ตอนที่ 797 ช้าเกินไป
ตอนที่ 797 ช้าเกินไป
“ฉันมีเรื่องต้องการอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกรีบไปหาตัวเดี๋ยวนี้ว่าใครคือคนเอาหน้ากากโบราณชิ้นนั้นไปวางขาย เรื่องที่ 2 คือฐานที่มั่นของลัทธิเทพโบราณตั้งอยู่ที่ไหน?” เซี่ยเฟยตะโกนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ใครก็ยากจะปฏิเสธได้
“นี่คุณอยากจะไปฐานที่มั่นของลัทธิเทพโบราณงั้นเหรอ? วิหารของเขามันตั้งอยู่ในอาณาเขตของเผ่าเมอร์แมนนะ” เฟอร์นันอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ
“พวกคุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าฉันจะไปไหน แค่บอกพิกัดของวิหารมาให้ฉันก็พอ” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างจริงจัง
เฟอร์นันกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ ก่อนที่เขารีบวิ่งออกไปทางประตูเพื่อไปหาข้อมูลให้เซี่ยเฟย เหลือเพียงแค่นักรบหนุ่มตระกูลสกายวิงและมู่เสียวเต๋าที่อยู่ในห้องเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น
เซี่ยเฟยเดินไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง ก่อนที่เขาจะมองออกไปในระยะไกลโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
มู่เสียวเต๋าทำได้เพียงแต่เม้มริมฝีปาก ก่อนที่จะเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรด้วยเช่นกัน
ในเวลาเพียงแค่ไม่นานเฟอร์นันก็วิ่งกลับเข้ามาภายในห้อง ก่อนที่เขาจะยื่นกระดาษซึ่งระบุตำแหน่งสถานที่ตั้งของวิหารลัทธิเทพโบราณให้กับเซี่ยเฟย
“นี่คือสถานที่ตั้งของวิหารเทพโบราณ ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับหน้ากากโบราณพวกเราก็ยังหาข้อมูลอะไรไม่ได้เลย เพราะสมาคมวิหคดำที่เป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงสินค้าในครั้งนี้กำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย เนื่องจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุในครั้งนี้”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับเก็บกระดาษและเดินออกมาจากห้อง เมื่อเขาได้เดินออกไปจนถึงลานกว้างเขาก็ใช้เข็มทิศมิติเพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ที่เขาเพิ่งได้รับตำแหน่งมา
“สมแล้วที่เขาเป็นสัตว์ประหลาดจากสกายวิง แค่แรงกดดันที่เขาปล่อยออกมามันก็เกือบจะทำให้ฉันหายใจไม่ออก” เฟอร์นันเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากและถอนหายใจออกมาอย่างหนักหลังจากเฝ้าดูเซี่ยเฟยหายตัวไป
มู่เสียวเต๋าอดที่จะพยักหน้าอย่างเห็นด้วยไม่ได้ เพราะเซี่ยเฟยช่วงเวลาปกติกับเซี่ยเฟยในช่วงเวลาที่จริงจัง ถือได้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีบุคลิกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
—
เมื่อเซี่ยเฟยก้าวเท้าออกมาจากประตูมิติ เขาก็ได้พบว่าตัวเองได้มาปรากฏตัวบนเกาะอันโดดเดี่ยวที่มีหน้าผาชันล้อมรอบอยู่ทั่วทุกด้าน
“ลูกบอลพลังงานภายในสมองของนายยังโอเคอยู่ใช่ไหม? คราวนี้นายได้พลังงานไปเยอะเลยนะ ทำไมนายถึงไม่รีบหาที่พักแล้วดูดซับพลังงานเข้าไปก่อน” โอโร่กล่าวถามด้วยความกังวล
หลังจากดูดซับพลังงานไปจากร่างของฮาเดส เซี่ยเฟยย่อมได้รับพลังไปกักเก็บในสมองอย่างมหาศาล โดยในคราวนี้ชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกว่าเม็ดพลังงานคุกคามเขามากนัก เขาจึงไม่ได้รีบร้อนที่จะดูดซับพลังงาน เพราะว่าเขาต้องการจะออกไปตามหาเบาะแสของกฎแห่งเวลาก่อน
“คราวนี้มันแปลกมาก ผมรู้สึกเหมือนเม็ดพลังงานในสมองบรรจุพลังงานได้มากกว่าเมื่อก่อน แม้แต่พลังงานที่ถูกดูดเข้ามาก็มีเสถียรภาพมากกว่าเดิมด้วยเหมือนกัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ปรสิตที่อยู่ในหน้ากากน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ บางทีการที่นายดูดซับพลังงานของมันเข้าไปอาจจะทำให้เม็ดพลังงานในสมองของนายเกิดการกลายพันธุ์ หรือมันอาจจะเป็นเพราะระดับพลังของนายเพิ่มขึ้น ระดับการควบคุมพลังงานของนายก็เลยเพิ่มขึ้นจากเดิมด้วยเหมือนกัน”
“แต่ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอะไรเรื่องนี้มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับนาย เพราะมันจะทำให้นายสามารถกักเก็บพลังงานเอาไว้ได้มากกว่าเดิม” โอโร่กล่าวอย่างมีความสุข
“มีคนตาย!” จู่ ๆ เซี่ยเฟยก็อุทานขึ้นมาอย่างกะทันหัน ขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่ลอยมาตามอากาศ
ฟุบ!
