บทที่ 12...1/3

ขอเพียงรักนี้นิรันดร

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่ 12...1/3

          พอประตูปิดลงแล้วธามิณีก็อยู่ในห้องของเธอเพียงลำพัง พระเสาร์หันหลังกลับไปโดยไม่มีคำร่ำลาใดๆ แล้วไม่รู้อีกเมื่อไหร่เราสองคนจะได้พบกันอีก ช่างเป็นการรอคอยที่ขมปนหวาน หากจะพบกันต้องมีใครสักคนตกอยู่ในอันตราย ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่ควรมาพบกันเสียดีกว่า แต่เธอกลับอยากพบเขาอยู่ดี อย่างน้อยการได้แบ่งปันสิ่งพิเศษที่เธอไม่อาจบอกใครได้ทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะมีเพียงเขาคนเดียวที่เข้าใจเธอกว่าใครๆ แต่เธอกลับไม่ค่อยเข้าใจเขาว่าพยายามทำตัวห่างเหินกับเธอเพราะอะไร หญิงสาวสลัดความคิดเพ้อเจ้อของตัวเองออกไป แล้วเปิดลิ้นชักหาสมุดบันทึก

ธามิณีหาเบอร์ของเตวินที่เคยจดไว้เพื่อถามถึงกาญเกล้า ก่อนหน้านี้เบอร์ของเขาถูกเธอลบออกจากโทรศัพท์ไปนานแล้ว อย่างน้อยการไปทำบุญให้กันยามที่ลาลับไปแล้วยังเป็นสิ่งที่เธอทำได้ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

          เกือบ 5 โมงเย็นแล้วตอนที่ธามิณีออกมาจากหอพักกำลังจะเดินไปที่ป้ายรถเมล์ วัดที่เตวินจองศาลาไว้ไกลจากหอพักพอสมควรทำให้เธอต้องเผื่อเวลาสำหรับรถติดด้วย 

          “ผมมารอรับคุณธามิณีไปที่วัดครับ” ชาญเอ่ยขึ้นพลางเดินมา “ตามคำสั่งของคุณธำรงค์ การมีนายเตวินอยู่ที่นั่น อาจจะยังไม่ปลอดภัยสำหรับคุณธามิณีนัก”

          คุณธำรงค์เป็นใคร ธามิณีให้ความสนใจเพราะเขาคนนี้คงเกี่ยวข้องกับศนิแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอจะไปงานศพในวันนี้ ชายชุดดำที่ไม่ยอมบอกชื่อนำทางธามิณีไปที่รถแล้วช่วยเปิดประตูให้

          “ขอบคุณนะคะ”

          หญิงสาวบอกชื่อวัด พอจะช่วยบอกทางชายคนนี้ก็เหมือนจะรู้เส้นทางดีกว่าเธอเสียอีก ศนิไปโดยไม่พูดอะไร แต่กลับส่งคนมารับส่ง เขาเป็นเทพกึ่งมนุษย์ที่ไม่ได้เย็นชาเสียทีเดียว เขาอาจรู้อยู่แล้วว่าแม้เธออยากไปลากาญเกล้า แต่การต้องไปพบกับเตวินอีกเป็นสิ่งที่เธอลำบากใจและกังวลอยู่เหมือนกัน

         

          รถเลี้ยวเข้ามาในวัดซึ่งค่อนข้างเงียบ แม้ตอนนี้จะเกือบ 1 ทุ่มแล้วก็ตาม ความที่รถติดมากพอๆ กับเวลาที่ธามิณีเผื่อไว้ทำให้มาทันก่อนพระสวด เตวินยืนอยู่ที่หน้าศาลากับผู้หญิงคนหนึ่ง น่าจะเป็นแฟนของเขากระมัง ธามิณียกมือไหว้เขาตามมารยาทพร้อมรับด้ายสีแดงมาผูกไว้ที่กระดุมเสื้อ มีความกระอักกระอ่วนใจระหว่างกันเพราะสิ่งที่เตวินทำในคราวก่อน

          “ขอบใจนะธามที่มาทั้งที่...” เตวินไม่พูดต่อเพราะธามิณีคงเข้าใจ อีกฝ่ายพยักหน้าไม่พูดอะไร เขาจึงเป็นฝ่ายพูดต่อเสียเอง “ธามรู้ใช่ไหมว่ายัยกาญจะตาย คือว่าก่อนหน้านี้ยัยกาญโทรมาขอเบอร์ของธามกับพี่น่ะ ทั้งที่ปกติไม่เคยอยากคุยกับธามด้วยซ้ำ”

