงมิชคงกลับมาพอดีตอนแกถึง" ไซเรียนบอกจากในครัว สองคนที่เหลือช่วยคะยั้นคะยอด้วย ยาโดคร้านจะปฏิเสธอีก จึงร่วมวงอาหารเสีย ไซเรียนอาจพูดถูกก็ได้ เขาไม่มีอะไรให้ทำที่บ้านนอกจากนั่งเครียดคนเดียว

               อาหารเย็นนั้นเป็นไข่ห่อเนื้อสับและผักสองสามชนิดด้านใน สองพี่น้องบ่นแล้วบ่นอีกจนซีราจากขำเริ่มรำคาญ

               "โธ่! นึกว่าอะไรหอมๆจะน่ากินกว่านี้เสียอีก"

               "ก็บอกแล้วว่า คราวหน้าถ้าอยากกินอะไรทำเองเลย จะได้ไม่ต้องบ่น"

               "ก็ผมวุ่นวายนี่แม่"

               "งั้นก็โทษตัวเองแล้วกินไป"

               ครึ่งแรกผ่านไปด้วยเสียงบ่น ว่าที่นักคอมพิวเตอร์หลุดขำเสียหลายครั้ง อดนึกเปรียบเทียบกับพ่อตัวเองไม่ได้ ครอบครัวนี้ไม่จริงจังกับอะไรมากนัก ถ้าคนร่วมโต๊ะเป็นมิช เขาจะโดนอะไรบ้างนะ

               "แม่ บัญญัติศาสนาของดรานาตรากฎหมายไว้ข้อหนึ่งหลังประกาศให้เซบรีเป็นลัทธิต้องห้ามใช่ไหมฮะ" โซโบทนรำคาญการทะเลาะวกไปวนมาไม่ไหว เปลี่ยนเรื่องเสียกลางคัน ซีรามองลูกชายนิดหนึ่ง ตอบระมัดระวัง

               "ใช่ ห้ามคนมีพลังจิตใช้อำนาจอ่านหรือขืนใจใคร นอกจากเป็นการยินยอมของเจ้าของ ลูกจะเอาไปใส่ในสื่อหรือ"

               "ฮะ แม่รู้ไหมว่าข้ความเต็มๆมันว่ายังไง"

               จิตรกรลูกสองส่ายหน้า

               "ไปดูหนังสือกฎหมายศาสนาสิ"

               ไซเรียนวางแก้วน้ำที่เพิ่งยกขึ้นดื่มลงดังๆจนทั้งโต๊ะหันมอง เขาอ้าปากทำท่าจะพูด แต่แล้วกลับส่ายหน้า ยกน้ำขึ้นดื่มเสีย

               "เป็นอะไรของลูกน่ะไซเรียน ทำท่าเหมือนจะพูดก็ไม่พูด" ซีราแหว ลูกชายหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย

               "ผมแค่จะถามแม่ว่า พวกเซบรีใช้วิธีอะไรสะกดใจคนอื่น เท่านั้นเอง"

               "แล้วทำไมต้องกระแทกแก้วด้วยล่ะ" ทั้งแม่ทั้งน้องชายถามแทบพร้อมกัน โซโบต่อท้ายมาอีกว่า "ทำเหมือนตกใจอะไรงั้นแหละ"

               "ไม่ได้ตกใจเสียหน่อย แค่คิดแล้วขนลุกน่ะ" ปากแก้ตัวอ้อมแอ้ม สายตาลอบชำเลืองมาทางยาโดที่นั่งเงียบอยู่อีกฟากโต๊ะ เขาจ้องตอบ พยายามอ่านรหัสในแววอึดอัดนั้น

               "ถ้าอยากรู้ แม่ก็จะเล่าที่เคยได้ยินมาให้ฟัง แต่วันหลังอย่าทำคนอื่นตกใจแบบนี้อีกนะ" ซีราว่า วางมือจากอาหารแล้วเริ่มต้นเล่า

               "ตอนตายังอยู่ ตาบอกแม่ว่ามีวัดของลัทธิต่างๆเต็มไปหมด วัดของเซบรีสังเกตง่ายที่สุด เพราะแขวนผ้าดำไว้หน้าประตูทุกวัด คนเข้าวัดพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกมีปัญหากับสังคม พอเข้าไปแล้วก็กลับออกมาทำอะไรวุ่นวาย บางคนฝึกสมาธิเป็นบ้าเป็นหลัง เอาไปใช้ควบคุมคนอื่นให้ทำตามใจตัวเอง คนดีๆโดนข้อหาฆ่าเพื่อนฆ่าฝูงแบบไม่รู้ตัวก็มี"