ชายหนุ่มเคลื่อนที่ออกไปด้วยความรวดเร็ว ซึ่งในวินาทีต่อมาเขาก็ได้มาปรากฏตัวยังวิหารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเกาะ
ศพ!
ระหว่างทางเซี่ยเฟยได้พบกับซากศพอย่างมากมาย และเมื่อพิจารณาจากเครื่องแต่งกายศพเหล่านี้ย่อมเป็นสาวกของลัทธิเทพโบราณอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาจากสภาพของศพแล้วพวกเขาก็น่าจะเสียชีวิตเมื่อประมาณ 1 วันก่อน
“พวกเรามาสายเกินไป มันมีคนตัดหน้าเราไปก่อนแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
พริบตาต่อมาเซี่ยเฟยก็วิ่งเข้าไปในวิหาร ก่อนที่จะได้พบกับรูปปั้นขนาดใหญ่ที่ถูกตั้งอยู่หน้าเนินเขา ทางด้านหลังของรูปปั้นมีการขุดอุโมงค์ในเนินเขาเป็นห้อง ๆ คล้ายกับว่าสถานที่เหล่านั้นเป็นสถานที่ที่มีเอาไว้ให้สาวกเข้าไปปฏิบัติตัวตามคำสอนของลัทธิ
เซี่ยเฟยมองสำรวจพื้นที่บริเวณโดยรอบอย่างละเอียด และยังคงเดินตรงไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง
ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังเดินออกไปนั้นเขาก็ได้นำบลัดบิวเทียสออกมาถือเอาไว้ โดยตอนนี้ใบดาบมีความหนากว่าเดิมมากและการถือมันเอาไว้ก็ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
บ่อเลือด!
ซากศพเป็นจำนวนมากถูกนำมากองเอาไว้จนกลายเป็นภูเขา ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าสาวกของลัทธินี้น่าจะถูกสังหารหมู่ด้วยกันทั้งหมด
“ใครมันเป็นคนทำแบบนี้?” โอโร่ถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“หลังจากฮาเดสเสียชีวิตลัทธิเทพโบราณของเขาก็ถูกทำลายลงไปด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะมองยังไงเรื่องนี้มันก็จะต้องมีคนวางแผนอยู่เบื้องหลังแน่ ๆ” เซี่ยเฟยกล่าวขณะคุกเข่าลงสำรวจซากศพที่ถูกตัดร่างแยกออกเป็นสองซีก
เซี่ยเฟยได้รู้เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งมาจากการสอบถามเฮเลนว่าไม่มีใครภายในลัทธิสามารถเข้าไปยังแท่นบูชาของลัทธิได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้กระตุ้นความสงสัยของชายหนุ่มมาก เพราะถ้าหากกฎแห่งเวลาไม่ได้อยู่กับตัวของฮาเดส แท่นบูชาย่อมเป็นสถานที่ซ่อนสมบัติที่ดีที่สุดสำหรับชายคนนั้นอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่เซี่ยเฟยมาช้าเกินไป เพราะมันมีคนบุกเข้ามาสังหารหมู่คนทั้งลัทธิก่อนเขาประมาณ 1 วัน ที่สำคัญคือเป้าหมายของคนพวกนั้นอาจจะเป็นกฎแห่งเวลาเช่นเดียวกันกับเขา
เซี่ยเฟยกัดฟันพร้อมกับรีบเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง เพราะจากข้อมูลที่เขาได้รับจากเฮเลนนั้นแท่นบูชาถูกตั้งอยู่บนหน้าผาบริเวณทางด้านหลังเกาะ
เมื่อชายหนุ่มเดินทางมาจนถึงจุดหมาย เขาก็ได้พบกับอาคารคล้ายหอดูดาวของคนโบราณ แต่สิ่งหนึ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือประตูของอาคารถูกทุบทำลายจนแตกออกเป็นชิ้น ๆ
พรางจิต!
