บทที่ 1

-A A +A

บทที่ 1

 

บทที่ ๑ : รอยร้าว

เสียงไวโอลินคันชักม้าบรรเลงเพลงวอลซ์จังหวะเนิบนาบแว่วหวาน ก้องกังวานไปทั่วโถงพระราชวังฤดูหนาวที่ถูกประดับประดาด้วยโคมระย้าคริสตัลนับร้อยดวง แสงเทียนสีนวลส่องกระทบเครื่องเพชรและแพรพรรณของเหล่าชนชั้นสูงจนเกิดประกายวิบวับลายตา กลิ่นน้ำหอมราคาแพงฉุนจมูกตีกันวุ่นกับกลิ่นไวน์หมักและอาหารเลิศรส สร้างบรรยากาศแห่งความฟุ้งเฟ้อที่ชวนให้มึนเมา

ท่ามกลางทะเลมนุษย์ที่กำลังสวมหน้ากากเข้าหากัน บนแท่นประธานที่ยกสูงขึ้นไปเล็กน้อย ร่างระหงของสตรีผู้หนึ่งนั่งสงบนิ่งราวกับประติมากรรมหินอ่อนที่สลักเสลาโดยหัตถ์ของพระเจ้า

"ท่านหญิงเอลินอร์" มหาเทวนารีแห่งวิหารหลวง ผู้เป็นดั่งดวงใจของอาณาจักรเซนต์อาร์คาเดีย

นางอยู่ในชุดคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์ปักดิ้นเงินลายเถาไม้ศักดิ์สิทธิ์ ปกปิดมิดชิดตั้งแต่ลำคอระหงจดปลายเท้า ผมสีบลอนด์ทองถูกรวบเก็บภายใต้ผ้าคลุมศีรษะเนื้อบางเบา เผยให้เห็นเพียงใบหน้ารูปไข่และดวงตาสีฟ้ากระจ่างใสที่ทอดมองลงมาด้วยความเมตตา... หรืออย่างน้อย นั่นก็คือสิ่งที่นางแสดงออกให้ทุกคนเห็น

แต่ภายใต้โต๊ะคลุมผ้ากำมะหยี่สีแดงเลือดนก มือเรียวบางภายใต้ถุงมือลูกไม้กำลังจิกเล็บลงบนต้นขาของตัวเองแน่น จิกจนความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นมาเพื่อระงับความคลื่นไส้ที่กำลังตีตื้นอยู่ที่คอหอย

'น่าเบื่อ... น่าขยะแขยงสิ้นดี'

เอลินอร์กรีดร้องในใจ ขณะปรายตามองไปทางขวาที่นั่งถัดไปไม่ไกลนัก ดยุคอาร์กอน ขุนนางร่างท้วมศีรษะล้านเลี่ยนกำลังใช้มือที่เต็มไปด้วยคราบมันจากการแทะน่องไก่ ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มอย่างตะกละตะกลาม สายตาของเขาไม่ได้จับจ้องที่อาหารบนโต๊ะ แต่กลับโลมเลียมาที่เนินอกของนางอย่างไม่ปิดบัง

"ท่านหญิงเอลินอร์... อา... วันนี้ท่านช่างงดงามจนดวงจันทร์ยังต้องอับอาย"

เสียงแหบพร่าและอู่อี้ด้วยไขมันดังขึ้น ดยุคอาร์กอนขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้จนไหล่แทบจะชนกัน กลิ่นไวน์บูดๆ โชยออกมาทุกครั้งที่เขาขยับปากพูด เอลินอร์ฝืนยิ้มบางๆ ที่มุมปาก แม้ในใจอยากจะยกแก้วน้ำสาดใส่หน้ามันเยิ้มๆ นั่นเต็มทน

"ท่านดยุคดื่มหนักไปแล้วนะเจ้าคะ แก้มท่านแดงก่ำเหมือนมะเขือเทศสุกจนน่ากลัวว่าเส้นเลือดจะแตกเอา" นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานใสราวกับระฆังแก้ว แฝงคำเตือนที่ฟังดูเหมือนความห่วงใย

แต่คนเมาหรือจะฟังรู้ความ ดยุคหัวเราะร่าจนพุงกระเพื่อม "ฮ่ะๆๆ เป็นห่วงข้าหรือ? ท่านช่างเมตตาเหลือเกิน... ดูผิวพรรณท่านสิ ขาวผ่องราวกับหิมะแรกฤดู ผิดกับพวกนางกำนัลผิวหยาบกร้านพวกนั้นลิบลับ... หากได้สัมผัสสักนิด ข้าคง..."

