บทที่ 252: สรวงสวรรค์ของมนุษย์
จากท่าทางจริงจังของเซียวถังถัง มู่ไป๋ไป่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่านี่เป็นคำโกหกที่ใหญ่หลวงที่สุดที่เธอเคยได้ยินมาในชีวิต
หุบเขาหมอเทวดาตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแคว้นเป่ยหลง เนื่องจากมันตั้งอยู่ในหุบเขาลึก อากาศจึงให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี ซึ่งมันคล้ายกับสรวงสวรรค์
หลังจากเดินทางมานานกว่า 1 เดือน พอมู่ไป๋ไป่มาถึงหุบเขาหมอเทวดาเป็นครั้งแรก เธอก็คิดว่าตนมาถึงจุดชมวิวสุดแสนตระการตาเสียอีก
เมื่อเด็กหญิงมองดูต้นไม้พืชพรรณที่งดงามในหุบเขา เธอก็เข้าใจทันทีว่าทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงได้เลี้ยงดูสตรีผู้งดงามอย่างเจียงเหยาได้
“ลงจากรถม้ากัน” หมอสาวพลิกตัวกระโดดลงจากม้า “ทางต่อจากนี้เราจะต้องเดินเท้าไปเท่านั้น”
ขณะนี้องครักษ์ที่ติดตามมาจากวังหลวงได้กลับไปแล้ว ตอนนี้จึงมีเพียงมู่ไป๋ไป่กับคนอื่น ๆ เท่านั้นที่ยืนรออยู่ด้านนอกหุบเขา
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาว่าหุบเขาหมอเทวดาเป็นดั่งสรวงสวรรค์ของมนุษย์” อวี้เซิ่งกล่าวขณะเข้าไปช่วยพยุงเจียงเหยา “ข้าไม่คิดว่าพอเห็นด้วยตาของตัวเองแล้วจะรู้สึกเห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น”
“ที่นี่งดงามมาก…” เซียวถังถังรีบวิ่งออกมาอย่างมีความสุข “ท่านอาจารย์ นี่คือต้นหลิวสีแดงที่ท่านเคยพูดถึงใช่หรือไม่เจ้าคะ แล้วหญ้าสีฟ้านั่นคืออะไร มันสามารถกินได้หรือไม่?”
เด็กหญิงวิ่งเข้าไปหาดอกไม้เหมือนกับม้าป่าที่ถูกกักขังมานานหลายปี
ระหว่างทาง ทั้งเจียงเหยากับมู่ไป๋ไป่ได้มองเห็นความสามารถในการสร้างปัญหาของเซียวถังถังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในที่สุดพวกนางก็เข้าใจความหมายที่แท้จริงที่เซียวถังอี้พูดก่อนที่จะกล่าวอำลา
เป็นเรื่องนี้เองสินะที่ทำให้พวกนางจะต้องรู้สึกเสียใจในภายหลัง
ถึงกระนั้น ทุกอย่างก็ได้ข้อสรุปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เจียงเหยายอมรับการกราบไหว้เป็นลูกศิษย์จากเซียวถังถัง ดังนั้นนางจึงไม่สามารถกลับคำและส่งเด็กน้อยคนนี้กลับไปได้
“จื่อเฟิง…” หลังจากมู่ไป๋ไป่ได้รับสัญญาณจากสายตาของผู้เป็นอาจารย์ เธอก็เอ่ยปากขึ้นมา “ท่านตามถังถังไปและคอยจับตาดูนางเอาไว้ อย่าปล่อยให้นางกินดอกไม้หรืออะไรก็ตามจนทำให้ตัวเองต้องถูกพิษ”
ถ้าเธอจะเลือกสัตว์สักตัวมาเพื่ออธิบายตัวตนของเซียวถังถัง
เธอขอเลือกเจ้าหมาหน้าโง่โดยไม่ลังเล
ถูกต้อง! นางเป็นเหมือนเจ้าหมาหน้าโง่ที่มักจะทำตัวโง่เขลาแล้วคอยทำลายข้าวของในบ้าน!
