บทที่ 4 : ใต้แสง เหนือเงา
ร่างสูงเดินปิดปากหาวหวอดตลอดทางจากบ้านถึงโรงเรียน อากาศวันนี้หนาว เหมาะแก่การนอนที่สุด แต่คนมีคาบเช้าก็จำต้องลุกมาทำหน้าที่ให้ผ่านพ้นภาคการศึกษาไป เขานึกเล่นๆอยากให้ความรับผิดชอบมีน้อยลงบ้าง เพื่อเวลานอนมากขึ้น แต่นึกแล้วก็กลับเห็นภาพใครอีกคนผุดซ้อนขึ้นมา เวลาเช้าเช่นนี้ถ้าจะมีใครบ้าทำงาน ก็คงเป็นชายสันทัดผิวสีอ่อนผู้นั้นนั่นเอง
ร่างสันทัดที่เขานึกถึงนั่งอยู่หน้าห้องคอมพิวเตอร์ตรงเก้าอี้ประจำ ไซเรียนนึกแปลกใจที่ไม่เห็นเขายิ้มหรือทักทายอย่างเคย ยาโดคงเครียดเรื่องเมื่อวานกระมัง แต่เขาไม่อยู่ในฐานะจะถาม เพราะเพื่อนคนอื่นมากันเกือบครบแล้ว โซโบพูดถูก พี่ชายมาช้าได้ทุกสถานการณ์
"เมื่อวานได้เรื่องไหม" เขาทรุดตัวนั่งข้างๆ เอียงหน้าเข้าไปถาม อีกฝ่ายสั่นศีรษะ ไม่หันมอง เขาจึงไม่ถามอะไรต่ออีก
ไซเรียนพยายามพูดกับยาโดอีกสองสามครั้ง ที่สุดก็ถอดใจ คนข้างๆเขาวันนี้แปลกกว่าเคยจนแทบไม่คล้ายเพื่อนสนิทคนเดิม ไม่เล่นหัว ไม่รับมุข ไม่แม้แต่จะตอบเกินสามคำเมื่อถูกถาม ราวกับนิสัยไม่ค่อยพูดจะพัฒนาเป็นไม่พูดเลยเพียงชั่วข้ามคืนฉะนั้น
เขานิ่งจับสังเกตต่อไปจนร่างผอมเกร็งของครูเจโกเดินหิ้วกระเป๋าเข้ามาในห้อง ตามปกติคนนั่งมุมแถวหน้าสุดอย่างยาโดจะลุกไปช่วยครูยกเครื่องเตรียมการสอน หากวันนี้ กายนั้นไม่ติงแม้ปลายนิ้ว ไซเรียนลุกออกไปแทน พยายามสะกดอาการแปลกใจไม่ให้ปรากฏในสีหน้า
"ครูคิดว่าวันนี้จะเอาเครื่องที่ยาโดซ่อมไม่ได้นั่นแหละ เป็นกรณีศึกษา" ครูชราบอกขณะช่วยกันจัดโต๊ะ ไซเรียนฝืนยิ้ม นึกตอบในใจว่า คนของครูวันนี้คงไม่ยินดียินร้ายอะไรด้วยแน่
แล้วก็จริงดังนั้น ตลอดชั่วโมงแรกของคาบ ว่าที่นักคอมพิวเตอร์ผู้ปกติสามารถอธิบายเนื้อหาคาบที่แล้วให้เพื่อนฟังได้ไม่ขาดตกบกพร่อง กลับนิ่งเฉย เมื่อถูกเรียกถามก็ตอบแบบขอไปทีเสียสองสามคำ ไซเรียนเริ่มอึดอัดจนนั่งไม่ติด เขาแอบประสานสายตากับเจโก เห็นอีกฝ่ายมองตอบด้วยแววแปลกๆเช่นกัน ครูคงสังเกตเห็นความผิดปกตินี้เหมือนเขา เด็กหนุ่มคิด
เข็มนาฬิกาบนผนังเคลื่อนไปเรื่อยๆ อาการนิ่งเฉยก็ทำให้ไม่สบายใจขึ้นเรื่อยๆ หากไซเรียนก็ท้อและหนักใจจนไม่อยากหันไปคุย เขารู้ว่าไร้คำตอบ ไม่ว่าคำตอบจะมีหรือไม่ ฝ่ายนั้นก็เงียบ จึงทำได้เพียงมองออกนอกกระจกหน้าต่าง ทำเป็นไม่สนใจเสีย ทั้งที่ลึกๆอยากลากร่างสันทัดไปเขย่าถามเอาความ เขาดึงตัวเองจมดิ่งในห้วงคิด ลืมสภาพรอบห้องไปชั่วขณะ
กระทั่งมีเสียงดังฉับพลันจากเก้าอี้ข้างๆ เด็กหนุ่มจึงสะดุ้ง แต่ช้าไปเสียแล้ว.....
"เอาร่างกายผมคืนมา ผมไม่มีทางเป็นพวกคุณหรอก เอาคืนมา!"
โครม!
ร่างสันทัดพลิกลงจากเก้าอี้ในจังหวะที่เขาหันมองพอดี เมื่อถึงพื้นก็ลุกขึ้น ทำท่าจะพรวดพราดไปหน้าประตู ไซเรียนตกใจได้เพียงเสี้ยววินาที กระโจนตามจนประชิด มือขวาตวัดโอบรอบเอวร่างนั้นไว้
"ยาโด!"