ไม่พูดเปล่า มืออูมหนาที่สวมแหวนเพชรเม็ดโตถือวิสาสะเอื้อมมา หมายจะคว้ามือเรียวของนางที่วางอยู่บนตัก

"กรุณาสำรวมด้วยขอรับ ท่านดยุค"

เสียงทุ้มต่ำดังกังวานแทรกขึ้นราวกับเสียงฟ้าร้อง ก่อนที่มือของดยุคจะทันได้แตะต้องตัวนาง ฝักดาบสีเงินวาววับก็ถูกยื่นเข้ามาขวางกั้นอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

เซอร์ลูคัส หัวหน้ากองอัศวินวิหารหลวง ก้าวเข้ามาแทรกกลาง ร่างสูงใหญ่ภายใต้ชุดเกราะสีขาวขัดมันยืนตระหง่านราวกับกำแพงเหล็ก ใบหน้าคมเข้มที่มีรอยแผลเป็นจางๆ ที่หางคิ้วบึ้งตึง ดวงตาสีเทาเข้มจ้องมองดยุคอย่างไม่เกรงกลัว รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างจนบรรยากาศรอบข้างเย็นลงวูบหนึ่ง

"อัศวินลูคัส..." ดยุคอาร์กอนชะงัก ชักมือกลับอย่างเสียดายพลางทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ "เจ้าจะเคร่งครัดไปถึงไหนกัน นี่มันงานเลี้ยงรื่นเริงนะ ไม่ใช่ในวิหาร ข้าแค่จะทักทายท่านหญิงตามธรรมเนียม"

"ธรรมเนียมของท่านดูจะ 'มือไว' ไปหน่อยนะขอรับ" ลูคัสสวนกลับเสียงเรียบ ทว่าสายตาคมกริบราวกับใบมีด "ท่านหญิงเอลินอร์คือมหาเทวนารีผู้บริสุทธิ์ การแตะต้องตัวนางโดยพละการ ถือเป็นการลบหลู่ศาสนจักร และข้าในฐานะองครักษ์คงยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้"

ดยุคกัดฟันกรอด หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธปนอาย เขาจ้องหน้าอัศวินหนุ่มสลับกับท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีอย่างเสียหน้า

"เชอะ! ก็ได้ๆ แม่นักบุญหวงตัว... ระวังเถอะ เก็บไว้มากๆ เดี๋ยวจะแห้งเหี่ยวตายคาชุดขาวนั่นเสียก่อน!" เขาบ่นพึมพำเสียงดังพอให้ได้ยิน ก่อนจะเดินกระแทกส้นเท้าจากไปหาเหยื่อรายใหม่ที่เป็นนางสนมวัยเยาว์

เมื่อแผ่นหลังกว้างของดยุคหายลับไปในฝูงชน เอลินอร์ก็ลอบถอนหายใจยาว ไหล่ที่เกร็งเขม็งผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นมองอัศวินหนุ่มข้างกาย

"ขอบใจนะลูคัส... แต่เจ้าไม่ต้องทำหน้าดุขนาดนั้นก็ได้ ดูสิ คิ้วเจ้าขมวดจนแทบจะผูกกันเป็นปมแล้ว เดี๋ยวสาวๆ ในงานจะกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้หรอก"

ลูคัสหันกลับมาสบตานาง แววตาดุดันเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นอ่อนลงวูบหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด เขาเก็บดาบเข้าที่ข้างเอวอย่างทะมัดทะแมง "ข้าไม่สนใจสตรีอื่นหรอกขอรับ... และข้าทนไม่ได้ที่เห็นหมูสกปรกนั่นมองท่าน สายตามันเหมือนกำลัง... กำลังเปลื้องผ้าท่านอยู่"