“ขอรับ!” จื่อเฟิงยัดซาลาเปาเข้าปากเสร็จแล้วก็รีบลงจากหลังม้าไล่ตามเซียวถังถังไป
พอมู่ไป๋ไป่กับเจียงเหยาเห็นดังนี้ ทั้งคู่ก็ถอนหายใจโล่งอกอย่างพร้อมเพรียงกัน
ที่บริเวณทางเข้าของหุบเขาหมอเทวดามีค่ายกลอยู่ หากคนธรรมดาเผลอไปเหยียบมันเข้า พวกเขาก็จะตกลงไปในกับดักที่ถูกวางเอาไว้ล่วงหน้า
จากนั้นเจียงเหยาก็ได้แสดงวิธีปลดค่ายกลให้กับมู่ไป๋ไป่ และแนะนำหุบเขาหมอเทวดาให้เธอรู้จัก
ในหุบเขาหมอเทวดามีคนอาศัยอยู่ไม่มากนัก ถ้านับรวมเจ้าหุบเขาและภรรยาของเขา ทั้งหมดนับได้ 20 คน
เจียงเหยาเป็นลูกศิษย์คนโตของพวกเขาและได้รับการเลี้ยงดูเหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่ง
พอเจ้าหุบเขาและภรรยารู้ว่าศิษย์สาวแต่งงานในเมืองหลวง พวกเขาจึงทั้งรู้สึกมีความสุขและเป็นกังวลในเวลาเดียวกัน แต่พวกเขาก็ได้แต่รออยู่ที่หุบเขาเพื่อให้นางกลับมา
ทันทีที่เจียงเหยา มู่ไป๋ไป่และคนอื่น ๆ เข้ามาด้านใน พวกเขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจ้าหุบเขาและภรรยา
“เหยาเหยา เจ้ากลับมาแล้ว ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก”
“เอ๊ะ! เด็กคนนี้เป็นใคร? หรือนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าแต่งงานอย่างกะทันหัน ไม่สิ เด็กคนนี้โตขนาดนี้แล้ว…”
มู่ไป๋ไป่กลั้นยิ้มมองดูผู้หญิงร่างท้วมตรงหน้า ก่อนจะคำนับทักทายอีกฝ่าย “คารวะฮูหยินท่านเจ้าหุบเขา ข้ามีนามว่ามู่ไป๋ไป่ ข้าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เจ้าค่ะ”
“ลูกศิษย์?” ฮูหยินเจ้าหุบเขาทำหน้าประหลาดใจ ก่อนที่นางจะดึงเด็กหญิงมาใกล้ ๆ ตนอย่างมีความสุข
“เจ้าเป็นศิษย์ของเหยาเหยาจริงหรือ? ดี ดีมาก ผิวของเจ้าทั้งขาวและนุ่ม ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้า เจ้าเหมาะสมที่จะเป็นศิษย์ของหุบเขาหมอเทวดามาก”
ผู้คนในหุบเขาหมอเทวดาเองก็เหมือนกับเจียงเหยา พวกเขาชอบอะไรก็ตามที่น่ารักมากกว่าคนปกติ
แม้ว่าอาการของคนเหล่านั้นจะไม่ได้รุนแรงเท่ากับหมอสาว
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็ตอบทุกคำถามที่ถูกถาม ท่าทางของเธอนั้นสุภาพและมีมารยาทมาก ในไม่ช้าเธอก็ทำให้เจ้าหุบเขาหัวเราะได้
“ฮูหยินท่านเจ้าหุบเขา นี่คืออวี้เซิ่งเจ้าค่ะ” คนตัวเล็กขยิบตาให้ชายหนุ่ม “พี่อวี้เซิ่ง ทำไมท่านถึงไม่รีบทักทายฮูหยินท่านเจ้าหุบเขาล่ะ?”
“ท่านไม่ได้บอกเองหรือว่าท่านเจ้าหุบเขาและภรรยาเป็นเหมือนพ่อแม่ของท่านอาจารย์ แล้วท่านก็คิดอยากจะขอบคุณพวกเขาที่เลี้ยงดูท่านอาจารย์จนเติบโตมาถึงทุกวันนี้”
หลังจากมู่ไป๋ไป่เอ่ยเตือน อวี้เซิ่งก็ได้พบกับพ่อตาและแม่ยายของเขาเป็นครั้งแรก ในที่สุดเขาก็ตอบสนองโดยการเดินตัวแข็งทื่อเข้าไปด้านหน้า มือของเขาดูเก้ ๆ กัง ๆ แบบคนทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง “อวี้เซิ่งคารวะท่านเจ้าหุบเขา ฮูหยินท่านเจ้าหุบเขา”
นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้พบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ เขาไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องการแต่งงานและพบหน้าพ่อตาแม่ยายเลยสักครั้ง
มันจึงทำให้เขาดูเหมือนคนซื่อบื้อในสายตาของทุกคน
ในตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะลุกขึ้นจากพื้น หรือจะต้องคุกเข่าอยู่บนพื้นต่อไป
แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกอับอายมาก
“ฮูหยินท่านเจ้าหุบเขา ถึงแม้ว่าพี่อวี้เซิ่งจะพูดไม่ค่อยเก่ง แต่เขาก็เป็นคนดีมากนะเจ้าคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับท่านอาจารย์” มู่ไป๋ไป่ทนดูไม่ไหวอีกต่อไป เธอจึงตัดสินใจที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยอีกฝ่าย “เขารู้ว่าพวกท่านทั้ง 2 ไม่สามารถเดินทางไปยังเมืองหลวงได้ เขาจึงวางแผนว่าจะจัดพิธีสมรสอีกครั้งในหุบเขาหมอเทวดาเจ้าค่ะ”