ใบหน้าซีด ตาสีน้ำตาลอ่อนในกรอบลึกเหลือกค้าง มีความตระหนกขีดสุดอยู่ในนั้น ยาโดกลัวอะไร ไซเรียนไม่มีเวลาคิดนานนัก เพราะร่างในวงแขนสะบัดสุดแรง เขาไม่ทันระวัง กระเด็นไปล้มฟาดกับโต๊ะใกล้ๆ
เสียงร้องและการเคลื่อนไหวของคนทั้งสอง หยุดทุกอย่างในห้องลง เจโกละมือจากการสอน ตรงเข้าจะคว้าร่างศิษย์เอก กลับถูกผลักจนซวนผงะออกไป ไซเรียนตั้งตัวติด ลุกขึ้นยืนคุมเชิง ยาโดเองก็หยุดการเคลื่อนไหวลงเช่นกัน
แล้วว่าที่นักคอมพิวเตอร์ก็ทำให้ทั้งห้องตะลึงอีกครั้งด้วยการตะเบ็งเสียงกรีดลั่น สองมือทั้งต่อยทั้งตบใส่ร่างกายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง หลายคนลุกจากเก้าอี้ พยายามห้าม แต่เขาคล้ายไม่รับรู้ ไซเรียนนึกถึงวิชาการป้องกันตัวที่เคยฝึก มีเวลาตัดสินเพียงไม่กี่วินาทีก่อนลงมือ เขาอยู่ใกล้ที่สุด และรู้กำลังของอีกฝ่ายดีที่สุด
แต่การคิดเช่นนั้นผิดถนัด แขนที่พยายามจะสอดเข้าหักรวบมือของอีกฝ่ายถูกบิดจนกระดูกลั่นทั้งสองข้าง ไซเรียนแค่นเสียงหนักๆอย่างสุดกลั้น เขาพลาดอีกแล้ว กำลังเช่นนี้ไม่ใช่กำลังยาโดที่รู้จัก แต่เป็นกำลังบ้าคลั่งราวสัตว์ลำบาก เขาขืน เขาดิ้น ทำทุกอย่างให้ตัวเองเป็นอิสระ แต่ไร้ผล
"ใครก็ได้ ช่วยจับเขาไว้ที!"
หลายคนรุมกันเข้ามา แต่ไม่มีใครกล้าประชิดตัวคนทั้งคู่ ยาโดพยายามบิดต่อไปจนไซเรียนเริ่มรู้สึกว่าประสาทตั้งแต่ไหล่อ่อนกำลัง เจ็บปวดเหลือกลั้น หากจะขืนก็ไม่มีแรง ในสมองอึงอลสับสนด้วยเสียงกรีดข้างหู ผสานเสียงโหวกเหวกของนักเรียนข้างห้องที่มามุงดูหน้าประตู อีกนิดเดียว กระดูกคงไม่อยู่ในสภาพเดิม โชคยังเข้าข้างเมื่อมีอีกมือหนึ่งเข้าช่วยเหลือ
จากหนึ่งเป็นสอง เพิ่มเป็นสาม ก็ยังไม่มีทีท่าว่าใครจะทำให้ยาโดผู้บ้าคลั่งอย่างไร้สาเหตุสงบอาการลงได้ คนเหล่านั้นทำได้เพียงช่วยลูกชายจิตรกรพ้นจากการถูกหักแขนเท่านั้น ไซเรียนไม่อยู่ในสภาพจะทำอะไรได้อีก เหลือเพียงขาและสมองแจ่มใส เพื่อนหลายคนพยายามช่วยบีบนวดให้ แต่เขาขืนไว้ บอกให้ไปช่วยทางยาโดทั้งหมด
"พาเขาไปหานักจิตวิทยาข้างล่างเถอะ" เจโกบอกหอบๆท่ามกลางกลุ่มคนที่ช่วยยึดร่างสันทัดไว้ คำพูดนั้นกระตุ้นอะไรบางอย่างขึ้นในความคิดของไซเรียน เขาตะเบ็งสุดเสียง พยายามให้ดังกว่าความโกลาหลรอบด้าน
"ดูแขนซ้าย ถ้าเขามีนาฬิกา ถอดมันออก"
หลายคนที่ไม่ได้ช่วยมองเขางงๆ กลุ่มที่ช่วยยื้อแขนข้างนั้นบางคนเริ่มคลำหาวัตถุเป้าหมาย ครู่หนึ่งก็ร้องบอกว่าไม่มี ชายแขนล้ากัดฟันแน่น ใช้มือสั่นล้วงโทรศัพท์จากกางเกง กดหมายเลขอย่างยากเย็นพลางร้องบอก
"ครู ช่วยยื้อต่ออีกสักพักนะครับ ผมจะโทรศัพท์หาพ่อเขาเดี๋ยวนี้"
เจโกผละจากการช่วยยื้อ สลับให้คนอื่นเข้าไปแทน เขามองศิษย์รักอย่างเป็นห่วง แต่ล้ากำลังเกินกว่าจะจับต่อไปไหว ยาโดไม่อ่อนแรงลงเลย ทั้งแรงสู้และแรงร้อง เขาเดินมาหาไซเรียน ถามดังๆแข่งกับเสียงกรีด
"ครูว่าพาไปหานักจิตวิทยาไม่ดีกว่าหรือ"
"ไม่ครับ" หนุ่มแผลเป็นปฏิเสธเด็ดขาด "ผมมั่นใจว่ายาโดเป็นอะไร แต่ตอนนี้ผมอธิบายให้ครูฟังไม่ได้ ไว้พ่อเขามา เราคงได้รู้กันทั้งห้อง"
สิ้นคำ มือก็แตะปุ่มต่อสาย ไซเรียนพาตัวเองออกนอกห้องจนพ้นเสียงร้อง นับเสียงรอสายกริ่งแล้วกริ่งเล่าผ่านไป
