ตอนที่ 776 2 ศพ
ตอนที่ 776 2 ศพ
ภายในถ้ำมีหินแปลก ๆ หลากหลายชนิด แต่สิ่งที่สะดุดตาเซี่ยเฟยมากที่สุดคือหินก้อนหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางถ้ำ อย่างไรก็ตามเมื่อชายหนุ่มเข้าไปตรวจสอบใกล้ ๆ เขากลับได้พบว่ามันคือศพของนักรบ 2 คนที่อยู่ในท่าทางสังหารซึ่งกันและกัน
นักรบทั้งสองต่างก็ฟาดฟันอาวุธเข้าใส่ลำคอของกันและกัน แล้วยืนหยัดเสียชีวิตด้วยท่าทางอันภาคภูมิใจ ดังกับคำกล่าวในสมัยโบราณว่านักรบที่แท้จริงจะไม่ยอมล้มลงแม้กระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
“พวกเขาช่างเป็นนักรบที่กล้าหาญจริง ๆ” เซี่ยเฟยก้าวเท้าออกไปสังเกตศพของนักรบทั้งสองอย่างระมัดระวัง
“พวกเขาทั้งคู่น่าจะเป็นนักรบชั้นแนวหน้าของเผ่าพันธุ์ทั้งสอง ซึ่งหลังจากต่อสู้กันอย่างดุเดือดมาเป็นเวลานาน พวกเขาต่างก็แลกท่าสังหารและเสียชีวิตลงไปพร้อมกัน” โอโร่กล่าวพร้อมกับมองภาพตรงหน้าอย่างประทับใจ
“นี่สินะร่างกายของผู้ที่ได้รับพลังงานต้นกำเนิดไปอย่างมหาศาล แม้กระทั่งศพของพวกเขาก็ยังกลายเป็นคริสตัลใส และมันก็คงจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมร่างของพวกเขาถึงอยู่รอดมาได้โดยไม่เหี่ยวเฉา” เซี่ยเฟยกล่าวขณะเดินสังเกตรอบ ๆ ศพอย่างให้เกียรติ
“เป้าหมายของเชสนี่น่าจะเป็นสมบัติของใครคนใดคนหนึ่งใน 2 ศพที่เป็นเจ้านายของแบล็ครีเบลเลี่ยนแน่ ๆ ลองสังเกตดูนิ้วของศพทางด้านขวาให้ดี นายจะเห็นว่านิ้วกลางของเขาถูกหักทำลายไป มันจะต้องเป็นร่องรอยที่เชสนี่ขโมยแหวนมิติออกไปจากศพแน่ ๆ” โอโร่กล่าว
การค้นพบนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย เพราะเมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของศพทั้งสอง พวกเขาย่อมเป็นตัวตนระดับสูงในเผ่าพันธุ์ของตัวเองแน่ ๆ แหวนมิติที่เชสนี่ขโมยไปย่อมจะต้องมีสมบัติล้ำค่าซุกซ่อนอยู่ภายในนั้นอย่างมากมาย
“อาวุธกับชุดเกราะที่พวกเขาสวมใส่อยู่ก็ถือว่าเป็นอุปกรณ์ชั้นยอดอยู่เหมือนกัน แต่ทำไมเชสนี่ถึงเอาไปแต่แหวนแล้วปล่อยอุปกรณ์พวกนั้นเอาไว้?” โอโร่พึมพำขึ้นมาด้วยความสับสน
“ถึงแม้ภายนอกอุปกรณ์พวกนั้นจะดูดี แต่แท้ที่จริงพวกมันได้ถูกทำลายลงไปแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปสัมผัสกับดาบเสี้ยวพระจันทร์ของนักรบคนหนึ่ง ซึ่งทันทีที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับใบดาบที่สวยงามนั้น มันกลับแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงในพริบตา
การต่อสู้ระหว่างนักรบทั้งสองคนนี้คงจะเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงมาก จนทำให้แม้แต่อุปกรณ์ชั้นยอดบนตัวของพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะต้านทานพลังของอีกฝ่ายหนึ่งได้ และถึงแม้ว่าภายนอกพวกมันจะยังคงสภาพมาได้จนถึงปัจจุบัน แต่ภายในพวกมันกลับผุพังไปตั้งนานแล้ว
“มันจะต้องเป็นพลังแบบไหนถึงทำให้ผลลัพธ์กลายเป็นแบบนี้?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาอย่างสงสัย
โอโร่เงียบเสียงไปสักพักคล้ายกับว่าเขาจะจดจำอะไรบางอย่างได้
“ฉันคิดว่ามันอาจจะเป็นพลังของกฎแห่งเวลา” โอโร่กล่าว
“กฎแห่งเวลา!” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะกฎแห่งเวลาเป็นที่รู้จักในเรื่องกฎที่แข็งแกร่งที่สุดของทางฝั่งเทพ แต่มันก็สูญหายไปเป็นเวลานานแล้วด้วยเช่นเดียวกัน มันจึงกลายเป็นกฎที่ลึกลับที่สุดสำหรับเขา