ประโยคท้ายเขาพูดเสียงเบาลง ใบหน้าคมคายขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อย

เอลินอร์เลิกคิ้วเรียวสวยขึ้น มุมปากยกยิ้มที่ยากจะคาดเดา นางขยับตัวเข้าไปใกล้เขาอีกนิด กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกลิลลี่จากตัวนางลอยไปแตะจมูกอัศวินหนุ่มจนเขาเผลอกลั้นหายใจ

"เจ้าสังเกตละเอียดจังนะ... แล้วเจ้าล่ะ ลูคัส?"

"ขอรับ?" อัศวินหนุ่มชะงัก ตัวแข็งทื่อ

"เจ้ามองข้าแบบไหน?" เอลินอร์ถามกระซิบ นัยน์ตาสีฟ้าจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเทาของเขา "เจ้ามองข้าเป็นนักบุญบนหิ้งพระ... หรือมองข้าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนกัน?"

คำถามนั้นทำให้ลูคัสหน้าแดงระเรื่อลามไปถึงใบหู เขารีบก้มหน้าหลบสายตาทันที มือที่จับด้ามดาบเกร็งแน่นจนข้อนิ้วขาวโพลน หัวใจเต้นแรงจนเกรงว่านางจะได้ยิน

"ข้า... ข้ามองท่านด้วยความเทิดทูนขอรับ ท่านอยู่สูงเกินกว่าที่คนอย่างข้าจะอาจเอื้อม... ข้าขอตัวไปตรวจตราความเรียบร้อยรอบนอกก่อน"

พูดจบเขาก็รีบโค้งคำนับอย่างลุกลี้ลุกลน แล้วหันหลังเดินเร็วๆ หนีไปดื้อๆ ทิ้งให้เอลินอร์มองตามแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยสายตาว่างเปล่าที่แฝงความเจ็บปวดลึกๆ

"เทิดทูนงั้นหรือ..." นางพึมพำกับตัวเอง หยิบแก้วน้ำขึ้นมาหมุนเล่น "โกหก... สายตาเจ้ามันฟ้องชัดๆ ว่าอยากจะกระชากชุดข้าไม่ต่างจากไอ้ดยุคอ้วนนั้นหรอก เพียงแต่เจ้ามันขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับความปรารถนาของตัวเอง"

ความเบื่อหน่ายถาโถมเข้ามาจนเอลินอร์ทนปั้นหน้าต่อไปไม่ไหว นางลุกขึ้นยืนเงียบๆ อาศัยจังหวะที่ดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงใหม่ เดินเลี่ยงออกจากงานเลี้ยงทางประตูด้านข้าง ทิ้งแสงสีและความจอมปลอมไว้เบื้องหลัง

สายลมหนาวแห่งฤดูเหมันต์พัดกรรโชกเข้ามาปะทะใบหน้าทันทีที่ก้าวพ้นตัวปราสาท ผ้าคลุมศีรษะปลิวไสวไปด้านหลัง เอลินอร์สูดอากาศเย็นเยียบเข้าปอดลึกๆ เพื่อชำระล้างกลิ่นคาวโลกีย์ที่ติดจมูก นางเดินดุ่มๆ ผ่านสวนกุหลาบที่แห้งเหี่ยวตายซากเพราะหิมะ มุ่งหน้าสู่เขตหวงห้ามทางทิศตะวันตกของวิหารหลวง

ทหารยามสองคนที่เฝ้าหน้าประตูไม้โอ๊คบานใหญ่สะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นเงาร่างสีขาวเดินฝ่าความมืดมา

"ใครอยู่ตรงนั้น!?"