"สวัสดีครับ" เสียงต่ำสุภาพที่คุ้นเคยดังขึ้นในที่สุด เขาไม่ปล่อยเวลา กรอกเสียงกลับไปทันที
"ลุงมิช ผมไซเรียนพูดครับ ลุงช่วยมาโรงเรียนตอนนี้ได้ไหมครับ"
"หนูมีอะไรกับลุงหรือ ลุงทำงานอยู่" เสียงปลายสายเย็นจนเด็กหนุ่มอยากคลั่ง มิชคงไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าเขาร้อนรนเพียงใด
"ลุงอยู่ไหนครับ" เขาข่มใจให้เย็น เสียงร้องในห้องยังดังแว่วๆ
"ลุงอยู่บ้าน"
"ลุงช่วยทิ้งงานมาสักเดี๋ยวได้ไหมครับ เรื่องนี้ด่วนมาก เรื่องของยาโด"
มิชทำท่าจะถามอะไรอีก แต่ไซเรียนรีบดักไว้
"ผมไม่มีเวลาอธิบาย มาก่อนเถอะครับ"
ภายในห้อง หลังผลัดกันยื้อผลัดกันจับอยู่นาน ว่าที่นักคอมพิวเตอร์ค่อยสงบอาการ ที่สุดก็รูดลงไปกองกับพื้น หมดแรงดิ้นรนต่อไป ทำได้เพียงจิกนิ้วสองมือกับพรม ครางบ้าง สำลักบ้าง สลับกับอาการหอบถี่ๆเป็นระยะ ทุกคนแวดล้อมเขา พยายามซักถาม แต่ไม่มีคำพูดเป็นภษาหลุดลอดริมฝีปากนั้น ไซเรียนเดินกลับเข้ามา แจ้งข่าวติดต่อมิชสำเร็จให้ทราบ ทุกคนต่างยินดี แม้บ้างจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่เลือกติดต่อนักจิตวิทยาในโรงเรียน
"เอาเป็นว่าฉันมีเหตุผล แต่ยังอธิบายตอนนี้ไม่ได้ก็แล้วกัน" เขาบอกปัด ยกแขนเสื้อปาดเลือดจากปลายคาง เพื่อนหลายคนก็มีเลือดเช่นกันจากการต่อสู้เมื่อครู่
นานเหมือนชั่วโมง หากแท้จริงคือสามสิบนาที มิชปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางการรอคอยของทุกคน สายตาคมกริบกวาดมองอย่างรวดเร็วจนไปจับยังร่างบนพื้น เขาสะดุ้ง ใบหน้าถอดสี ถามด้วยเสียงที่พยายามคุมให้เย็นที่สุด
"เกิดอะไรขึ้นครับ"
ครูเจโกเดินออกจากวงล้อม ก้มศีรษะให้เล็กน้อยแล้วกล่าวโดยไม่อ้อมค้อม
"เขาอาละวาดใหญ่โตในคาบครับ พวกเราช่วยกันจับไว้ ผมจะไปตามนักจิตวิทยา แต่เพื่อนสนิทเขาไม่ยอม บอกต้องการคุณท่าเดียว"
ใบหน้าอวบหันไปทางลูกชายเพื่อนเก่า ไซเรียนคอยทีอยู่ก่อนแล้ว กล่าวขึ้น
"ผมไม่สามารถบอกเหตุผลได้ที่นี่ครับว่าทำไม เราเอายาโดออกไปคุยกันข้างนอกได้ไหมครับ"
ทั้งมิช ทั้งเจโก จ้องเขาเป็นตาเดียว
"มีอะไรบอกครูไม่ได้หรือ" ครูชราถาม ไซเรียนถอนใจ กลืนน้ำลายอย่างอึดอัด
"เรื่องนี้อาจใช้เวลาทั้งคาบครับ"
ด้วยการยืนยันเช่นนี้ คาบเรียนจึงเป็นอันยกเลิก สามคนอุ้มร่างปวกเปียกเดินลงบันไดไปหาห้องว่างชั้นล่าง ลากโต๊ะหลายตัวต่อกันให้แทนที่นอน ยาโดยังคงหอบถี่ๆอยู่เช่นเดิม แต่ไม่ขัดขืนอะไร
"คราวนี้หนูบอกลุงได้หรือยังว่าทำไม" มิชลากเก้าอี้มาทรุดนั่งข้างโต๊ะคนเจ็บพลางถาม เด็กหนุ่มรวบรวมสติอยู่ครู่ ก่อนตัดสินใจยิงคำถามที่อยากรู้ตั้งแต่เมื่อวานไปตรงๆ
"นาฬิกาแดงที่ลุงซื้อให้ยาโดเมื่อสี่วันก่อน ลุงไปซื้อมาจากไหนครับ"
ช่างเขียนป้ายจ้องหน้าบุรุษรุ่นลูก แม้สายตาจะยังเย็น แต่ไซเรียนมองออกว่าเขาเริ่มไม่พอใจ
"ลุงถามอาการของยาโดนะ" แม้กระแสเสียงก็แข็งขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน เด็กหนุ่มกัดฟัน นึกหาวิธีเริ่มต้น
"เรื่องที่ผมถาม เกี่ยวกับอาการของยาโดโดยตรงครับ เกี่ยวยังไงผมจะเรียนให้ทราบ"