               ทั้งโต๊ะเงียบ แม้คนยังไม่อิ่มอาหารก็พลอยวางมือตั้งใจฟังไปด้วย

               "หนักเข้า พวกที่ไม่ไหวกับพฤติกรรมคนลัทธินี้ก็ลุกขึ้นต่อต้าน ฆ่ากันตายไปก็มาก จนสภาศาสนาแห่งชาติต้องออกประกาศให้พวกเซบรียอมแก้ไขความเชื่อตัวเอง แต่ไม่มีใครยอม สุดท้ายเลยประกาศให้เซบรีเป็นลัทธิต้องห้าม ให้กวาดล้างได้ตามกฎหมาย ทำกันถึงขนาดพัฒนาเครื่องจับพลังจิตขั้นต่ำจนสำเร็จ เอาไว้หาว่าพวกที่หนีไปหลบอยู่ตรงไหน นักบุญลัทธิอื่นที่มีพลังจิตพากันมาขึ้นทะเบียนหลบลูกหลง กลายเป็นกฎต่อมาอีกจนทุกวันนี้"

               "ไม่เห็นเกี่ยวกับคำถามผมตรงไหนเลยแม่" คนความอดทนต่ำที่สุดโวยวาย ซีราตาขวางใส่กึ่งล้อกึ่งจริงจังแล้วเล่าต่อ

               "พอมีการกวาดล้าง พวกที่เอาตัวรอดก็หนี พวกที่สู้ก็ตาย ฆ่ากันเป็นว่าเล่น หลังจากนั้นคนที่รอดก็ไปแอบตั้งกลุ่มลับของตัวเอง ตรงนี้แหละที่การอ่านใจสำคัญ"

               เธอหยุดเล็กน้อย

               "พวกเซบรีจะแอบเข้าไปในใจคนถูกเลือกตอนหลับ หรือไม่ก็ควบคุมของรัก เพื่อน ครอบครัว แล้วทำให้เกิดเรื่องจนเป้าหมายทนไม่ไหว พอใจอ่อนแอมาก พวกนี้ก็จะบังคับให้เป็นพวกตัวเอง คนโดนส่วนใหญ่ไม่มีทางเลือกก็ต้องยอม ไม่ยอมก็ดนทำต่อจนสติแตกไป"

               "ให้ตายเถอะ" ไซเรียนถอนใจเมื่อเห็นแม่ไม่เล่าต่อ "เขาว่าโลกนอกเจริญน้อยกว่าเราแท้ๆ ยังไม่เห็นมีเรื่องพิลึกโผล่มาโต้งๆจนเสียเลือดเสียเนื้อเหมือนที่นี่เลย"

               "รู้ได้ไงว่าไม่มี ไปก็ไม่เคยไป" ซีราถามไม่จริงจัง ลงมือจัดการอาหารต่อ

               "ก็ผมบอกเดี๋ยวนี้ว่าได้ยินเขาว่า ถ้าผมไปได้จริงๆก็ดีสิ" ไซเรียนตอบ ยิ้มเล็กน้อย ความตึงเครียดตลอดเย็นค่อยลดลง

               หากความตึงเครียดยิ่งกว่าก่อตัวขึ้นในใจของว่าที่นักคอมพิวเตอร์ เขาฝืนกินต่ออีกสองสามคำก็ขอตัวกลับ คำถามเช่นนั้น รหัสในสายตาคู่นั้น ไซเรียนคงสงสัยเซบรีในคนรอบข้างเขา มิชเป็นเจ้าของนาฬิกา แต่พ่อบูชาสีขาว ไหนเลยจะเป็นหนึ่งในลัทธิมืดได้

               ยังไม่มีใครอยู่บ้าน ยาโดขึ้นห้อง อาบน้ำแล้วมานั่งหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ เครื่อง สาย เข้าประจำที่ หน้าจอเปิดสว่าง เขาไม่ควรคาดคั้นอะไรพ่อวันนี้ ตอนที่ความคิดยังหมุนวนเต็มสมอง เพราะหากพลาด เขาอาจไม่มีโอกาสอีก