พอท่านเจ้าหุบเขาและภรรยาผู้ใจดีได้ยินคำพูดของเด็กหญิง พวกเขาต่างก็ยิ้มออกมา
“นั่นคือสิ่งที่เราต้องการ” ฮูหยินเจ้าหุบเขาก้าวออกมาช่วยพยุงอวี้เซิ่งให้ลุกขึ้น ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ากับท่านเจ้าหุบเขาก็คิดเช่นเดียวกัน และเราก็ได้เตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว”
“ตอนแรกข้าคิดว่าข้าจะถามความคิดเห็นของพวกเจ้าหลังจากที่พวกเจ้ามาถึง”
“แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นอีกต่อไป”
คำพูดนั้นทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของอวี้เซิ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
เพียงแค่ท่านเจ้าหุบเขาเอ่ยปาก ผ้าสีแดงก็ถูกนำมาแขวนตกแต่งสถานที่ทันที
หลังจากที่เซียวถังถังเล่นสนุกมากพอและกลับเข้ามาด้านใน นางก็เห็นว่าทั่วทั้งหุบเขาหมอเทวดานั้นมีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุข
“โอ๊ะ เตรียมพร้อมกันเสร็จแล้วหรือ?” เซียวถังถังกับจื่อเฟิงวิ่งเข้ามาในสภาพที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนและแบกสัมภาระไปหาทุกคนหน้าตาระรื่น
“ท่านคืออาจารย์ทั้ง 2 ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“คารวะท่านทั้ง 2 ข้าเป็นศิษย์ใหม่ของท่านอาจารย์ ข้ามีนามว่าเซียวถังถังเจ้าค่ะ”
ท่านเจ้าหุบเขาและภรรยาหันไปมองเด็กน้อยซึ่งใบหน้าเปื้อนไปด้วยโคลนจนมองไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริงด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “ยังมีคนอีกหรือ?”
ทางด้านเจียงเหยาที่เห็นสภาพของลูกศิษย์ยกมือขึ้นกุมหน้าผากตัวเองแล้วพยักหน้าเบา ๆ
“ถังถัง ทำไมสภาพเจ้าถึงกลายเป็นเช่นนี้…” มู่ไป๋ไป่เองก็ตกใจมากเช่นกัน ก่อนจะหันไปมองจื่อเฟิงแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? ข้าสั่งให้ท่านไปจับตาดูถังถังไม่ใช่หรือ?”
เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบอย่างจริงจังว่า “ข้าทำตามคำสั่งขององค์หญิงที่บอกว่าไม่ให้ท่านหญิงกินอะไรเข้าไปทุกประการ แต่องค์หญิงไม่ได้สั่งห้ามไม่ให้ท่านหญิงไปเกลือกกลิ้งในโคลนตมสักหน่อย”
“...”
“ไป๋ไป่ ข้าจะบอกให้นะ บ่อโคลนนั้นเป็นสีชมพู!” เซียวถังถังคว้าแขนมู่ไป๋ไป่อย่างตื่นเต้นและเล่าให้อีกคนฟังถึงสิ่งที่ตนพบเห็น
“ถึงจะเป็นสีชมพู แต่ก็ไม่ควรวิ่งลงไปเอาตัวเกลือกกลิ้งจนเปรอะเปื้อนเช่นนั้น” มู่ไป๋ไป่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที “โคลนนั้นสกปรกมาก ถ้าบังเอิญมันเข้าปากของเจ้าแล้วทำให้ป่วยล่ะ จะทำอย่างไร?”
“บ่อโคลนสีชมพู?” เจียงเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ทำไมเจ้าถึงวิ่งเล่นไปถึงที่นั่น สถานที่แห่งนั้นเป็นธารบำบัด”
“โคลนสีชมพูมีฤทธิ์มหัศจรรย์ในการรักษาอาการบาดเจ็บ แต่ในระหว่างที่รักษาเราจะต้องแช่ลงไปทั้งตัว”
“ในเมื่อมันดีต่อบาดแผลแล้ว การกลืนกินมันลงไปคงจะไม่ก่ออันตรายใด ๆ” อวี้เซิ่งเอ่ยขัดจังหวะ “เจ้าอย่าได้มองนางเช่นนั้น เซียวถังอี้เลี้ยงดูนางมาเป็นอย่างดี ดังนั้นอย่าได้กังวลกันมากเกินไปเลย”
แล้วเหตุการณ์ของเซียวถังถังก็จบลงเพียงเท่านั้น จากนั้นท่านเจ้าหุบเขาก็สั่งให้คนมาดูแลพวกมู่ไป๋ไป่ และจัดงานพิธีสมรสของเจียงเหยากับอวี้เซิ่งขึ้นอีกครั้งใน 3 วันต่อมา
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 210
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น