"ข้าเอง" เอลินอร์ตอบเสียงเรียบ แสงจันทร์สาดส่องกระทบใบหน้างดงามที่เรียบเฉยเย็นชา

"ทะ... ท่านหญิงเอลินอร์!" ทหารยามรีบทรุดตัวลงคุกเข่าจนหัวเข่ากระแทกพื้นหินดังปึก "ขออภัยขอรับ! พวกข้าไม่นึกว่าท่านหญิงจะมา... ในที่อัปมงคลเช่นนี้ตอนดึก"

"ข้าได้รับนิมิตจากเทพธิดา" นางโกหกหน้าตายด้วยน้ำเสียงศักดิ์สิทธิ์ที่ฝึกฝนมาอย่างดี "มีพลังงานชั่วร้ายตื่นขึ้นในคลังเก็บวัตถุ ข้าต้องเข้าไปตรวจสอบเพื่อผนึกมัน... ตามลำพัง ห้ามใครตามเข้ามาและห้ามรบกวนเด็ดขาด เข้าใจไหม?"

"ขะ... เข้าใจขอรับ! เชิญเลยขอรับ!"

ทหารยามรีบไขกุญแจมือไม้สั่น พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตานาง ด้วยความเชื่อที่ว่ามหาเทวนารีนั้นศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าจะแปดเปื้อน

เอลินอร์ก้าวผ่านประตูหนาหนักเข้าไป เสียงบานพับขึ้นสนิมดังเอี๊ยดอ๊าดบาดหู ก่อนจะปิดลงขังนางไว้ในโลกที่มีเพียงความมืดและกลิ่นอับชื้น

ที่นี่คือ 'คลังวัตถุต้องสาป' สถานที่รวบรวมสิ่งของอัปมงคล เวทมนตร์ดำ และวัตถุนอกรีตที่ศาสนจักรยึดมาได้ตลอดหลายร้อยปี ฝุ่นหนาเตอะเกาะอยู่ตามชั้นวางของที่มีตั้งแต่ตำราปกหนังมนุษย์ กริชเปื้อนเลือดแห้งกรัง ไปจนถึงเครื่องรางรูปร่างวิปริต

เอลินอร์จุดตะเกียงเวทมนตร์ แสงสีนวลส่องสว่างเพียงวงแคบๆ นางเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ผ่านทางเดินที่คดเคี้ยว จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่มุมลึกที่สุดของห้อง

ที่นั่น... มีบางสิ่งตั้งตระหง่านอยู่

ผ้าคลุมกำมะหยี่สีดำผืนใหญ่ที่เคยคลุมมันไว้ได้ร่วงหล่นลงมากองที่พื้น เผยให้เห็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่ดึงดูดสายตาของนางไว้ราวกับต้องมนต์สะกด

มันคือ กระจกเงา ขนาดเท่าตัวคน

กรอบของมันไม่ได้ทำจากทองคำหรือเงินอย่างกระจกในวัง แต่ทำจากโลหะสีดำทมิฬคล้ายหินออบซิเดียน แกะสลักเป็นลวดลายเถาวัลย์หนามเกี่ยวรัดร่างของมนุษย์เปลือยเปล่า ทั้งชายและหญิงที่บิดเกลียวด้วยใบหน้าที่ดูทรมานระคนสุขสม ลวดลายนั้นวิจิตรบรรจงจนดูเหมือนจริงราวกับพวกมันกำลังขยับไหว

พื้นผิวกระจกนั้นใสกระจ่างราวกับผิวน้ำในทะเลสาบยามค่ำคืน มันสะท้อนภาพของเอลินอร์ที่ยืนถือตะเกียงอยู่

"ดูสภาพเจ้าสิ เอลินอร์..."

นางพึมพำกับเงาตัวเอง ยกมือขึ้นแตะแก้มที่ซีดขาว "เหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ถูกจับแต่งตัวแล้วทิ้งไว้ในตู้กระจก สวยงาม... แต่ไร้ชีวิต ไร้จิตวิญญาณ"

"งั้นก็ออกมาจากตู้สิ"

เสียงตอบรับดังสวนกลับมาทันควัน ไม่ใช่เสียงสะท้อนของห้อง และไม่ใช่เสียงความคิดในหัว แต่เป็นเสียงสตรีที่ดังกังวานออกมาจากตัวกระจกชัดเจน!

เอลินอร์สะดุ้งเฮือกจนเกือบทำตะเกียงหลุดมือ นางถอยหลังกรูดไปสองก้าว ดวงตาเบิกโพลงจ้องมองไปที่กระจก

"ใคร!? ใครพูดน่ะ!"

