ตอนที่ 828 480,000 เมตรต่อวินาที
ตอนที่ 828 480,000 เมตรต่อวินาที
“มันก็หมายความว่าดาร์คไนท์กำลังจะมาถึงแล้วยังไงล่ะ?” โอโร่กล่าวตอบไม่ต่างไปจากคำพูดสุดท้ายของเซียงจินเฉิงก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
“ดาร์คไนท์? การปรากฏตัวของอสูรกายมันส่งผลกระทบต่อดินแดนกฎขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัย
“ไม่! มันไม่ใช่แค่ส่งผลกระทบต่อดินแดนกฎเท่านั้น แต่มันคือหายนะของจักรวาล น่าเสียดายที่นายมองเห็นมันไม่ชัด เราก็เลยไม่รู้ว่าเงาดำนั่นคือรีเวิร์สจริง ๆ หรือเปล่า สิ่งที่พวกเราทำได้มีเพียงแค่การคาดเดา แต่เรื่องนี้น่าจะเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในจักรวาล” โอโร่กล่าวอย่างเคร่งขรึม
คำอธิบายในครั้งนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก เพราะยิ่งเขาเข้าใกล้ส่วนลึกของจักรวาลมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งได้ค้นพบกับเรื่องลึกลับมากขึ้นเท่านั้น
แต่เดิมเขาคิดว่าเผ่าเทพกับเผ่ามารคือจุดสูงสุดของจักรวาล แต่ในตอนนี้เขาได้ค้นพบว่านอกจากเผ่าพันธุ์ทั้งสองแล้วมันยังมีกองกำลังอื่นที่ถูกเรียกว่าผู้พิทักษ์กับกบฏซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบของจักรวาลด้วย และมันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงประตูจักรวาลที่มีความลึกลับจนทำให้แม้แต่โอโร่ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบในเรื่องนี้ได้
หากเขาต้องการจะเข้าใกล้ความจริงในเรื่องพวกนี้ เขาก็จำเป็นจะต้องเข้าสู่เผ่าเทพให้ได้โดยเร็วที่สุด เมื่อนั้นเขาก็จะก้าวเท้าเข้าไปใกล้ประตูจักรวาลอีกก้าวหนึ่ง
“นายวางแผนจะฆ่าฉันเมื่อไหร่กันแน่?” โอโร่กล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด เพราะถึงแม้เขาจะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเงาดำนั้นคืออสูรกายรีเวิร์สหรือไม่ แต่ในฐานะอดีตราชาของเผ่าไลอ้อนฮาร์ท เขาจึงรู้สึกเป็นห่วงประชากรในเผ่าพันธุ์ขึ้นมาอย่างฉับพลัน
หากเงาดำนั้นคือรีเวิร์สจริง ๆ มันก็หมายความว่าจักรวาลกำลังจะเข้าสู่ยุคมืดอันยาวนาน โอโร่จึงต้องการจะกลับไปตรวจสอบความจริงเรื่องนี้ที่เผ่าโดยเร็วที่สุด เพื่อเตรียมการรับมือก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะเกิดขึ้น แต่ก่อนหน้านั้นเซี่ยเฟยก็จำเป็นจะต้องสังหารเขาเสียก่อน
“ในวันที่ผมได้เข้าสู่เผ่าเทพวันนั้นจะเป็นวันที่คุณได้เกิดใหม่ ไม่ว่าวันนั้นมันจะครบระยะเวลา 3 ปีแล้วหรือไม่ก็ตาม” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
พูดตามตรงว่าเซี่ยเฟยยังไม่อยากจะปล่อยโอโร่ไปจากเขาเลย เพราะอดีตราชาแห่งเผ่าพันธุ์ไลอ้อนฮาร์ทคนนี้คอยบอกเล่าประสบการณ์ในเรื่องต่าง ๆ ให้กับเขาอย่างมากมาย ชายหนุ่มจึงหวังว่าอีกฝ่ายจะอยู่กับเขาไปอีกพักหนึ่ง
“ได้ ไม่มีปัญหา” โอโร่กล่าวพร้อมกับพยักหน้ารับ
—