“ทั้งคู่ยังดูหนุ่มมากแต่เราก็ไม่สามารถที่จะพิจารณานักรบกฎด้วยหน้าตาของพวกเขาได้ เพราะถึงแม้หน้าตาของพวกเขาจะดูมีอายุเพียงแค่ประมาณ 20 ปี แต่ในความเป็นจริงพวกเขาก็อาจจะมีอายุยืนยาวหลายร้อยปีแล้ว”
“ในกรณีของนักรบกฎทั้งสองคนนี้ พวกเขาก็น่าจะกลายเป็นเด็กด้วยพลังของกฎแห่งเวลา เมื่อพวกเขามีความเยาว์วัยมันก็ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มอายุขัยให้กับพวกเขาได้เท่านั้น แต่มันยังหมายถึงร่างกายของพวกเขาอยู่ในสภาพที่แข็งแรงที่สุดอีกด้วย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงต้องถูกอาวุธฟาดฟันเข้าใส่ลำคอ เพราะมันมีเพียงการจู่โจมเข้าใส่จุดตายเท่านั้นจึงจะสามารถสังหารผู้ที่ครอบครองกฎแห่งเวลาได้”
“หากพิจารณาดูอาวุธของพวกเขาดี ๆ เราก็จะได้พบว่าสาเหตุที่อาวุธของพวกเขาเปราะบางแบบนี้ นั่นก็เพราะว่าพวกมันถูกกฎแห่งเวลาไหลย้อนสภาพกลับคืนไป บังคับให้พวกมันกลับสู่สภาพของวัตถุดิบ ก่อนที่จะถูกประดิษฐ์จนกลายเป็นอาวุธชั้นยอด” โอโร่พยายามวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า
“สาเหตุที่อาวุธกฎเป็นอาวุธที่ทรงพลัง นั่นก็เพราะนักประดิษฐ์ได้ใส่พลังกฎเข้าไปในอาวุธ น่าเสียดายที่อาวุธทั้งสองชิ้นนี้ถูกแปลงสภาพกลับไปเป็นวัตถุดิบ กฎที่แฝงอยู่ในตัวอาวุธจึงถูกทำลายหายไปเนื่องจากกฎแห่งเวลาด้วยเหมือนกัน และเมื่อมันไม่มีพลังกฎคอยปกป้อง พวกมันจึงไม่สามารถทนทานต่อกาลเวลาอันยาวนานมาจนถึงปัจจุบันได้” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ใช้กฎแห่งเวลาอันทรงพลัง ดังนั้นอุปกรณ์บนร่างของพวกเขาจึงเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายพวกเขาก็ยังตายพร้อมกัน” โอโร่กล่าวพร้อมกับมองไปทางเซี่ยเฟยด้วยความพึงพอใจ
“นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเชสนี่ถึงไม่เอาอุปกรณ์บนร่างของพวกเขาไปสินะครับ เพราะเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าอุปกรณ์พวกนั้นถูกทำลายด้วยพลังของกฎแห่งเวลา แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของพวกมันจะยังคงดูดี แต่ในความเป็นจริงพวกมันกลับสูญเสียพลังดั้งเดิมไปจนหมดแล้ว”
“แต่ในกรณีของแหวนมิติกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะของในแหวนถูกแยกออกมาอยู่ในมิติเฉพาะ ดังนั้นถึงแม้อุปกรณ์ในส่วนอื่นจะถูกทำลายแต่ของที่อยู่ในแหวนก็ยังคงสภาพอยู่เหมือนเดิม” เซี่ยเฟยกล่าว
เมื่อเซี่ยเฟยกับโอโร่สามารถไขปริศนาความตายของนักรบทั้งสองคนนี้ได้ พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“กฎแห่งเวลาช่างเป็นกฎที่ทรงพลังจริง ๆ การใช้พลังของมันถึงกับสามารถทำให้นักรบชั้นยอดกลับมาสู่วัยเยาว์ และทำลายอาวุธอุปกรณ์ทั้งหมดโดยการใช้พลังออกมาเพียงแค่ครั้งเดียว บางทีผู้ที่ครอบครองพลังของกฎนี้ก็อาจถึงขั้นสามารถควบคุมอายุของตัวเองเลยก็ได้” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเข้าใจความลับของกฎแห่งเวลามากยิ่งขึ้น
“กฎแห่งเวลากับกฎแห่งชีวิตถือได้ว่าเป็นพลังที่รุนแรงที่สุดของทั้งสองเผ่าพันธุ์จริง ๆ และถึงแม้ว่าแต่ละเผ่าจะมีกฎหลักอยู่ 3 ข้อ แต่มันก็คงจะไม่มีกฎไหนที่สามารถท้าทายกฎแห่งชีวิตและกฎแห่งเวลาได้”