          “ค่ะ ธามเตือนกาญแล้ว แต่ก็ยังช่วยไม่ได้อยู่ดี” ธามิณียอมรับ

          เตวินถอนใจทั้งที่ธามิณีเตือนกาญเกล้าแล้ว แต่ก็ยังมาตายอยู่ดี “ถ้าตอนนั้นที่ยัยกาญจะตกตึกลงมา ธามอยู่ที่นั่นคงจะช่วยได้ แต่มันไม่ใช่ความผิดของธามหรอกนะ ก็ธามไม่ได้อยู่ที่นั่นสักหน่อย”

          ธามิณีฟังแล้วแปลกใจเพราะเธออยู่บนดาดฟ้าตึกในวันนั้น แต่ศนิมักลบความทรงจำของใครก็ตามที่เห็นเขา การที่ไม่มีใครจำได้ว่าเธออยู่ที่นั่นคงเป็นเพราะศนินั่นเอง

          “ค่ะ ธามพยายามแล้ว” ธามิณีมั่นใจว่าคราวนี้เธอพยายามเต็มที่แล้ว ไม่เหมือนคราวป้ากับลุง “ธามไปฟังพระสวดก่อนนะคะ”

          “ขอบใจนะที่ไม่เอาเรื่องพี่”

          เรื่องอะไรคงไม่ต้องเอ่ยถึง หากไม่มีใช่เพราะวันนี้เธอมางานศพ ธามิณีมั่นใจว่าเธอไม่ยอมพบเตวินอีกแน่นอน เขาไม่น่าไว้วางใจสำหรับเธอไปแล้ว

          “แค่อย่าทำแบบนั้นกับธามอีก หรืออย่าเจอกันอีกก็พอนะคะ พี่วินคงเข้าใจว่าทำไมธามถึงตอบแบบนี้”

          สีหน้าของเตวินเจื่อนทันที แต่เขาไม่กล้ามีเรื่องกับธามิณีแน่ ชายชุดดำคนนั้นมองมาที่เขาตลอด เขารอดตายมาแล้วคงไม่เอาชีวิตมาเสี่ยงเพราะธามิณีอีก

          “พี่เข้าใจ พี่ขอโทษนะ”

          ธามิณีรับฟัง แต่ไม่รับคำขอโทษ การพูดว่า...ไม่เป็นไร มันง่ายเกินไปสำหรับสิ่งที่เตวินทำไว้ หญิงสาวเดินเข้าไปในศาลาและพบญาติอีกหลายคน รวมทั้งญาติผู้น้องของเตชิตที่เคยบอกว่าจะมารับเธอไปอยู่ด้วย แต่กลับไม่มา ญาติคนนั้นเข้ามาทักทายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางทีการไม่มีญาติอาจทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว แต่เธอเคยชินกับการอยู่คนเดียวแบบนี้แล้ว อย่างน้อยเพื่อนก็ยังจริงใจมากกว่า

          ตอนที่จุดธูป ธามิณีอธิษฐานขอให้กาญเกล้าไปสู่ภพภูมิที่ดี หากมีสิ่งใดเคยล่วงเกินกันเธอขออโหสิให้ทั้งหมด หญิงสาวมองไปรอบตัวแต่ไม่พบอะไรหรือใคร บางทีกาญเกล้าคงไปยังที่ที่ควรไปแล้ว เพราะฉะนั้นเธอจะลืมทุกอย่างที่ผ่านมาแล้วใช้ชีวิตต่อไปโดยที่ไม่รู้สึกว่าติดค้างใครอีก

                     

          กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นในบรรยากาศกำลังเย็นสบายของยามบ่าย หากเป็นการพักผ่อนของใครสักคนย่อมคุ้มค่าสำหรับเวลาที่ปล่อยใจไปกับวิวท้องฟ้าผสานกับตึกสูงมากมาย ทว่ากลับมีเสียงถอนใจออกมาจากร่างสูงที่มองออกไปยังที่ใดสักแห่ง สายตาของเขาสามารถมองได้ไกลเกินกว่ามนุษย์หลายร้อยเท่า ฉะนั้นการหาใครสักคนจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขากลับครุ่นคิด หากมนุษย์รู้ว่าตัวเองใกล้ถึงเวลาตายยังจะทำแบบธามิณีหรือเปล่า นั่นเพราะเธอไม่รู้อนาคตของตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เขาถอนใจ

          “การที่เทพกึ่งมนุษย์จะชอบมนุษย์สักคนไม่ใช่เรื่องต้องห้าม เราบอกท่านเผื่อว่าท่านจะลืมไป”