ชายหนุ่มลบตัวตนพร้อมกับค่อย ๆ เคลื่อนร่างเข้าไปภายในแท่นบูชาราวกับภูตผี แต่นอกเหนือจากประตูที่ถูกทำลายมันก็ไม่มีร่องรอยใด ๆ ให้เขาค้นพบ คล้ายกับว่ามันไม่เคยมีใครบุกเข้ามาในที่แห่งนี้มาก่อน
เนตรมนตรา!
ชายหนุ่มรีบเสริมพลังให้กับดวงตาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะกวาดสายตาไปทั่วทั้งบริเวณอีกครั้ง
ภายในอาคารมีรูปปั้นอยู่เป็นจำนวนหลายสิบชิ้น ซึ่งมันเป็นรูปของผู้หญิงค่อนข้างอ้วนท้วมคนหนึ่งและเธอก็น่าจะเป็นเทพโบราณที่ลัทธิแห่งนี้มีความศรัทธา
ภายในมือของรูปปั้นขนาดใหญ่ได้ถือมีดที่ดูค่อนข้างมันเอาไว้ คล้ายกับว่ามีดเล่มนี้ถูกสัมผัสอยู่บ่อยครั้ง
เซี่ยเฟยเดินเข้าไปใกล้ ๆ และใช้นิ้วสัมผัสเข้ากับมีดของรูปปั้น ก่อนที่เขาจะได้พบว่ามีดเล่มนี้ทำหน้าที่เป็นเหมือนคันโยกเพื่อเปิดเส้นทางลับที่ซ่อนอยู่
ทันใดนั้นรูปปั้นหินก็แยกออกจากกันอย่างฉับพลัน เผยให้เห็นเส้นทางลับอย่างที่ชายหนุ่มได้คาดเดาเอาไว้จริง ๆ
เมื่อเซี่ยเฟยเดินตามเส้นทางนั้นเข้าไป เขาก็ได้พบกับห้องอันว่างเปล่าที่มีร่องรอยสิ่งของที่เคยถูกวางเอาไว้บนพื้น แต่ของทุกอย่างได้ถูกคนเอาออกไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ห้องเปล่า ๆ ให้ชายหนุ่มเอาไว้ดูต่างหน้าเท่านั้น
“พวกผู้บุกรุกอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกมันต้องการอยู่ที่ไหน พวกมันจึงขนทุกอย่างออกไปแล้วค่อยกลับไปหาของที่พวกมันต้องการอย่างช้า ๆ ในพื้นที่ที่พวกมันคิดว่าปลอดภัยแล้ว” โอโร่กล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เพราะว่าหากเขาพิจารณาจากร่องรอยที่อยู่บนพื้น เขาก็ได้พบว่าของหลาย ๆ ชิ้นค่อนข้างจะมีน้ำหนักมาก หากผู้บุกรุกได้พบกับสิ่งของที่พวกเขาต้องการ คนพวกนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องขนทุกอย่างออกไปจากห้องแบบนี้
“ไปกันเถอะ พวกเรามาช้าเกินไป แล้วอย่าลืมว่าที่นี่คืออาณาเขตของเผ่าเมอร์แมน สถานการณ์คงจะเลวร้ายมากกว่านี้ถ้าหากว่ามีใครบังเอิญมาพบนายเข้า” โอโร่กล่าวอย่างหดหู่ใจ เพราะเขาก็อยากจะพบกฎแห่งเวลาด้วยเหมือนกัน
เซี่ยเฟยยังคงนั่งนิ่งสังเกตพื้นที่ทุกตารางนิ้วด้วยแววตาอันเฉียบคม ก่อนที่มุมปากของเขาจะยกรอยยิ้มขึ้นมาอย่างฉับพลัน จากนั้นชายหนุ่มก็ค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินไปยังมุม ๆ หนึ่งแล้วนั่งยอง ๆ เพื่อหยิบเศษไม้ขึ้นมาจากพื้น
“นั่นมันอะไร?” โอโร่ถามอย่างสงสัย
“ร่องรอยของผู้บุกรุก” เซี่ยเฟยกล่าวตอบอย่างสบาย ๆ
“เศษไม้อันแค่นั้นจะเป็นร่องรอยได้ยังไง? แล้วนายจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับผู้บุกรุก” โอโร่กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
“บนเศษไม้มีร่องรอยการกดทับให้มองเห็นอย่างชัดเจน บ่งบอกว่าครั้งหนึ่งมันเคยมีของหนักวางทับมันเอาไว้ รอยแตกบนไม้เป็นรอยใหม่ที่เกิดขึ้นไม่ถึง 24 ชั่วโมง แสดงว่าผู้บุกรุกบังเอิญทำอะไรหล่นลงมากระแทกกับอะไรบางอย่างจนทำให้เศษไม้กระเด็นออกมา ผมยังจำเป็นจะต้องอธิบายอะไรมากกว่านี้อีกไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
โอโร่พูดไม่ออกอยู่พักหนึ่งและเขาก็ต้องยอมรับว่าความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ของเซี่ยเฟยดีกว่าเขามาก แต่เศษไม้ชิ้นเล็ก ๆ เพียงแค่ชิ้นเดียว มันก็ยากที่จะเป็นร่องรอยให้พวกเขาสืบหาไปจนถึงตัวของผู้บุกรุกได้อยู่ดี