“โชคดีที่กฎทั้งสองประเภทนี้สูญหายไปจากทั้งสองเผ่าพันธุ์พร้อม ๆ กัน เพราะถ้าหากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญเสียกฎใดกฎหนึ่งไปก่อน ดินแดนกฎคงจะถูกรวมเป็นดินแดนเดียวมาตั้งนานแล้ว”
“แน่นอนว่าพลังที่นายใช้ในการทำลายกฎอื่น ๆ ก็เป็นพลังที่น่ากลัวด้วยเหมือนกัน แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่ามันคือพลังของกฎอะไร แต่มันย่อมทรงพลังกว่ากฎแห่งชีวิตและกฎแห่งเวลา” โอโร่กล่าว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โอโร่พยายามถามเรื่องกฎแห่งความโกลาหล เพราะกฎที่สามารถทำลายกฎของผู้อื่นได้ย่อมสามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เซี่ยเฟยยังคงนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไร เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากฎแห่งความโกลาหลมันคืออะไรกันแน่ มันคงจะมีเพียงแต่เทพขาวกับเทพดำผู้ซึ่งให้พลังนี้มากับเขาเท่านั้นที่จะสามารถอธิบายได้ว่ากฎแห่งความโกลาหลมีต้นกำเนิดมาจากไหน ด้วยเหตุนี้เขาจึงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจกับสิ่งที่โอโร่ได้ตั้งคำถามขึ้นมา
เมื่อชายหนุ่มคาดเดาว่าแหวนมิติวงที่เชสนี่ขโมยไปอาจจะมีความลับของกฎแห่งเวลาซ่อนอยู่ในนั้น มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเสียดายมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มจึงพยายามศึกษารายละเอียดของพื้นที่บริเวณนี้อย่างละเอียด เผื่อว่ามันจะทำให้เขาสามารถติดตามร่องรอยของเชสนี่ไปได้
—
คลื่นนน
เสียงการเคลื่อนไหวของแบล็ครีเบลเลี่ยนดังขึ้นมาจากระยะไกล ราวกับว่ามันกำลังเดินทางกลับมายังรังของมันอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้วและหาที่ซ่อนในซอกหลืบของตัวถ้ำอย่างเงียบ ๆ เพราะท้ายที่สุดอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ก็ทรงพลังมาก เซี่ยเฟยจึงไม่อยากจะปะทะกับมันเว้นแต่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็น
ตูม!
แบล็ครีเบลเลี่ยนทะลุขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อนที่มันจะรีบเคลื่อนตัวไปรอบ ๆ ร่างเจ้านายของมันอย่างรวดเร็ว และเมื่อมันได้พบว่าอาวุธภายในมือเจ้านายของมันถูกเซี่ยเฟยทำลายลงไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ มันก็ยิ่งรู้สึกโกรธจนแทบจะพ่นไฟออกมาจากร่าง
“มันถูกเชสนี่หลอกล่อออกไปจริง ๆ ด้วยสินะ เมื่อมันไม่พบกับร่างของศัตรูที่ขโมยสมบัติของเจ้านายมันไป มันถึงได้กลับมาเฝ้าร่างเจ้านายของมันอีกครั้ง เดี๋ยวก่อนนะร่างกายของมันดูสั้นลงไปหรือเปล่า?” โอโร่อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ดูเหมือนว่ามันจะส่งชิ้นส่วนร่างกายส่วนอื่น ๆ ออกไปเพื่อค้นหาศัตรู ความยาวของมันในตอนนี้เลยเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวของความยาวปกติเท่านั้น” เซี่ยเฟยกล่าว
แต่ในตอนที่มันไม่มีใครได้คาดคิดอยู่นั่นเอง จู่ ๆ เกล็ดสีดำของแบล็ครีเบลเลี่ยนก็เปล่งแสงสว่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน จนเกือบทำให้ดวงตาของเซี่ยเฟยได้รับบาดเจ็บ เพราะท้ายที่สุดเขาก็กำลังเปิดระบบช่วยมองเห็นในตอนกลางคืน มันจึงทำให้แสงสว่างจากร่างของอสูรศักดิ์สิทธิ์มีความสว่างไสวมากกว่าปกติ จนทำให้ชายหนุ่มต้องรีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว
เนตรมายา!