               เขาหยิบหนังสือในลิ้นชักโต๊ะมาเปิดหาที่อยู่ฐานข้อมูลของสภาศาสนาแห่งชาติ หาอยู่พักใหญ่จึงพบ เอื้อมมือเปิดตัวเชื่อมต่อสัญญาณบนผนังแล้วเรียกหน้าต่างเข้ารหัสออนไลน์ขึ้นมา นิ้วพร้อมบนปุ่มคีย์บอร์ดเตรียมพิมพ์

               บนหน้าจอปรากฏหน้าต่างหนึ่ง ไม่ใช่หน้าต่างที่ต้องการ หากเป็นกรอบสี่เหลี่ยมว่างๆกรอบเดียว ยาโดงง มองหาเครื่องหมายปิดแต่ไม่พบ ไม่มีอะไรเลยนอกจากกรอบสี่เหลี่ยมกรอบนั้น เขากดปุ่มเล็กๆมุมคีย์บอร์ด กรอกเสียงลงไปดังๆ

               "ปิดทุกคำสั่ง กลับหน้าต่างหลัก"

               ไร้ผล เขาทำเช่นเดิมอีกสองสามครั้งก็ยังเหมือนเดิม กรอบสี่เหลี่ยมว่างเปล่าลอยท้าทายอยู่บนหน้าจอ ปุ่มคีย์บอร์ดไม่ทำงาน ไม่สามารถป้อนคำสั่งใดๆ

               หลายอึดใจแห่งความหัวเสีย มีเสียงกระแสไฟแตกซ่า กรอบสี่เหลี่ยมหายไป ตัวหนังสือสีดำแถวใหญ่โผล่ขึ้นมาแทน ยาโดอ่านอย่างระมัดระวังทีละตัว เมื่อจบ เขาก็แทบอยากร้องให้ลั่นบ้านเท่าที่เสียงอำนวย

               'ระบบไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากการควบคุมของโปรแกรม นาฬิกา'

               มือกำแน่น แต่สติยั้งไว้ก่อนเนื้อกับกระจกหน้าคอมพิวเตอร์จะสัมผัสกัน นาฬิกาอีกแล้ว!

               แขนเสื้อซ้ายถูกเลิกขึ้น เขาถอดเรือนซีดตัวปัญหาเหวียงใส่เตียงไม่กลัวแตก มันร่วงบนที่นอนแล้วสงบนิ่งอยู่ ทว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากหน้าจอ

               ยาโดพยายามกรอกคำสั่งอีก ร่ำๆจะทุบคีย์บอร์ดเสียหลายครั้ง ทุกคำสั่งที่ป้อนไป นอกจากไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังคล้ายว่าตัวอักษรตรงหน้าสว่างขึ้น อาบหน้าจอกลายเป็นสีดำทั้งหมด ที่สุด เขาก็หมดทาง นั่งหลับตานิ่งบนเก้าอี้อยู่นานก่อนจะตัดสินใจกรอกคำสั่งสุดท้าย ภาวนาด้วยใจเต้นถี่ขอให้สำเร็จ

               "ถอนการติดตั้งระบบทั้งหมด"

               แทบไม่ทันขาดเสียง กระแสไฟแตกอีกซ่าใหญ่ ตัวหนังสือแถวใหม่สว่างวาบ

               'ไม่สามารถถอนการติดตั้งระบบได้เนื่องจากการควบคุมของโปรแกรม นาฬิกา'

               "บ้าจริง!" ว่าที่นักคอมพิวเตอร์สบถอย่างเหลืออด กระแทกกำปั้นกับขาตัวเองเต็มแรง วัตถุคู่ชีพเครื่องนี้แม้จะเก่า แต่ไม่เคยทำให้ผิดหวังสักครั้ง ทว่าบัดนี้ ยาโดกลับทำอะไรไม่ได้ พยายามปิด เครื่องก็ยังเปิดหน้าจอไม่สามารถถอนการติดตั้งหราท้าทายอยู่ เรื่องเล่าของซีราในวงอาหารหวนเข้าสู่ห้วงคิด หรือที่เขาเห็นไม่ใช่ไวรัส แต่เป็นอะไรเล่นงานอยู่เบื้องหลัง