เงาในกระจก... ที่ควรจะเป็นภาพสะท้อนของเอลินอร์ที่กำลังทำหน้าตื่นตระหนก กลับยืนนิ่ง

ไม่สิ... มันกำลังขยับ

หญิงสาวในกระจกค่อยๆ ยกมือขึ้นกอดอก ท่วงท่าเต็มไปด้วยความมั่นใจและยโสโอหัง ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดค่อยๆ แสยะยิ้มมุมปาก

"ก็เจ้าไง... หรืออย่างน้อย ก็เป็นเจ้าในแบบที่เจ้าอยากจะเป็น"

เอลินอร์ยืนตัวแข็งทื่อ มองดูเงาตัวเองในกระจกเริ่มขยับตัวผิดธรรมชาติ หญิงสาวในเงานั้นสะบัดผมสีทองที่รวบตึงให้สยายออกยุ่งเหยิงอย่างเซ็กซี่ ก่อนจะเริ่มใช้นิ้วเรียวยาวแกะกระดุมชุดนักบุญที่คอของตัวเอง

"ชุดบ้านี่อึดอัดชะมัด..." เงาพูดพลางทำหน้าเบื่อหน่าย "เจ้าทนใส่มันเข้าไปได้ยังไงตั้งยี่สิบปี? ร้อนก็ร้อน คันก็คัน แถมยังปิดบัง 'ของดี' ไว้เสียหมด"

"เจ้า... เจ้าเป็นปีศาจ!" เอลินอร์ชี้หน้า มือสั่นระริก เสียงนางเริ่มสั่นเครือด้วยความกลัวผสมความโกรธ "หยุดนะ! อย่าทำกิริยาต่ำช้าด้วยใบหน้าของข้า! หยุดถอดเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้นะ!"

"ต่ำช้า?" เงาสะท้อนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะคิกคักในลำคอ "อ๋อ... การเปลื้องผ้าคือเรื่องต่ำช้าสินะ? งั้นความคิดของเจ้าเมื่อครู่ ตอนที่อยู่กับพ่ออัศวินรูปหล่อนั่นล่ะ เรียกว่าอะไร? 'สูงส่ง' งั้นหรือ?"

คำพูดนั้นเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงใจดำ เอลินอร์หน้าชาเหมือนถูกตบ "ข้าเปล่า! ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น! ลูคัสเป็นแค่องครักษ์!"

"โกหกหน้าตาย..."

เงาในกระจกยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกแทบชิดผิวกระจก ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มเรืองรองราวกับอัญมณีต้องสาป

"ข้าได้ยินเสียงหัวใจเจ้าเต้นนะ เอลินอร์... มันเต้นแรงจนแทบระเบิดตอนที่เขามองเจ้า เจ้าอยากให้เขาฉีกเสื้อเจ้าทิ้งจะตายไป เจ้าอยากให้มือหยาบๆ ของเขาจับที่สะโพกเจ้า... บีบมันแรงๆ แบบที่เจ้าชอบจินตนาการก่อนนอน แล้วร้องครางชื่อเขา"

"หยุดพูดนะ!! หุบปาก!!" เอลินอร์กรีดร้อง ยกมือขึ้นปิดหู ร่างกายสั่นเทิ้มไปหมด "เจ้ามันสกปรก! ข้าคือนักบุญแห่งอาร์คาเดีย! ข้าถวายตัวให้เทพธิดาแล้ว!"

"เจ้าคือผู้หญิงขี้เหงาต่างหาก!"