สวนสายลมยังคงมีเสียงหัวเราะและเสียงแห่งการเฉลิมฉลองดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างยังคงพูดคุยกันถึงเรื่องสงครามอย่างสนุกสนาน แต่เซี่ยเฟยกลับเลือกที่จะเข้าไปภายในสนามฝึกในระหว่างที่ทุกคนยังคงกินเลี้ยงกันอยู่
แม้ว่าเขาอยากจะมุ่งหน้าไปยังประตูจักรวาลเพื่อดูว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ยังคงมีคุณสมบัติอันห่างไกลจากผู้ที่สามารถเข้าใกล้ประตูจักรวาลได้ สิ่งที่เขาพอจะทำได้ในตอนนี้จึงมีเพียงการพยายามฝึกฝนเพิ่มพลังของตัวเองเท่านั้น
เม็ดพลังงานหลากสีภายในสมองของเขากลายเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์มากยิ่งขึ้น เพราะถึงแม้ว่าเขาจะดูดซับพลังงานจะจักรพรรดิกฎและราชากฎอีกมากกว่า 10 คน แต่เม็ดพลังงานมันก็ไม่ก่อให้เกิดความแปรปรวนเหมือนเดิม เซี่ยเฟยจึงไม่รู้ว่าในขณะนี้มันสามารถบรรจุพลังงานได้มากมายมหาศาลขนาดไหน
ย้อนกลับไปเมื่อไม่นานเม็ดพลังงานภายในสมองของเขามีความอ่อนไหวมาก ขนาดที่ว่าการดูดซับพลังงานจากจักรพรรดิกฎเพียงแค่คนเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้มันสั่นคลอนขึ้นมาได้แล้ว
แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่มันจะสามารถบรรจุพลังงานของจักรพรรดิกฎคนหนึ่งได้เท่านั้น แต่มันยังมีที่ว่างเหลือมากพอให้บรรจุพลังงานของราชากฎอีกหลายสิบคนด้วย
ความจุที่เพิ่มขึ้นย่อมเป็นประโยชน์ต่อเซี่ยเฟยโดยไม่ต้องสงสัย เพราะมันเหมือนกับเขาสามารถพกพาคริสตัลต้นกำเนิดชนิดพิเศษติดตัวไปได้ตลอดเวลา ซึ่งไม่เพียงแต่เขาจะสามารถนำเอาพลังงานภายในสมองออกมาในระหว่างการฝึกฝนได้เท่านั้น แต่เขายังสามารถระเบิดมันออกมาในช่วงเวลาวิกฤต เพื่อก่อให้เกิดระเบิดทำลายล้างสูงอย่างในสงครามครั้งก่อนขึ้นมาก็ได้
แน่นอนว่าการทำเรื่องทั้งหมดนี้ก็จำเป็นจะต้องใช้การควบคุมพลังงานขั้นสุดยอดด้วยเช่นกัน เพราะถ้าหากว่าคนอื่นต้องมาเผชิญหน้ากับพลังงานอันแปรปรวนภายในสมองของเขา มันก็คงจะมีน้อยคนมากที่จะสามารถควบคุมพลังงานอันแปรปรวนเหล่านี้ได้
ฟุบ!
เซี่ยเฟยออกวิ่งด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ซึ่งในการต่อสู้ครั้งก่อนเขารู้สึกว่าเขาใกล้จะทะลวงกฎแห่งความเร็วขั้นที่ 2 ไปได้แล้ว แต่ในช่วงสงครามเขาจำเป็นจะต้องระงับการพัฒนาของตัวเองเอาไว้ก่อน เพราะในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หลังการพัฒนาร่างกายของเขาจะไร้ซึ่งการป้องกันโดยสิ้นเชิง เมื่อในตอนนี้เขาได้กลับมายังสถานที่ที่ปลอดภัยแล้ว เขาจึงต้องการจะพัฒนากฎแห่งความเร็วให้เลื่อนระดับเป็นขั้นที่ 2 ให้ได้โดยเร็วที่สุด
ชายหนุ่มฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ชั่วโมงติดต่อกัน จนทำให้แสงแรกตอนเช้าสาดส่องเข้ามาภายในสนามฝึก
ปัง!
เสียงอากาศระเบิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน พร้อมกับความเร็วของเซี่ยเฟยที่พุ่งสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ
280,000!
300,000!
350,000!
