บทที่ 5...1/3

ใจดวงนี้สื่อถึงรัก

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่ 5...1/3

โมกข์มองกระจกมองหลังอยู่หลายรอบเพราะเห็นว่าเมษาเหมือนไม่ค่อยสบายตัว เธอขยับเปลี่ยนทางนั่งอยู่บ่อยๆ เขาจึงช่วยปรับแอร์ไม่ให้เย็นเกินไป สักพักเมษาถอนใจยาวๆ เหมือนกับเพิ่งไปวิ่งมา มีเหงื่อผุดที่ไรผม โมกข์จึงเปลี่ยนเป็นเพิ่มแอร์ให้แทน คราวนี้เธอดูหายใจสะดวกขึ้น

“คุณเมษาจะให้ผมแวะคลินิกหาหมอไหมครับ คือหน้าของคุณเมษาซีดมากเลยครับ” โมกข์ถามพลางชี้ไปยังคลินิกที่รถกำลังจะแล่นผ่าน

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันคงพักผ่อนน้อย วันนี้เข้านอนเร็วขึ้นคงจะหาย”

เมษารู้สึกเพลียเหมือนกับอดนอน แต่เมื่อคืนเธอได้หลับเต็มอิ่มนี่นา บางทีเธออาจจะเหนื่อยสะสมกระมัง

“ก็ได้ครับ แต่ถ้ามีอะไรโทรหาผมหรือคุณภามได้เลยนะครับ”

เมษายิ้มให้โมกข์ “ขอบคุณค่ะ”

รถจอดที่หน้าร้านเมนาพอดี หญิงสาวกำลังเปิดประตูลงจากรถ แต่หมิวที่เห็นรถมาจอดก็รีบวิ่งมาเปิดประตูให้เมษาทันที

“พี่เมเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าซีดๆ แบบนี้ล่ะ” แล้วหมิวก็หันขวับไปมองโมกข์เหมือนจะเอาเรื่องทันที

โมกข์เลิกคิ้วว่าเขาผิดอะไร เมษาเห็นแล้วก็ได้แต่อมยิ้มในความพร้อมมีเรื่องของหมิวกับท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ของโมกข์  เธอบอกขอบคุณที่เขามาส่งก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน โดยมีหมิวคอยจับมือไว้ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบตัว เธอไม่เห็นใครหรืออะไรที่ชวนให้คิดว่าเป็นวิญญาณ ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอถึงเห็นวิญญาณพี่ชายของภามได้นะ

“เดี๋ยวพี่ขอไปนอนสักชั่วโมงนะ ฝากหมิวดูร้านแทนพี่ที”

หมิวพยักหน้าหงึกๆ “ถ้าอยากไปหาหมอบอกหมิวได้เลยนะพี่เม”

“อือ ขอบใจนะ”

เมษาเดินขึ้นบันไปชั้นสามซึ่งห้องของเธออยู่บนนั้น ปีนี้เธอเพิ่ง 28 ปีเอง ทำไมกลายเป็นคนเหนื่อยง่ายไปเสียแล้ว

ป่านนี้ภามจะหายเครียดหรือยังนะ?

หญิงสาวถอนใจ ถ้าต้องอยู่ท่ามกลางญาติพี่น้องที่ไม่รู้ว่าจะมาฆ่าตนเองเมื่อไหร่ เธอคงหาความสุขไม่ได้ โชคดีที่แม้ว่าเธอกับมีนาจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่เคยคิดร้ายต่อกัน หญิงสาวเปิดประตูห้องพลางเดินโผเผไปนอนบนเตียง หลังจากนั้นก็แทบจะหลับไปในทันที

 

          ภามจัดลำดับความสงสัยจากสิ่งที่ได้รู้จากพี่ชาย  เขาควรสืบจากเรื่องใดก่อน หลังจากคิดอยู่เกือบชั่วโมง เขาคิดว่าจะสืบเรื่องของไปรยาเป็นอย่างแรก ลุงธนิน ธีภพแล้วจบลงที่ป้านลินที่น่าสงสัยน้อยที่สุด แต่ตัดออกไปจากคนที่น่าสงสัยยังไม่ได้ หากเขาต้องรู้เรื่องของไปรยาก็น่าจะสานต่อจากสิ่งเดิมที่ก่อนหน้านี้พี่ภูมิสั่งให้ปุริมสืบ

“ปุริมเข้ามาหาผมตอนนี้เลย” ชายหนุ่มกดโทรเรียก

รอเพียงครู่เดียวปุริมก็เข้ามาพร้อมอุปกรณ์สำหรับบักทึกและจด ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ปุริมเป็นเลขาที่ดีและเก็บความลับได้อย่างดีเยี่ยม เขาไม่เคยรู้เลยว่าพี่ชายกำลังจะฟ้องหย่าไปรยา ตอนนั้นตำรวจไม่ได้สอบปากคำปุริมด้วยกระมัง เรื่องการเตรียมฟ้องหย่าจึงไม่มีใครรู้เลยนอกจากปุริมกับพี่ภูมิ