มิชนิ่งอยู่ครู่ ก่อนจะบอกชื่อร้านขายของมือสองร้านหนึ่ง ไซเรียนก้มศีรษะขอบคุณ สมองทำงานอย่างรวดเร็ว ร้านนี้เขารู้จักดี อยู่ไม่ห่างจากบ้านยาโดชั่วขับรถสิบนาทีถึง แต่เขาไม่เคยได้ยินประวัติว่าเจ้าของร้านมีพฤติกรรมน่าสงสัยเลย หากทุกอย่างเป็นตามที่คิด อะไรก็ตามที่แอบแฝงกับนาฬิกาต้องอยู่ไม่ไกลจากครอบครัวนี้นัก แต่จากข้อมูลที่ได้ เขากลับทายใครไม่ออกเลย
"ลุงพอทราบไหมครับว่านาฬิกาเรือนนั้นยาโดถอดทิ้งไว้ไหน เขาไม่ได้ใส่มาด้วย"
"ลุงเข้าไปดูในห้องตอนเขาไปเรียนแล้วเมื่อเช้า เห็นถอดทิ้งไว้บนเตียง ก็คงอยู่ตรงนั้นแหละ" มิชตอบไม่จริงจังนัก คำตอบนั้นทำให้ไซเรียนยิ่งคิดหนักกว่าเดิม ถ้าสาเหตุมาจากนาฬิกาเรือนนั้น ยาโดก็ไม่ควรอยู่ในสภาพนี้โดยไม่มีมันกับตัว นอกเสียจากว่าสิ่งนั้นจะเหนือนาฬิกาขึ้นไป แล้วอะไรล่ะ.....
เขานิ่งอีกพักใหญ่จนทั้งครู ทั้งเพื่อนแม่ ช่วยกันถาม ไม่มีอะไรดีไปกว่าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังอีกแล้ว ทุกอย่างมืดเกินกว่าสมองเดียวจะประมวลไหว
"ทุกท่านครับ" ไซเรียนเริ่ม รู้สึกถึงเหงื่อชื้นเต็มฝ่ามือ "ผมจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขอให้ทุกท่านอย่าเพิ่งหาว่าผมเล่าเรื่องเหลวไหลจนกว่าผมจะเล่าจบนะครับ"
แล้วเขาก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่ได้รู้จักยาโดตลอดสี่วันให้ฟัง เมื่อจบ ทุกคนนิ่ง ในห้องนอกจากเสียงหอบหายใจของร่างบนโต๊ะแล้วไม่มีเสียงอื่นอีก
"ออกไปจากร่าง...งั้นหรือ"
หลายอึดใจแห่งความเงียบ ช่างเขียนป้ายทวนคำช้าๆ เน้นหนักราวจะให้มันซึมเข้าถึงทุกซอกความคิด เขาจ้องลูกชาย จ้องไซเรียน แล้วนิ่งอยู่เพียงนั้น มิอาจกล่าวอะไรได้อีก
"ถ้าไม่เอาหลักการวิทยาศาสตร์อะไรมาจับ เขาดูเหมือนพยายามต่อต้านอะไรอยู่" เจโกวิเคราะห์ แม้ไม่เห็นเรื่องราวของเซบรีมากมายตามที่ศิษย์หน้าแผลเป็นเล่า เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า เรื่องนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับคนอย่างยาโด
"แสดงว่า หนูคิดว่าเรื่องที่เกิดกับคุณมีนากับหนูซารีเป็นเพราะนาฬิกาเรือนนั้น"
น้ำเสียงของมิชอ่อนลง ทิฐิในดวงตาหายไป ไซเรียนนิ่ง มองพ่อเพื่อนอย่างหนักใจไม่ปิดบัง ท่าทางเช่นนี้ทำให้เขาคลายใจลงได้บ้าง แต่ใครจะยืนยันได้ว่า เบื้องหลังของลุงใจดีที่เห็น จะไม่แฝงคราบความมืดไว้
"ผมยังไม่อยากบอกว่าเกี่ยวครับ เป็นแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น" เขาตอบระมัดระวัง จ้องประสานอ่านความเคลื่อนไหวในดวงตาคู่นั้นไม่วาง มิชยกนิ้วอ้วนเคาะโต๊ะเบาๆ แววลำบากปรากฏให้เห็นลึกๆ สามชีวิตพร้อมด้วยสติเงียบงัน ไม่พูดอะไรกันอยู่นาน
เจโกยื่นมือเหี่ยวสัมผัสร่างศิษย์รักแผ่วเบา มันอุ่น ทว่าสั่นเทิ้มด้วยแรงหอบ ความหวาดกลัวสุดขีดยังฉายในดวงตาเหลือกลานคู่นั้น ตลอดชีวิตครูคอมพิวเตอร์กว่าห้าสิบปี มีศิษย์ดีก็มาก เขากลับไม่เคยเห็นศิษย์คนใดอยู่ในสภาพน่าสะเทือนใจเช่นนี้ ใครหนอ ทำกับหนุ่มน้อยได้ลงคอ
"เขามีปัญหาครอบครัวอะไรหรือเปล่าครับ ก่อนหน้านี้" ครูชราลองหยั่งกับผู้ปกครองโดยตรง มิชส่ายหน้า ตอบอย่างมั่นใจ