เสียงตะคอกของเงาปีศาจดังสนั่นจนห้องใต้ดินสั่นสะเทือน ฝุ่นผงร่วงกราวลงมาจากเพดาน เอลินอร์ชะงักนิ่ง น้ำตาแห่งความอัดอั้นไหลพรากอาบแก้ม

เงาในกระจกเห็นดังนั้นจึงเปลี่ยนท่าที แววตาที่เกรี้ยวกราดเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลเย้ายวน ราวกับพี่สาวที่กำลังปลอบโยนน้องสาวผู้หลงทาง นางแนบฝ่ามือลงกับผิวกระจกจากด้านใน

"เจ้าน่ะ มีความต้องการที่ล้นปรี่ เอลินอร์... ข้ารู้นะ ว่าคืนนี้เจ้าแอบขโมยไวน์จากงานเลี้ยงใส่ขวดเล็กๆ มาซ่อนไว้ในอกเสื้อ... ข้ารู้นะ ว่าเจ้าชอบแอบอ่านนิยายรักต้องห้ามที่ยึดมาได้จากพวกพ่อค้า... เจ้าโหยหาชีวิต เจ้าโหยหารสสัมผัส แต่เจ้าแค่ไม่กล้ายอมรับมัน"

"มาสิ..." เงาสาวกระซิบเสียงพร่า "แตะมือข้า... ข้าชื่อ 'มิรา' ข้าไม่ใช่ศัตรู... ข้าคือคนเดียวที่จะทำให้ความฝันลามกของเจ้าเป็นจริง"

เอลินอร์มองฝ่ามือนั้นผ่านม่านน้ำตา ลมหายใจนางหอบถี่ขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนวูบวาบเริ่มก่อตัวขึ้นในท้องน้อยอย่างประหลาด

"ถ้าข้าแตะ... จะเกิดอะไรขึ้น?"

มิราฉีกยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่งดงามและอันตรายที่สุดเท่าที่เอลินอร์เคยเห็น

"เจ้าจะได้เป็นราชินี... ราชินีที่จะทำให้ผู้ชายทุกคนที่เจ้าเคยแอบมอง... ต้องคลานเข่าเข้ามาหาเจ้าเอง"

ปีศาจสาวเลียริมฝีปากเบาๆ

"เซอร์ลูคัส... ดยุคอาร์กอน... หรือแม้แต่เจ้านักบวชหน้าตายพวกนั้น... ข้าจะมอบพวกมันให้เจ้า ใส่พานถวายถึงเตียง ให้เจ้าได้เล่นสนุกกับร่างกายและวิญญาณของพวกมัน... เอาไหมล่ะ?"

คำเสนอนั้นช่างหอมหวานและเย้ายวนเกินต้านทาน มันตรงกับความปรารถนาดำมืดที่นางกดทับไว้มาตลอดยี่สิบปี เอลินอร์กลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก ขาที่เคยแข็งแรงกลับอ่อนแรงจนแทบทรุด

นางค่อยๆ ยื่นมือสั่นเทาออกไปข้างหน้า...

ปลายนิ้วสัมผัสกับผิวกระจกเย็นเฉียบ

"ตกลง..." เอลินอร์กระซิบเสียงแหบพร่า นัยน์ตาสีฟ้าเริ่มทอประกายวาวโรจน์ "ข้าเอา... ข้าเอาทุกอย่าง"

ทันทีที่เอ่ยคำนั้น พื้นผิวกระจกก็กระเพื่อมไหวราวกับผิวน้ำ มือของมิราพุ่งทะลุกระจกออกมา คว้าข้อมือของเอลินอร์ไว้แน่น!

แรงกระชากมหาศาลดึงร่างบางของนักบุญสาวให้ถลาเข้าไปหาผิวกระจก ความเย็นยะเยือกเปลี่ยนเป็นความร้อนรุ่มดั่งไฟราคะที่แผดเผาไปทั่วสรรพางค์กาย

"อ๊ะ!!"

เสียงอุทานของเอลินอร์ถูกกลืนหายไป พร้อมกับแสงสีม่วงที่สว่างวาบไปทั่วห้องใต้ดิน เงาร่างของสตรีสองคนทาบทับกันจนแยกไม่ออก เสียงหัวเราะกังวานใสดังประสานกันอย่างน่าขนลุก...

รอยร้าวบนหน้ากากนักบุญได้แตกละเอียดลงแล้ว และสิ่งที่กำ

ลังจะถือกำเนิดขึ้นใหม่จากเถ้าถ่านแห่งศีลธรรม คือราชินีผู้หิวกระหายที่จะกลืนกินทั้งอาณาจักร

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.