          “มีอะไรจะสั่งงานผมหรือครับคุณภาม”

          “คุณเป็นเลขาของพี่ภูมิมาก่อนน่าจะรู้อะไรหลายๆ อย่างที่คนนอกหรือแม้กระทั่งผมไม่รู้ เพราะฉะนั้นมีบางเรื่องที่ผมอยากให้คุณช่วยสืบ”

          “คุณภามอยากสืบเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับคุณภูมิหรือครับ” ปุริมรอฟังพร้อมกับรอจดอย่างเคย

          “ก่อนพี่ภูมิจะตาย พี่ภูมิกำลังจะฟ้องหย่าไปรยาใช่ไหม ฟ้องด้วยสาเหตุอะไร”

          ภามมองออกว่าปุริมแปลกใจที่เขารู้เรื่องนี้ ซึ่งเขาก็จนใจที่จะเล่าหากว่ายังไม่มีหลักฐานที่แน่นหนามากพอว่าใครวางแฟนฆ่าพี่ชาย

          “จริงครับ หลักฐานที่จะนำไปฟ้องหย่าผมยังเก็บรักษาไว้อย่างดี คุณภามต้องการไหมครับ”

          ภามพยักหน้าเพราะการสืบเรื่องของไปรยาจะง่ายขึ้น ปุริมช่างเป็นเลขาที่เก็บความลับของเจ้านายได้เก่ง สมแล้วที่ทำงานกับพี่ภูมิมา 2 ปี โดยที่พี่ภูมิไม่เคยเปลี่ยนเลขา

          “ส่วนคุณไปรยาคบกับใครในตอนนั้น ผมจะสืบต่อ ขอเวลาผมสักหนึ่งสัปดาห์ ผมจะมารายงานความคืบหน้านะครับ” ปุริมไม่แน่ใจนักว่านักสืบคนเดิมยังเก็บข้อมูลเอาไว้หรือเปล่าจึงขอเวลาภามไปหนึ่งสัปดาห์ แต่ถ้าทุกอย่างยังอยู่คงไม่เกินสองวัน

          “ขอบใจมาก ไม่สงสัยหรือว่าผมให้คุณทำงานนี้ทำไม”

          ปุริมส่ายหน้าเพราะถึงเขาสงสัย เมื่อถึงเวลาเขาจะได้รู้เองว่าภามต้องการข้อมูลต่างๆ ของไปรยาไปเพื่ออะไร ภามพอใจที่เป็นแบบนี้ เขาไม่ถนัดที่จะอธิบายบางเรื่องในครอบครัวกับคนนอก ปุริมขอตัวเมื่อเจ้านายไม่สั่งงานอะไรเพิ่มแล้ว ภามเองก็ต้องสะสางงานที่ค้างต่อให้เสร็จ วันนี้เขามีที่แห่งหนึ่งที่ต้องไปเสียด้วย

 

          เมษาคิดว่าได้ยินเสียงใครสักคนเปิดประตูแล้วปิดจึงลืมตาตื่น พอมองไปที่ประตูห้องตัวเองก็ชักสับสนว่าที่ได้ยินนั้นมาจากไหน หญิงสาวเขยิบตัวมานั่งข้างเตียงยังรู้สึกง่วงอยู่บ้าง แต่ไม่เพลียแล้ว พอมองเวลาแล้วถึงเข้าใจ เธอหลับไปนานจนตอนนี้เกือบ 2 ทุ่ม ทั้งที่คิดว่าจะนอนแค่ชั่วโมงเดียวแท้ๆ กลับหลับไปเกือบ 3 ชั่วโมง

          หญิงสาวเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าและทำธุระส่วนตัว ก่อนจะออกมายืนเล่นรับลมเย็นๆ ที่ระเบียง ป่านนี้ลูกค้าจะกลับไปหมดหรือยังนะ เธอมองไปที่ฟุตบาทด้านหน้าของร้าน ตรงถนนมีรถจอดอยู่สองคัน แสดงว่ายังมีลูกค้า ถ้าเธอลงไปตอนนี้ยังช่วยหมิวปิดร้านได้ทันอยู่

          “โมกข์บอกว่าคุณหน้าซีดมาก ผมไม่ทันสังเกต ตอนนี้คุณดีขึ้นแล้วหรือยัง”

          เมษาสะดุ้งที่ได้ยินเสียงภาม แต่พอมองไปที่ระเบียงของตึกคูหาข้างๆ ก็ยิ่งตกใจ ภามมาอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าตึกคูหานี้กำลังปล่อยขายอยู่หรือ จากเหตุการณ์ไฟไหม้ร้านของเธอเมื่อหลายเดือนก่อน แม้ตึกคูหาข้างๆ ไม่ได้รับความเสียหายอะไร แต่เจ้าของได้ปล่อยขายไม่เปิดร้านเสื้อผ้าต่อแล้วเพราะขายไม่ค่อยดี

          “คุณมาได้ยังไง ทำไมถึง...”