"ผมไม่เห็นเขาเศร้าอะไรเลยครับ เขาไม่ได้เล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟังด้วย"
เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อ เช็ดน้ำลายที่ฟูมปากให้ลูกชาย อาการหอบของยาโดหนักและถี่ขึ้นทันทีที่รู้สึกว่าถูกสัมผัส ตาเหลือกอยู่แล้วคล้ายจะเบิกโพลงขึ้นไปอีก ไซเรียนกับเจโกหันหน้าออก แม้ใจแข็งเพียงใด ภาพตรงหน้าก็ทำให้คลื่นเหียนระคนใจสั่นมากกว่าเจริญตา
"แล้วเราจะแน่ใจได้ยังไงว่าเรื่องนี้มีพวกเซบรีอยู่เบื้องหลังจริงๆ" เจโกถามไปทางไซเรียน
"ผมวางแผนกับยาโดว่าจะถามลุงมิชวันนี้ครับ แต่เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน" หนุ่มแผลเป็นสารภาพตามตรง มิชเงยมอง ใบหน้าท้วมส่อแววสนใจ
"ผมกะว่าถ้าได้คำตอบแล้วจะลองสืบดูว่า นาฬิกาเรือนนั้นใครเอามาขาย ถ้าเป็นเซบรีจริง ผมจะชวนเขาไปหานักบุญให้ช่วยแก้เรื่องนี้" ไซเรียนอธิบายต่อ สบตาพ่อของเพื่อนตรงๆ มิชดูคล้ายยังไม่ปักใจเชื่อนัก นิ่งไปครู่จึงลุกขึ้น
"งั้นลุงจะพาเขากลับบ้าน เอานาฬิกาเรือนนั้นไปถามร้าน หนูกลับไปเรียนเถอะ ที่เหลือลุงจัดการเอง"
ไซเรียนลังเล มองเขาอย่างวิงวอน ช่างเขียนป้ายส่ายหน้าน้อยๆ พยายามช้อนร่างลูกชายขึ้นจากโต๊ะ
"ลุงขอบใจที่หนูห่วงเพื่อน แต่ลุงไม่อยากให้หนูเสียการเรียน พ่อเขาอยู่นี่ ลุงไม่มีทางยอมให้ยาโดเป็นอะไรเด็ดขาด"
หนึ่งครู หนึ่งเพื่อน ช่วยแบกร่างคนเจ็บไปส่งจนถึงรถ วางเขาลงบนเบาะหลังแคบๆแล้วผละขึ้นอาคารโดยไม่พูดอะไรกัน สองใจหนักอึ้งด้วยแรงห่วง แม้ยาโดจะไม่ช่างพูด ช่างเข้าสังคม แต่ใครหลายๆคนก็รักเขา
ไซเรียนแยกกับเจโกตรงทางเลี้ยวขึ้นชั้นสาม ทรุดตัวนั่งบนม้ายาวข้างบันไดอย่างเหนื่อยล้า เขามีล้านเหตุผลให้อยากตามมิชไป แม้คำมั่นของคนเป็นพ่อจะพอฟังขึ้นอยู่บ้าง ใครจะรู้ว่า หากมิชเป็นเซบรีเสียเอง สหายผู้น่าสงสารจะต้องพบกับอะไร
รถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าคันเล็กแล่นเข้าสู่ปากประตูแคบๆ จอดเสียบยังช่องที่จัดไว้ ชายท้วม ไม่สูงนัก ค่อยๆก้าวลงช้าๆ เปิดกระจกแง้มไว้ให้อีกร่างด้านหลังพอมีอากาศหายใจ เขาสาวเท้าอย่างรวดเร็วขึ้นบันได มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูกระจกอัตโนมัติทึมๆ มันเลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นสภาพอันใหม่ผิดตาด้านใน
เขาก้าวเข้าไป กวาดสายตามองผู้คนและข้าวของในร้านอย่างระมัดระวัง กล่องใส่เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า ชิ้นส่วนอุปกรณ์ วางเรียงตามชั้น สลับกับโต๊ะให้ลูกค้าลองใช้ของที่เลือก ประตูห้องเล็กๆ แปะป้ายว่าแผนกตรวจสภาพเครื่องปิดสนิท เขาเดินต่อไปจนถึงด้านในเกือบสุด แล้วก็พบโต๊ะเป้าหมายมีลูกค้ายืนเลือกอยู่สองสามคน นาฬิกามือสองหลายเรือนถูกหยิบออกวาง ไม่มีทีท่าว่าใครจะถูกใจเรือนใด
มิชกลั้นใจรอจนลูกค้าเหล่านั้นเลือกเสร็จ ทันทีที่สองร่างหันออก เขาก็เดินเข้าทันที พนักงานหลังโต๊ะเป็นหญิงสาวเยาว์วัยสองคน ยิ้มแย้มทักทายอย่างอัธยาศัยดี
"คุณลูกค้าสนใจเรือนไหนคะ"
เขาล้วงวัตถุแดงซีดออกจากกระเป๋ากางเกง วางลงท่ามกลางสายตางงงวยของทั้งคู่