          เพียงแค่เสียงศนิก็รู้ทันทีว่าเป็นพระราหูโดยที่ไม่ต้องหันไปมอง อีกฝ่ายจึงมายืนพิงราวกันตกแล้วขมวดคิ้วใส่เขาแทน วันนี้พระราหูแต่งตัวอะไรกันจะไปเดินแบบที่มิลานหรือไง พระราหูมองสหายแล้วส่ายหน้าเพราะเจอกันกี่ครั้งก็ใส่ชุดสีดำเหมือนเดิม ทำอย่างกับไว้ทุกข์ให้ใครมาตลอดหลายร้อยปี

          “แต่ถ้ามนุษย์คนนั้นจะตายในอีกไม่กี่เดือน ท่านคงไม่คิดจะทำอะไร นอกจากรอเวลาเหมือนเช่นเรา” ศนิเอ่ยพลางเดินกลับมานั่งที่โต๊ะของเขาพลางจิบกาแฟ

          พระราหูเลิกคิ้วพลางตามมานั่งตรงเก้าอี้ที่ยังว่าง ดวงตาคู่นั้นมีแววขบขันระคนเจ้าเล่ห์

          “แสดงว่าชอบมนุษย์เข้าแล้ว”

          ศนิเลิกคิ้วบ้างพลางถอนใจ “เราไม่เคยพูดคำนั้น”

          “แต่ท่านไม่ได้ปฏิเสธ” พระราหูยิ้มกว้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเหมือนอยากซัดพลังใส่ “ที่ผ่านมาท่านไม่เคยทำแบบนี้กับมนุษย์คนไหน”

          ที่ผ่านมาผลึกกาลไม่เคยเลือกที่จะอยู่กับมนุษย์คนไหนเหมือนกัน แต่ป่วยการจะอธิบายให้พระราหูฟัง หากคิดแล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้นหรืออย่างนี้ ต่อให้เขามีความรู้สึกใดไยจะต้องเอ่ยให้ผู้อื่นฟัง

          “ท่านมาทำไม มาบ่อยจนน่าสงสัยหรือว่าจะมา...”

          “เรารู้แล้วว่าก่อนที่จะมาจุติเป็นมนุษย์ ธามิณีเป็นใครสำหรับท่านมาก่อน” สีหน้าของพระราหูตื่นเต้นที่จะเล่า

          ศนิมีคำตอบอยู่ในใจเพียงแต่เขาไม่แน่ใจ เนื่องจากเหตุการณ์ในตอนนั้นเขาไม่ทันได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่พอได้ฟังคำตอบที่พระราหูมั่นใจว่าไม่ผิดไปจากนี้ สายตาของเทพกึ่งมนุษย์ก็มองไปยังตึกโรงพยาบาลที่อยู่ห่างออกไปเพียงฝั่งตรงข้าม ธามิณีกำลังคุยกับผู้ป่วยที่มากับญาติอย่างเคย สีหน้าของเธอมีความสุข รอยยิ้มช่างไร้ความกังวลต่อสิ่งใด

เสียงถอนใจของศนิดังขึ้นอีกครั้ง ผลึกกาลเลือกธามิณีเพราะมีเหตุผล  คำตอบว่าธามิณีเคยเป็นใครสำหรับเขามาก่อน ทำให้การมองเห็นเธอตายจากไปกลายเป็นสิ่งที่เขารู้สึกนอกจากใจหาย แล้วยังเกิดคำถามว่านี่เป็นหลุมพรางของพระสูรยะหรือพระยม ถึงได้ส่งธามิณีเข้ามาในชีวิตอันยาวนานของเขา

 

          กัลยาโบกมือให้ธามิณีพลางวิ่งข้ามถนนมาหาเพื่อนซึ่งมายืนรอรับ ทั้งสองพากันไปนั่งเล่นกันที่สวนหย่อมเล็กๆ ข้างโรงพยาบาลระหว่างรอรวิชญ์มารับไปหาอะไรกินด้วยกันในเย็นวันศุกร์ตามที่นัดกันไว้ กัลยามองเพื่อนแล้วยิ้มกว้าง ปกติแล้วธามิณีไม่ชอบแต่งหน้า แต่พอมาฝึกงานก็เลยต้องดูแลตัวเองบ้าง ใบหน้าจึงดูมีสีสันขึ้นทำให้ดูสวยตามวัย เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าขนาดไม่แต่งหน้ารวิชญ์ยังแอบชอบมานาน มาตอนนี้คงอยากพูดความในใจออกมาจะแย่อยู่แล้ว

          “นี่ธามรู้ตัวหรือยังน่ะ วิชญ์คงยังไม่กล้าพูดใช่ไหม” กัลยาเอ่ยพลางดูสีหน้าของธามิณี

          ธามิณีเลิกคิ้ว “รู้ตัวเรื่องอะไร วิชญ์จะบอกอะไรธามเหรอ”