เซี่ยเฟยรีบใช้วิชาเสริมความแข็งแกร่งให้กับดวงตาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะปิดระบบมองกลางคืนเพื่อใช้ดวงตาเปล่า ๆ มองไปยังภาพตรงหน้า
อย่างไรก็ตามการที่เขาได้ถอดระบบมองกลางคืนออก มันก็ทำให้เขาได้ค้นพบกับมุมมองใหม่โดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะจู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นจุดแสงเล็ก ๆ ส่องแสงวิบวับบนพื้นถ้ำจากระยะไกล และภายใต้ถ้ำอันมืดมิดแห่งนี้มันก็ยิ่งดูโดดเด่นมากเป็นพิเศษ
ชายหนุ่มพยายามลบเลือนตัวตนและเคลื่อนที่เข้าไปหาสิ่งที่สะท้อนแสงที่เขาเห็นในระยะไกล
“นี่มัน... กระดูกของพวกเขางั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
ศพของนักรบทั้งสองมีความแวววาวราวกับคริสตัล ซึ่งพวกมันไม่เพียงแต่จะเรืองแสงออกมาได้เท่านั้น แต่เซี่ยเฟยยังสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ไหลผ่านชิ้นส่วนร่างกายที่หลุดรอดออกมาจากศพของนักรบได้อีกด้วย
บางทีชิ้นส่วนชิ้นนี้อาจจะเป็นนิ้วที่เชสนี่บิดมาจากร่างของนักรบ!!
“ที่แท้เชสนี่ก็หลบหนีไปทางนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมอสูรตัวนั้นถึงหาเชสนี่ไม่เจอ ที่แท้มันก็เป็นเพราะว่ามันไล่ตามศัตรูไปผิดทาง” โอโร่พึมพำขึ้นมาเบา ๆ
“เดี๋ยวก่อนนะ ในเมื่อนิ้วของนักรบคนนั้นเต็มไปด้วยพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ด้านใน มันก็หมายความว่าบนร่างของเชสนี่ควรจะมีร่องรอยหลงเหลืออยู่ด้วยใช่ไหม?” เซี่ยเฟยอุทานพร้อมกับชะงักค้างไปเล็กน้อย
“มันก็น่าจะเป็นแบบนั้น” โอโร่กล่าว
“ขนอุยเป็นอสูรที่ชอบพลังงานมาก บางทีมันอาจจะช่วยเราตามรอยไปหาเชสนี่ได้” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปาก
ในที่สุดโอโร่ก็สามารถทำความเข้าใจความคิดของเซี่ยเฟยได้อย่างรวดเร็ว แล้วมันก็ทำให้เขาแอบชื่นชมชายหนุ่มคนนี้อยู่ภายในใจ เพราะเซี่ยเฟยมักจะมีความคิดดี ๆ ในสถานการณ์แบบนี้อยู่เสมอ
เมื่อมีแผนการใหม่เซี่ยเฟยก็วางขนอุยลงกับพื้น พร้อมกับชี้นิ้วไปยังเศษเสี้ยวพลังงานที่ยังคงไหลเวียนอยู่บนนิ้วของซากศพ
“ขนอุย จำเอาไว้ว่าตอนนี้นายเป็นหมา รีบดมกลิ่นพลังงานนั้นแล้วพาฉันไปหาเชสนี่ซะ!”
คำสั่งของเซี่ยเฟยทำให้สีหน้าของขนอุยบิดเบี้ยวไปอย่างน่าเกลียด และมันก็พยายามตะโกนอย่างโศกเศร้าภายในจิตใจว่า
‘เจ้านาย หนูเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์นะ ไม่ใช่หมา!’
***************


แสดงความคิดเห็น