"จะเอามาตรวจสภาพเครื่องหรือคะ" พนักงานคนหนึ่งถาม เขาส่ายหน้า
"ผมจะมาถามพวกคุณว่า จำคนเอานาฬิกาเรือนนี้มาขายได้ไหม"
พนักงานมองหน้ากัน คนหนึ่งหยิบนาฬิกาขึ้นพินิจ ถามถึงที่มาของมัน มิชตอบตามจริง แสดงรายการสินค้าในใบเสร็จยืนยัน พนักงานยิ่งงงหนัก สอบถามกันไปมา ที่สุด คนหนึ่งก็หันมาทางเขา
"เดี๋ยวเราดูในใบรับสินค้าให้นะคะ คุณลูกค้ารอสักครู่"
สักครู่ของเธอ คือเกือบสี่สิบนาที ช่างเขียนป้ายยืนบ้างเดินบ้างจนเมื่อยขา แต่ก็กัดฟันทน นึกโทษความอ้วนของตัวเองไปพลาง เขาเคยผอมเท่าลูกชาย ว่องไวกว่านี้มากเมื่อแปดปีก่อน
ในที่สุด สองพนักงานก็เดินกลับมา คนหนึ่งหน้าซีดอย่างปิดไม่มิด อีกคนก็ดูท่าทางเหมือนฝืนให้ปกติเต็มที เมื่อถึง พนักงานหน้าซีดก็ยื่นศีรษะข้ามโต๊ะ กระซิบ
"คุณลูกค้าเจออะไรมาหรือเปล่าคะ"
มิชนิ่ง ที่สุดก็ส่ายหน้า เขาไม่ชอบบอกเรื่องส่วนตัวกับคนนอกนัก ยิ่งเป็นเรื่องเช่นนี้ด้วยแล้ว ยิ่งอาจทำให้ใครตื่นตูมได้โดยไม่จำเป็น พนักงานค่อยคลายสีหน้า กระซิบด้วยเสียงแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย
"คนเอานาฬิกาเรือนนี้มาขายเป็นพ่อค้าของเก่าค่ะ บอกว่าเก็บได้จากศพพวกเซบรีที่ถูกจับตาย"
คนสะดุ้งกลับเป็นช่างเขียนป้ายเอง มือเขาเย็นเฉียบ ชาตั้งแต่ปลายนิ้วตลอดแขน ขนลุกเกรียว พูดไม่ออกไปชั่วขณะ คำสนทนากับไซเรียนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนดังกลับไปกลับมาในความคิด เป็นเซบรี เป็นมันจริงๆ!
เขาขอตัวออกจากร้าน หยิบนาฬิกาเรือนนั้นมาด้วย ความรู้สึกผิดหนักราวหินถ่วงหัวใจ ร่างสันทัดนอนคอพับอยู่เบาะหลัง หลับสนิท มองแล้วขอบตาก็ร้อนผ่าวสุดจะกลั้น เขาเอาของนรกพรรค์นี้ให้ยาโด เขาฆ่าลูกชายตัวเองทางอ้อมแท้ๆ
"เสียใจ ไม่แก้ปัญหา ต่อเมื่อลงมือกระทำจึงแก้ปัญหา"
เขาสะดุ้งสุดตัว หันขวับไปทางเสียงปริศนาเบื้องหลัง มันดังอย่างปุบปับ รวดเร็วพอกับการเคลื่อนไหวเงียบเชียบของผู้มา เธอเป็นหญิงสาวสูงโปร่ง ใบหน้าอ่อนดูสงบเยือกเย็น สวมชุดคลุมยาวสีขาวตลอดถึงข้อเท้า ผ้าแถบสีเดียวกับชุดโพกปิดตลอดศีรษะ การแต่งตัวเช่นนี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้ เธอคือนักบุญ
"นมัสการครับ" มิชก้มศีรษะให้ตามมารยาท นักบุญลึกลับผู้นี้มาทำอะไรที่ร้านของมือสองนะ
"คุณมิช ถ้าฉันทายไม่ผิด" เสียงเรียบกล่าวขึ้นเป็นประโยคแรก มิชมองร่างนั้น ลืมเกรงใจไปชั่วขณะ ในชีวิตไม่เคยสัมพันธ์กับนักบูญแม้แต่คนเดียว เธอเป็นใคร รู้จักเขาได้อย่างไร
"ผม..." หยุดลังเลเล็กน้อยจึงพยักหน้า "ครับ ผมคือมิช"
นักบุญลึกลับก้มศีรษะน้อยๆ
"ฉันตามหาตัวคุณตั้งแต่เมื่อวาน สืบข่าวจนรู้ว่าคุณมาที่นี่วันนี้ ขออภัยที่ไม่บอกล่วงหน้านะคะ"
"ตามหาตัวผม" เขาทวนคำ จ้องเธอเขม็ง
"ค่ะ ฉันตามหาคุณกับนาฬิกาเรือนนั้น แต่ท่าจะมาช้าไปสักหน่อย ช่วยเขาไว้ไม่ทัน"
มิชขยับปากจะถาม แต่เธอชิงขัดขึ้นเสียก่อน
"ทุกอย่างพร้อมที่วัดท้ายซอยหน้าร้านเครื่องเขียนค่ะ คุณรู้ดีว่าวัดไหน ฉันกับทุกคนจะรออยู่ที่นั่น"
แล้วเธอก็หันหลังจากไปโดยไม่สนใจเสียงตะโกนเรียกของเขา ช่างเขียนป้ายยืนมองมือตัวเอง อึ้งนิ่งอยู่ตรงนั้น.....