          “วิชญ์ยังไม่พูดจริงๆ เสียด้วย” กัลยายิ้มชอบใจ คนนึงก็ปากหนัก อีกคนก็ช่างไม่รู้ตัวเอาเสียเลย ผ่านมาหลายสัปดาห์เธอนึกว่าจะมีอะไรคืบหน้าบ้าง

“ฟังนะ วิชญ์น่ะชอบธามมาก ถึงได้พยายามพาตัวมาใกล้ชิดธามไง”

          “อำกันเล่นหรือเปล่าเนี่ย วิชญ์ไม่เคยมีท่าทีอะไรสักหน่อย”

          กัลยาถอนใจชักท้อแทนรวิชญ์ที่ธามิณีไม่รู้ตัวแม้แต่นิดเดียว เธอถึงต้องมาสะกิดให้รู้ตัวเสียทีไงล่ะ

“ธามนี่ความรู้สึกช้าจริงๆ เลย เอาอย่างนี้ ธามก็ลองมองๆ วิชญ์ไว้สิ คนดีๆ แบบนี้ ถ้าได้เป็นแฟน ธามจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีเชียวล่ะ”

ธามิณีหลิ่วตาใส่เพื่อน การรู้ว่ารวิชญ์ชอบเธอทำไมไม่ทำให้รู้สึกใจเต้นแรงหรือดีใจเลยนะ

          “แม่สื่อแม่ชักไม่ได้เจ้าตัวเอาวัวพันหลัก”

          กัลยาหัวเราะชอบใจเพราะพวกแม่สื่อมักจบลงที่ตัวเองได้ แต่ไม่ใช่กับเธอแน่นอน เธอกับรวิชญ์ไม่เคยมีความรู้สึกอื่นใดนอกจากความเป็นเพื่อน

          “วิชญ์มาแล้ว เอาเป็นว่าอย่าลืมที่กัลบอกนะ เชื่อกัลเถอะ”

          “อืม ก็ได้” ธามิณีรับปากเพราะไม่ได้เสียหายอะไร ถ้ายังไม่ใช่ก็แค่เป็นเพื่อนกันอย่างเดิม

          รวิชญ์ยิ้มให้สองสาวอย่างเคย ธามิณีลองถามใจตัวเองอีกครั้ง แต่เธอไม่มีความรู้สึกใจเต้นแรงหรือเขินอายเวลาอยู่กับเขาเลย ที่ผ่านมาเธอเคยรู้สึกใจเต้นแรงเพราะใครมาก่อนไหม คำตอบคือ...มี แต่มันคงไม่มีทางเป็นไปได้ เขาไม่เคยมองเธอเป็นหญิงสาว แต่เขามองเธอเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น

          กัลยาจงใจเข้าไปนั่งเบาะหลัง ธามิณีรู้ทันเพื่อน แต่ก็ยอมนั่งข้างๆ เบาะข้างคนขับ รวิชญ์เป็นเพื่อนที่ดีมาตลอด เขาไม่ควรได้รับสิ่งที่ทำร้ายใจจิตเพียงเพราะเขารู้สึกกับเธอเกินกว่าเพื่อน ความรักไม่ใช่เรื่องผิดเลย เช่นเดียวกับการเป็นเพื่อนกันไปจนกว่าจะมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงก็ไม่ผิดเช่นกัน หากวันหนึ่งเขายังไม่เปลี่ยนไป เธออาจจะแพ้ใจแล้วรักเขาสักวันก็ได้ ไม่มีใครรู้อนาคตในอีกหลายปีข้างหน้าหรอก

 

แจ้งข่าวอีกทีจ้า

 

1. ขอเพียงรักนี้นิรันดร จำหน่ายในรูปแบบ E-Book แล้วนะคะที่เว็บ MEB ในวันนี้ (8 มีนาคม 2566) หมวด นิยายรัก

2. โบว์ทำโปรโมชั่นลดราคานิยายเป็นเวลา 18 วัน ในราคา 180 บาท จากราคาเต็มหน้าปก 329 ราคาลดลง 45% ค่ะ

3. โบว์จะลงนิยายให้อ่านประมาณ 65% ของเรื่องราวทั้งหมด หรือประมาณบทที่ 16 แล้วสิ้นสุดการลงนิยายนะคะ

 

*****************************************************

 

เคยรู้สึกว่าคิดถึงใครสักคนจนอยากร้องไห้บ้างไหม?

ฝันถึงใครบางคนที่ไม่รู้ชื่อ แต่รู้สึกว่ารักคนคนนั้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ

อยากหาเหตุผลว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น แต่ก็หาคำตอบไม่พบ

 

ขอบคุณไม่นับครั้ง

อัมราน

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.