          “ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ชั่วคราวเพื่อคอยดูแลคุณ” ภามยิ้มแบบผู้ชนะเพราะเมษาไม่ได้ระแคะระคายเลยว่าเจ้าของตึกคูหาข้างๆ เป็นใคร

          เมษาอ้าปากค้างไม่คิดว่าภามจะลงทุนทำถึงขนาดนี้ เขาซื้อตึกแล้วย้ายมาอยู่ใกล้ๆ เธอ นี่คือการแก้ปัญหาแบบคนรวยอย่างเขาสินะ เสียงเปิดและปิดประตูคงมาจากห้องที่เขาจะนอนในคืนนี้นั่นเอง

          “ไม่เป็นไรค่ะ ทำไมฉันรู้สึกว่าคุณกลัวฉันหนีเลยต้องมาประกบอยู่ใกล้ๆ แบบนี้นะ” ไม่มีเหตุผลเลยที่เขาจะลงทุนเสียเงินซื้อตึก หากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้

          ภามกดยิ้มที่มุมปากพลางถามสีหน้าจริงจัง

“แล้วจะหนีไหมล่ะครับ”

          เมษาขมวดคิ้วใส่ ‘คนรวย’ ที่ทำอะไรก็คงไม่ยากเท่าไหร่

“ฉันไม่ได้รวยอย่างคุณนะถึงจะหนีไปซื้อตึกหรือเช่าตึก แล้วตกแต่งใหม่เพื่อเปิดร้านขนมใหม่ได้ง่ายๆ”

          ภามหัวเราะเบาๆ เพราะถูกเมษาย้อนคำเข้าให้แล้ว ตอนที่ถามเขาแค่นึกสนุกอยากล้อเล่นด้วย แต่ไม่นึกว่าเมษาจะคิดเป็นจริงเป็นจัง

          “ผมไม่ได้กลัวคุณหนี แต่เพราะคุณไม่รับเงิน ผมก็จะตอบแทนด้วยน้ำใจด้วยการมาดูแล เผื่อว่าคุณมีเรื่องอะไรที่อยากจะให้ผมช่วย”

          นี่เองจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา เธอช่วยเขาเพราะน้ำใจไม่ได้หวังอะไร เขาจึงตอบแทนด้วยการอยากช่วยอะไรก็ได้ตามแต่ที่เธอจะร้องขอ แต่เขามาอยู่ใกล้ๆ เธอแบบนี้มันจะดีหรือ

          “คงต้องบอกว่าไม่เป็นไร ฉันคงไม่กล้าไปขอให้คุณช่วยหรอกค่ะ”

          ภามเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้าง “ทำไม”

          “เกรงใจน่ะสิคะ เราไม่ได้สนิทกันสักหน่อย”

          เสียงถอนใจที่เหมือนจงใจดังให้ได้ยิน ทำให้เมษาหันไปมองไม่แน่ใจว่าเธอพูดอะไรผิด ก็เราสองคนไม่ได้สนิทกันจริงๆ นี่นา เจอกันรวมแล้วแค่สี่ครั้ง เอาอะไรมาสนิท

          “คุณเคยจับมือผู้ชายนานเป็นชั่วโมงๆ มาก่อนไหม” ภามถามเสียงรวนๆ ราวกับเคืองใจบางอย่าง

          เมษาพยักหน้า “เคยจับมือค่ะ แต่ไม่ได้นานเป็นชั่วโมงแบบที่ฉันจับมือกับคุณ”

          “นั่นไง” เสียงของภามสูงขึ้นมาทันที “ผมกับคุณสนิทกันจะตาย”

          เมษาอดยิ้มไม่ได้ นี่เองสาเหตุที่ภามเสียงสูงขึ้นมา ผู้ชายตัวโตก็ใช่ว่าไม่อยากเอาชนะ เอาเถอะ ถ้าเขาอยากเข้าใจว่าเราสองคนสนิทกันแล้วก็ตามใจ เธอไม่อยากเถียงด้วยหรอก

          “ฉันไปแล้วนะคะ ป่านนี้หมิวคงกำลังจะปิดร้านแล้ว”

          ภามยิ้มออกเมื่อเมษาไม่พยายามแย้งว่าเราสองคนไม่ได้สนิทกัน เขายืนมองถนนที่รถว่างวายไปบ้างแล้ว มีเสียงนกร้องเบาๆ ในยามกลางคืน ความแปลกที่ไม่ทำให้เขารู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว แต่การเห็นร่างเพรียวที่คุ้นตากำลังยิ้มและหัวเราะกับเพื่อนบ้านและลูกค้า ทำให้ภามเกิดคำถามว่าหากไม่ใช่เพราะพี่ภูมิ เขาจะมาอยู่นี้ใกล้ๆ กับเมษาไหม คำตอบคือ ไม่ ชีวิตของเขากับเมษาไม่มีจุดใดที่จะเชื่อมต่อกันได้เลย จนกระทั่งวันที่เขาจับมือเธอแล้วเห็นวิญญาณของพี่ชาย

 

มีหนุ่มมาซื้อตึกข้างๆ เพื่อขอดูแลเพราะเมษาไม่รับเงิน การตอบแทนแบบภาม ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ

          บรรพตี

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.