ความรู้สึกถึงความอิสระเริ่มแพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างกายของชายหนุ่ม และเขาก็รู้สึกราวกับว่าก้อนหินขนาดใหญ่ถูกโยนออกไปจากหน้าอกของเขาแล้ว มันจึงทำให้เขารู้สึกสบายไปทั่วทั้งตัวและสามารถเร่งความเร็วขึ้นจากเดิมได้อย่างต่อเนื่อง
ในที่สุดชายหนุ่มก็สามารถบรรลุกฎแห่งความเร็วขั้นที่ 2 ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จนทำให้ความเร็วของเขาพุ่งขึ้นไปจนทะลุระดับ 480,000 เมตรต่อวินาที
ความเร็วในระดับนี้ถือได้ว่าเป็นความเร็วอันน่าอัศจรรย์ แม้แต่ภายในตระกูลสกายวิงก็มีเพียงแค่อัจฉริยะแนวหน้าของตระกูลเท่านั้นที่สามารถบรรลุความเร็วจนถึงระดับนี้ได้
แปะ ๆ ๆ ๆ
เสียงปรบมือดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและเมื่อเซี่ยเฟยเหลือบสายตามองไป เขาก็ได้พบว่าผู้ที่กำลังยืนดูเขาฝึกฝนอยู่นั้น นั่นก็คือเซี่ยบูหยุนผู้ซึ่งเป็นผู้นำคนปัจจุบันของตระกูล
ชายหนุ่มค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงอย่างช้า ๆ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปหาชายชราด้วยความเคารพ
“สมแล้วที่นายจะกลายเป็นอีวิลวิงในอนาคต ความเร็วในการพัฒนาของนายอยู่ในระดับที่เหนือเกินกว่าความคาดหมายของฉันจริง ๆ” เซี่ยบูหยุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ความจริงแล้วความเร็วในการพัฒนาของเซี่ยเฟยมันเกิดขึ้นเนื่องมาจากตัวแปรทั้งสิ้น 4 อย่างคือแหวนมังกรหยกขาว, บลัดบิวเทียส, เม็ดพลังงานหลากสีภายในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาและการควบคุมพลังงานที่จัดอยู่ในระดับที่น่าหวาดกลัว
“ท่านผู้นำจะชื่นชมผมเกินไปแล้วครับ ผมแค่พยายามฝึกฝนอย่างเต็มที่ก็เท่านั้น” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างถ่อมตัว
เซี่ยบูหยุนพยักหน้าอย่างพึงพอใจเมื่อได้เห็นว่าเซี่ยเฟยไม่ได้ทำตัวหยิ่งผยองเหมือนกับอัจฉริยะโดยทั่วไป เพราะอัจฉริยะที่รู้จักซ่อนตัวแบบนี้ย่อมมีชีวิตที่ยืนยาวมากกว่าอัจฉริยะที่ชอบโอ้อวดความสามารถของตัวเองไปทั่ว
“ฉันกำลังจะไปแล้วฉันเลยมาบอกลา ผลงานของนายในสงครามครั้งนี้ยอดเยี่ยมมาก แม้แต่บรรพบุรุษก็ยังชื่นชมนายให้ฉันฟังไม่หยุด เขาบอกว่าเมื่อฝูงหมาป่ามีนายคอยทำหน้าที่เป็นหมาป่าเดียวดาย ความน่ากลัวของพวกเรามันก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมไม่น้อยกว่า 2 เท่า”
“ว่าแต่นายกำลังคิดอะไรอยู่หรือเปล่า? เพราะเมื่อคืนนายก็ไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงพร้อมกับทุกคน” เซี่ยบูหยุนกล่าว
“ท่านผู้นำก็ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยเหมือนกัน บรรพบุรุษคงจะมีคำแนะนำอะไรบางอย่างลงมาใช่ไหมครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นายยังคงเป็นคนช่างสังเกตอยู่เหมือนเดิม ใช่แล้ว เมื่อคืนฉันพูดคุยกับบรรพบุรุษนานมากและได้พบเรื่องที่ค่อนข้างจะแปลก ๆ อยู่นิดหน่อย” เซี่ยบูหยุนกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“เรื่องแปลก ๆ งั้นเหรอครับ?” เซี่ยเฟยถามขึ้นมาอย่างเร่งรีบ
“ใช่ ทั้งตระกูลมูนวอร์ด, ลัทธิเทพโบราณและลัทธิต้นกำเนิดต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นกองกำลังชั้นยอดของแดนเทพ ในคราวนี้พวกเราถือว่าละเมิดกฎของเผ่าเทพโดยตรง แต่ทางเบื้องบนของเผ่าเทพกลับไม่ได้มีคำสั่งลงโทษอะไรลงมาเลย พวกเขาแค่เรียกบรรพบุรุษไปพูดคุยประมาณ 10 นาที ก่อนที่เรื่องมันจะจบลงเพียงแค่นี้ แม้แต่บรรพบุรุษก็ยังสงสัยว่าทำไมเรื่องมันถึงจบลงง่าย ๆ แปลก ๆ” เซี่ยบูหยุนกล่าว
“แปลกมาก อย่างน้อยพวกเขาก็ควรจะมีคำสั่งลงโทษลงมาเพื่อไม่ให้ใครเอาพวกเราเป็นเยี่ยงอย่างในอนาคต” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ฉันกับบรรพบุรุษก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ก่อนที่พวกเราจะได้ข้อสรุปกันว่าเผ่าพันธุ์ทั้งสองกำลังเข้าสู่สภาวะตึงเครียดมากยิ่งขึ้น ทางเผ่าเทพจึงยังไม่อยากจะสูญเสียพวกเราไปในตอนนี้” เซี่ยบูหยุนกล่าว