แต่ถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะได้รับเบาะแสมาเพียงแค่เท่านี้ เขาก็ยังไม่ได้มีความคิดที่จะยอมแพ้ เขาจึงยังคงมองสำรวจรอบ ๆ ห้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าเผื่อว่าเขาจะได้พบกับหลักฐานอะไรเพิ่มเติม
ไม่กี่นาทีต่อมาเซี่ยเฟยก็รีบวิ่งไปที่กำแพง ก่อนที่จะรีบใช้บลัดบิวเทียสงัดหินสีขาวออกมาชั่งน้ำหนักภายในมือ
“หินนี่มันมีอะไรงั้นเหรอ?” โอโร่ถามอย่างสงสัย อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะถามจนจบเซี่ยเฟยก็ทุบหินภายในมือออกเป็นชิ้น ๆ เผยให้เห็นกล่องโลหะสีน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ด้านใน
“นี่มันไม่ใช่หินธรรมดาแต่เป็นหินธุลีขาว ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือตรวจหาหินชนิดนี้ได้ สีของหินก้อนนี้แตกต่างจากหินก้อนอื่น ๆ อยู่เล็กน้อยแสดงว่ามันเพิ่งถูกนำมาติดตั้งภายหลัง และคนติดตั้งก็กะความเข้มของสีผิดไปหน่อย” เซี่ยเฟยเริ่มอธิบายก่อนที่โอโร่จะเริ่มถามจนทำให้อดีตจอมมารแอบรู้สึกหมั่นไส้ชายหนุ่มอยู่เล็กน้อย
“ใคร?!” เซี่ยเฟยอุทานเสียงดังลั่น ก่อนที่เขาจะรีบทำลายหลังคาของห้องลับเพื่อหนีออกไปยังด้านนอกอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันมันก็ได้มีการโจมตีอันรุนแรงปะทะเข้ากับอาคารของแท่นบูชา จนทำให้อาคารทั้งหลังถูกถล่มลงไปอย่างแรง
การโจมตีนี้เกิดขึ้นมาจากพลังของกฎแห่งมิติและกฎแห่งสสาร ซึ่งถ้าหากว่าเซี่ยเฟยหลบหนีออกมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียวเขาก็คงจะถูกฝังเอาไว้ทั้งเป็น
ชายหนุ่มรีบกวาดสายตามองหาศัตรูอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะได้พบกับคน 2 คนที่กำลังแยกกันหนีออกไปยัง 2 ทิศทางตรงกันข้าม
น่าเสียดายที่การพยายามวิ่งหนีต่อหน้านักรบสกายวิงไม่ต่างไปจากการพยายามฆ่าตัวตาย เพราะก่อนที่คนทั้งสองจะทันได้รู้ตัวเซี่ยเฟยก็คว้าร่างของพวกเขาทั้งคู่เอาไว้แล้ว
กร๊อบ!
เมื่อพบกับศัตรูที่กล้าปองร้ายชีวิตของเขา เซี่ยเฟยก็ไม่คิดที่จะแสดงความเมตตาออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว แขนขาทั้งสี่ข้างของคนทั้งสองจึงถูกหักออกเป็นชิ้น ๆ ใบหน้าของทั้งสองถูกตบจนฟกช้ำพร้อมกับซี่ฟันที่กระเด็นหลุดออกมาจากปากอีกหลายซี่
“บอกมา! พวกแกเป็นใคร?” เซี่ยเฟยถามอย่างเย็นชา
อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาพูดจบเขาก็สัมผัสได้ถึงเหตุการณ์ที่ผิดปกติ นั่นก็เพราะเหยื่อทั้งสองมีน้ำลายออกมาฟูมปากพร้อมกับการหายใจที่เริ่มติดขัด
“พวกมันตายแล้วงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยจับชีพจรของทั้งสองคนก่อนที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างหนัก
“นายจะไปฆ่าพวกมันทำไม?” โอโร่กล่าวถามด้วยความหงุดหงิด
“ผมไม่ได้ฆ่า พวกมันตายเอง!” เซี่ยเฟยกล่าวก่อนที่จะแงะปากของศพออกมาดู และเขาก็ได้พบกับเส้นสีดำแปลก ๆ บนลิ้นของศพคล้ายกับว่าศพ ๆ นี้ได้กลืนยาพิษลงไป
***************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 429
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น