               "มีอะไรก็ว่ามา อย่าแทงข้างหลังแบบนี้"

               ประโยคนั้นเคาคำรามส่งเดชด้วยอารมณ์ เจตนาระบายออกมากกว่าหวังคำตอบ ทว่าทันทีนั้น ข้อความในหน้าจอเปลี่ยนไป ยาโดรู้สึกคล้ายถูกสะกดให้สายตาติดอยู่กับมัน แถวอักษรคล้ายมิได้สัมผัสด้วยจักษุประสาท แต่รับด้วยมโนสำนึกลึกลงไป

               'ยินดีต้อนรับ ในที่สุดเธอก็หาที่ซ่อนของเราพบ'

               ในความเคลิบเคลิ้ม ยาโดมีสติพอจะบอกตัวเองว่า ถูกสะกด ร่างกายทุกส่วนหนักอึ้งคล้ายมีหินมหึมาถ่วงไว้ อะไรบางอย่างหลังตัวหนังสือนั้นพยายามสื่อสารกับเขา

               "เราให้ความเป็นธรรมกับคนไม่มีตัวตนอย่างเธอ มาสิ เราจะสอนให้เธอเข้าใจความสุขของการไม่มีตัวตน เหมือนที่เราเป็น"

               กระแสสื่อสารไหลเข้าสู่สัมผัสอีก ครั้งนี้มิใช่แต่ภาพ ยาโดคล้ายได้ยินเสียงสามเสียงประสานกันอึงอลในสมอง ซ้ำไปซ้ำมาจนต้องพยายามยกศีรษะจากพนักเก้าอี้ ไม่สำเร็จ มันหนักเกินกำลังเสียแล้ว

               "ไม่!" เขาได้ยินตัวเองร้องตอบไปเช่นนั้น ดังเพียงใดนอกเหนือการรับรู้ อาจแว่วไปถึงข้างล่าง หรือเพียงสะท้อนก้องในใจ สับสนเคลิบเคลิ้มจนมิอาจแยกแยะ รอบกายคล้ายแว่วเสียงหัวเราะ คอมพิวเตอร์ตรงหน้าหรี่แสงลง สติเคลื่อนห่างจากตัวไกลออกไปอีก

               "มีอะไรในแผ่นดินนี้ให้เธอสุขอีกหรือ คนรอบข้างเธอต่างทำลายฝันตัวเอง แล้วเธอล่ะ ต่างอะไรจากพวกเขานัก"

               ยาโดอยากดิ้นให้หลุดไปจากตรงนั้น กระแสสื่อสารหลั่งเข้ามาคล้ายทำนบพลังงานมหาศาล เขาเหนื่อย เขาท้อ รู้สึกติดลบทุกประการเท่าที่ใจมนุษย์คนหนึ่งจะรู้สึก นึกถึงแม่ที่จากไป นึกถึงความฝันที่พ่อทิ้ง นึกด้วยใจเลื่อนลอย ในโลกนี้มีอะไรหรือ คำถามนั้นคล้ายมิได้มาจากตัวเอง

               "ฉันรู้ว่าฉันอยู่กับคนในความฝัน ตอนนี้ฉันอยากตื่น อยากไปหาความจริงที่ดีกว่าบ้าง หวังว่าคุณคงเข้าใจ"

               แม่...!

               "ลูกจะต้องไม่เป็นเหมือนพ่อ ยาโด ลูกจะต้องดีกว่าพ่อ ตั้งแต่นี้พ่อห้ามลูกวาดรูปเด็ดขาด พ่อก็จะไม่วาดเหมือนกัน"

               "ทำไมล่ะครับพ่อ ผมไม่ได้ทำผิดอะไรนี่ครับ"

               "ลูกผิดตั้งแต่ลูกฝันแล้ว โลกนี้ต้องการความจริง ไม่ใช่ความฝัน คนในความฝันไม่มีทางอยู่รอดได้หรอก"

               พ่อ...!

               ความคิด ความทรงจำ แจ่มชัดเหมือนเกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น ร่างสันทัดบนเก้าอี้นั่งมองจอคอมพิวเตอร์ ในหน้าไร้อารมณ์ นัยน์ตาเลื่อนลอย ใจเขาอยู่ที่ใด ใครเล่าทราบ.....

 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.