คำตอบนี้ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เพราะถ้าหากเงาดำที่เขาเห็นคือรีเวิร์สเหมือนกับที่โอโร่บอกเอาไว้จริง ๆ ทั้งสองเผ่าพันธุ์สูงสุดก็ควรจะต้องเตรียมตัวรับมือกับยุคมืดที่กำลังจะมาถึงไม่ใช่เหรอ หากพวกเขาจุดสำนวนสงครามขึ้นมาในเวลานี้ มันก็อาจจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากกว่าเดิม
ท้ายที่สุดถ้าหากเผ่าพันธุ์สูงสุดทั้งสองห้ำหั่นกันเอง แล้วในตอนนั้นพวกเขาจะยังเหลือกำลังที่ไหนไปเผชิญหน้ากับอสูรกายตัวร้ายที่อยู่นอกประตูจักรวาล
“ในช่วงเวลาสุดท้ายของการต่อสู้ มันมีเรื่องบางเรื่องที่ผมยังไม่เข้าใจ ตอนนั้นจู่ ๆ แสงของดวงดาวมันก็ลับหายไป สาเหตุของมันคืออะไรงั้นเหรอครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามอ้อม ๆ เพื่อพยายามสำรวจว่าเซี่ยบูหยุนมีปฏิกิริยาอะไรกับเรื่องนี้บ้าง
“ฉันรายงานบรรพบุรุษเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปด้วยเหมือนกัน แต่เขาบอกว่าพวกเราไม่จำเป็นจะต้องกังวล สิ่งที่ฉันสามารถตอบนายได้มีเพียงแค่เท่านี้” เซี่ยบูหยุนกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
เซี่ยเฟยยังคงนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไร เพราะการปรากฏตัวของรีเวิร์สอาจจะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ บางทีทางเผ่าเทพอาจจะต้องการเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ
“ตอนนี้สถานการณ์ในตระกูลกลับมาเงียบสงบอีกครั้งหนึ่งแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่นายจะได้กลับไปฝึกฝนตามโปรแกรมเดิมอีกครั้งเซี่ยเทียน, เซี่ยเหล่าสือและเซี่ยฉางชุนจะคอยให้คำแนะนำเรื่องการฝึกกับนายอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้นายควรหาเวลาว่างไปทักทายตระกูลเฝิงที่กลุ่มมังกรฟ้าบ้าง” เซี่ยบูหยุนกล่าว
“ทางตระกูลอยากให้ผมเข้าร่วมกับกลุ่มมังกรฟ้างั้นเหรอครับ? แต่ผมมีโปรแกรมฝึกเยอะมาก แค่นี้ผมก็ไม่มีเวลาไปทำเรื่องอื่นแล้ว ถึงแม้ผมจะไปที่กลุ่มมังกรฟ้าแต่มันก็คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“การเข้าสู่เผ่าเทพมีได้ 2 วิธี วิธีการแรกคือการผ่านการคัดเลือกจากตระกูลที่เกี่ยวข้อง และวิธีการที่ 2 คือการเข้าผ่านกลุ่มมังกรฟ้า เชื่อฉันเถอะว่าเรื่องนี้มันจะมีประโยชน์กับนายในอนาคต” เซี่ยบูหยุนกล่าว
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่พยักหน้ารับกลับไปเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าบรรพบุรุษของนายต้องการจะพบกับนายโดยเร็วที่สุดนะ” โอโร่กล่าวหลังจากที่เซี่ยบูหยุนกลับไปแล้ว
“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะ?” เซี่ยเฟยถามขึ้นมาด้วยความตกใจ
“หากนายต้องการจะเข้าสู่เผ่าเทพผ่านทางตระกูล อย่างน้อยที่สุดนายก็จะต้องมีพลังอยู่ในระดับจักรพรรดิกฎซะก่อน ดังนั้นถึงแม้ว่าบรรพบุรุษของนายจะพยายามยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่มีทางที่จะดึงตัวนายไปยังแดนเทพได้แน่นอน”
“การใช้เส้นสายของมังกรฟ้าจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ไม่ว่ายังไงกลุ่มมังกรฟ้าก็เป็นกลุ่มที่รับคำสั่งจากเบื้องบนของเผ่าเทพโดยตรง การให้นายเข้าสู่เผ่าเทพผ่านทางพวกเขาจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถเข้ามาคัดค้านในเรื่องนี้ได้” โอโร่กล่าว
—
เซี่ยเฟยจำเป็นจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 วันในการปรับสภาพร่างกายให้คุ้นชินกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากเดิม ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าค้อนรวมศูนย์น่าจะถูกสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงมุ่งหน้าตรงไปหาฮัวหยูตง
‘ตอนนี้กฎแห่งความโกลาหลเลื่อนระดับขึ้นมาแล้ว อาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่มันก็น่าจะดีกว่าเดิมใช่ไหม?’ เซี่ยเฟยคิดกับตัวเองภายในใจ
***************
ไปสร้างอาวุธโกงกันนนน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 418
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น