นาฬิกา ยาโด เซบรี และนักบุญปริศนา เรื่องทุกอย่างประดังประเดเข้ามาในเช้าเดียวจนเขาจับต้นชนปลายไม่ถูก ร่างลูกชายยังนอนปวกเปียกอยู่ที่เดิม แต่หญิงสาวจากไปแล้ว ท่าทางเธอเหมือนรู้จักเขามาก่อนจริงๆ มิชพยายามนึก แต่นึกอย่างไรก็ไม่ออก สีขาวของผ้านุ่งบอกให้รู้ว่าเป็นคนของลัทธิโซเม เขาไม่รู้จักนักบุญหญิงลัทธินี้ แต่เธอรู้แม้กระทั่งเรื่องของนาฬิกาเรือนนั้น
หรือเธอช่วยใครอยู่ เขาคิดพลางปีนขึ้นเบาะคนขับ รถจอดตากแดดจนพลังงานเต็ม เป้าหมายต่อไปไม่ใช่บ้านอย่างที่ตั้งใจแต่แรก เขาเลี้ยวออกถนนใหญ่ไปยังอีกทางแยกตรงข้าม ป้ายชื่อร้านเครื่องเขียนร้านนั้นปลิวเบาๆ กระทบตา สวยงามเช่นทุกครั้ง สวยงามจนเขาเจ็บปลาบในใจ
รถเลี้ยวสู่ทางเข้าแคบๆ จอดแอบๆไว้ข้างศาลา ไม่มีใครแถวนั้น แต่มีรถหลายคันจอดอยู่ ร่างท้วมเดินขึ้นวิหารช้าๆ กลิ่นเครื่องหอมโชยกระทบจมูกจากด้านใน มันเงียบ เงียบจนเขาแปลกใจเมื่อเห็นหลายชีวิตนั่งกันอยู่ ทุกคนมองเขา มีครูเจโก ไซเรียน โซโบ และซีราเพื่อนเก่าอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
"ทางนี้ มิช ทางนี้" จิตรกรลูกสองโบกมือให้ บอกไม่ดังนัก เขาเข้าไปนั่งข้างๆ มองหานักบุญตัวการ เธอไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น แต่อะไรบางอย่างบนพรมด้านหน้าสุดหยุดสายตาเขาไว้
สองร่างซีดเซียว นอนแผ่คู่กัน ร่างหนึ่งเขาจำได้ว่าเป็นซาริตี เด็กสาวจากโรงเรียนลูกชาย ส่วนอีกคนไม่รู้จัก ต่างอยู่ในสภาพตาเบิกค้างเหลือกลาน ทว่าสงบนิ่ง ปราศจากการเคลื่อนไหว ประหนึ่งไร้สติฉะนั้น
"นั่นหนูซารีไม่ใช่หรือ" เขากระซิบถาม ซีราพยักหน้า ไซเรียนจากแถวหลังช่วยอธิบายให้
"อีกคนคือพี่มีนาครับ"
มิชถามความอยู่พักใหญ่จึงทราบว่า นักบุญลึกลับ เป็นคนที่ครอบครัวมีนาขอให้ช่วยรักษา ขณะเดียวกันก็เป็นเวลาซาริตีล้มป่วยอย่างไร้สาเหตุ เธอพบว่าสองกรณีประหลาดนี้เกี่ยวข้องกัน จึงกำหนดสมาธิสืบจนพบต้นตอของปัญหาว่ามาจากนาฬิกาเรือนนั้น หลังมิชพาร่างลูกชายออกจากโรงเรียน เธอก็เข้ามาถามข่าว จนทราบว่าเขาไปที่ร้านของมือสอง มิชปะติดปะต่อเรื่องเอาเองว่า นักบุญหากไม่ตามรถ ก็ต้องไปดักรอเขาที่นั่นก่อนแล้ว แต่เมื่อคิดเช่นนี้ กลับมีอย่างหนึ่งที่ไม่เข้าใจ
เขาไม่เชื่อถือเรื่องอำนาจจิตเป็นจริงเป็นจังนัก มีอะไรผ่านหูก็ลืมๆไป แต่บัดนี้เมื่อเรื่องไม่ควรเกี่ยวกลับมาเกี่ยวกับเขาโดยตรง มิชก็อดคิดไม่ได้ เขาแน่ใจว่านักบุญผู้นี้รู้จักตัวเอง หาไม่แล้วแม้มีอำนาจจิตมากเพียงใดก็คงไม่มุ่งเป้ามาที่เขาได้ง่ายดาย
เธอเป็นใคร เกี่ยวข้องกับชีวิตเขาอย่างไร?
"ทำไม..."
ช่างเขียนป้ายพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา ซีราหันมอง เขารีบส่ายหน้า ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นักบุญลึกลับเดินเข้าประตูวิหารมาพอดี ความสนใจของทุกคนจึงเปลี่ยนไปยังเธอ
"คุณมิชคะ ช่วยพายาโดขึ้นมาด้วยค่ะ" เธอบอก ทรุดนั่งลงข้างร่างทั้งสองด้านหน้า ช่างเขียนป้ายยอมลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ อะไรจะเกิดกับลูก แม้ไม่รู้ เขาต้องยอมตามเสียทุกอย่างกระนั้นหรือ
ไม่ช้า สามผู้เคราะห์ร้ายก็นอนเรียงกันบนพรม หญิงสาวนั่งอยู่ด้านปลายเท้า สงบนิ่ง คนในวิหารก็นิ่งด้วย ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวทำเสียงใดๆ
"คนในร้านคงบอกคุณบางส่วนแล้ว เรื่องนาฬิกา" เธอกล่าวเป็นประโยคแรก จ้องตรงยังร่างท้วม
"ถ้าคุณหมายถึงเซบรี ครับ ใช่" เขาตอบพลางพยักหน้า เธอนิ่งไปอีกครู่ แล้วค่อยๆหันหาสามกายใกล้ๆ
"ผู้ไม่รู้จักความมืดย่อมบูชาความมืด ผู้รู้จักแล้วจึงเคารพ ไม่บูชา"
มือซ้ายแตะเบาๆบนแขนของมีนา
"ผู้ไม่รู้จักความสว่างย่อมบูชาความสว่าง ผู้รู้จักแล้วจึงเคารพ ไม่บูชา"
มือขวา วางบนหน้าท้องซาริตี
"ผู้รู้จักมืด รู้จักสว่าง กลับลืมแสงสลัวแห่งสนธยา"
มือสองข้าง สัมผัสหน้าอกยาโด
ทันทีนั้น สามร่างมีปฏิกิริยาพร้อมกัน ค่อยๆลุกขึ้น ความมีสติกลับสู่ดวงหน้าเผือดซีดอีกครั้ง คนนอกพรมหลายคนทำท่าจะขยับ แต่นักบุญยกมือห้ามไว้
"โปรดสงบค่ะ ฉันทำให้พวกเขาคืนสติได้ชั่วคราวเท่านั้น"
แล้วหันไปทางยาโด ถามเบาๆ
"เห็นพวกเขาสามคนแล้วใช่ไหม"
"ครับ" เขาตอบแหบแห้ง ดังพอให้คนแถวหน้าได้ยิน นักบุญยิ้มเล็กน้อย
"เธอพลาดไม่ได้ รู้ตัวนะ"
ยาโดพยักหน้า ไม่มีใครเข้าใจความหมายของคำสนทนานั้น ต่างนั่งนิ่ง มิชถูกซีรากดไหล่ไว้เมื่อทำท่าจะลุกไปหาลูกชาย
"ทุกคนโปรดฟัง" นักบุญหันมากล่าวกับกลุ่มคน "ลำพังความมืดไม่มีผลร้ายกับใคร ร้ายยิงกว่าคือผู้ใช้มัน เมื่อผู้ใช้ความมืดมืดยิ่งกว่า นั่นจึงเป็นเซบรีที่แท้จริง ในนาฬิกาเรือนนี้มีเซบรีอยู่สามคน สามนี้ไม่มีร่าง พวกเขาพยายามควบคุมผ่านคุณมีนาและซาริตีผ่านยาโด ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ท่านจะเชื่อใจเด็กคนนี้หรือไม่"
มีเสียงซุบซิบกันในหมู่ผู้ฟังจนนักบุญต้องหยุดเล่า รอให้เสียงสงบจึงกล่าวต่อ
"ยาโดเป็นร่างต้น เป็นคนเดียวที่สามารถให้พวกเขาครอบครองหรือออกไป ฉันหรือใครไม่สามารถกำหนดชะตานี้ได้"
"หมายความว่าท่านจะไม่ช่วยหลานผมหรือ" เสียงห้าวแก่เกรี้ยวกราดดังแทบเป็นตะคอกจากแถวหลังสุด หลายคนเริ่มมีการเคลื่อนไหว หญิงสาวเยือกเย็นเช่นเดิม ยกมือห้าม ก้มศีรษะน้อยๆแล้วกล่าวต่อ
"เขาค่ะ เขาจะเป็นคนช่วยท่านที่เหลือ"
เธอรอจนทุกคนสงบอาการลง หันไปทางยาโด กล่าวได้ยินทั่วทั้งวิหาร
"ฉันจะนำเขาเข้าสู่มิติจิต ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ อีกสักครู่ ท่านจะได้เห็นสิ่งเดียวกับที่เขาเห็น"
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 204
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น