บทที่ 10...1/3

ขอเพียงรักนี้นิรันดร

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่ 10...1/3

การฝึกงานราบรื่นดีสำหรับธามิณี เธอได้พบพี่พยาบาลที่คอยช่วยให้คำแนะนำในการพูดคุยกับคนไข้และญาติของคนไข้ หมอหลายๆ ท่านที่อธิบายถึงอาการของโรคต่างๆ ที่นอกจากการรักษาด้วยการทานยาแล้ว การทานอาหารที่ถูกต้องก็ช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นเช่นกัน ช่างเป็นความสุขในช่วงปิดเทอม

ในตอนบ่ายหลังจากทำงานที่ได้รับมอบหมายแล้ว ธามิณีมักมาคุยกับผู้ป่วยเพื่อแนะนำในเรื่องอาหารกับเรื่องทั่วๆ ไป บางครั้งญาติของผู้ป่วยก็มานั่งฟังด้วยเหมือนกัน อย่างเช่นคุณป้าภาวนาซึ่งเป็นแม่ของภารดี  

“ขอบใจหนูมากเลยนะที่ช่วยแนะนำเรื่องต่างๆ ไม่งั้นป้าก็ยังงงๆ ว่าจะทำกับข้าวอะไรให้ลูกดี ฟังภาษายากๆ ป้าก็ไม่เข้าใจ หนูอธิบายเข้าใจง่ายดี”

ธามิณียิ้มปลื้มใจที่วิชาความรู้ที่เรียนมาสามารถช่วยคนได้ แม้จะไม่ทำให้โรคหายไปทันที แต่การกินอาหารที่สมดุลก็มีส่วนทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ภารดีเพิ่งฟื้นหลังจากผ่าตัดหัวเข่า เพราะฉะนั้นควรกินอาหารที่มีโปรตีนซึ่งจะช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย ทำให้แผลหายเร็ว อย่างเช่น ปลา เต้าหู้ ไข่ ซึ่งเป็นโปรตีนที่นุ่ม ย่อยง่าย ไขมันต่ำ ทำให้เมื่อกลับไปพักฟื้นที่บ้านการคิดเมนูต่างๆ จะง่ายขึ้นหากรู้ว่าสิ่งใดควรกินและสิ่งใดไม่ควรกิน

          “เดี๋ยวหนูช่วยถือของไปส่งที่ลิฟต์นะคะ” ธามิณีอาสาเพราะเห็นว่าคุณป้าภาวนาถือของกลับพะรุงพะรังซึ่งเป็นตะกร้ากับปิ่นโตเปล่า เธอเห็นผู้เป็นแม่มาเยี่ยมลูกสาวทุกวัน

           “ใจดีจังเลย ขอให้เจริญๆ นะหนู” ภาวนาส่งตะกร้ามาให้ธามิณีพร้อมกับจับมือของเธอแล้วมองด้วยสายตาซาบซึ้งใจ

          “เรื่องแค่นี้เองคุณป้า หนูอยากช่วยค่ะ” ธามิณีรับตะกร้ามาถือไว้พลางช่วยประคองแขนแม่ของผู้ป่วย

ธามิณีเห็นรอยยิ้มของคุณป้าภาวนาที่นั่งรถเมล์ตั้งไกลเพื่อมาหาลูกสาวทุกวันแล้วเหมือนมีก้อนสะอื้นอยู่ในอก ถึงแม้จะทำใจเรื่องพ่อแม่ได้แล้ว แต่พอเห็นความรักของแม่กับลูก เธอก็อิจฉาอยากให้มีโอกาสแบบนี้บ้าง หญิงสาวกดลิฟต์รอให้ผู้มากวัยกว่าเข้ามาเรียบร้อยแล้วจึงตามมา เธอเดินมาส่งคุณป้าภาวนาที่ป้ายรถเมล์ ก่อนจะเดินกลับมาที่ตึกด้วยความรู้สึกเบิกบานสบายใจ อีกไม่กี่วันภารดีจะได้กลับบ้านแล้ว ครอบครัวที่มีแค่สองแม่ลูกจะได้กลับไปดูแลกัน ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเหลือเกิน

 

          ผู้จัดการส่วนตัวมารับกาญเกล้าเพราะหางานให้เธอได้แล้ว เป็นงานถ่ายแบบกลางแจ้งซึ่งเป็นชุดกีฬาออกแนวเซ็กซี่เล็กน้อย โดยที่กาญเกล้าต้องถ่ายกับนายแบบอีกคน หญิงสาวมาถึงตึกซึ่งมีฟิตเนสอยู่ด้านใน แต่ลิฟต์ไม่ได้หยุดที่ชั้น 5 แต่มันคือชั้น 15 แล้วขึ้นบันไดต่อไปยังดาดฟ้า

          กาญเกล้ามองบันไดที่เธอต้องเดินเพื่อขึ้นไปยังดาดฟ้าอย่างไม่แน่ใจ มันคือวันนี้ใช่ไหมที่ธามิณีบอกเธอไว้ แต่ชุดที่เธอใส่ไม่ใช่เกาะอกสีดำกับกางเกงยีนส์ หรือว่ามันจะไม่ใช่เหตุการณ์นั้น

          “มาสิกาญ ยืนเหม่ออะไรอยู่ ทีมงานขึ้นไปรอที่ดาดฟ้ากันแล้ว” ผู้จัดการของกาญเกล้าเข้ามากระซิบบอกพลางจับแขนให้ไปด้วยกัน

          กาญเกล้าขืนตัวไม่ยอมก้าวตามไป “ทำไมพี่ไม่บอกกาญล่ะคะว่าต้องมาถ่ายแบบบนดาดฟ้า”

          “ดาดฟ้าแล้วยังไง งานนี้พี่อุตส่าห์เสนอกาญให้ลูกค้าแทนเด็กอีกคนของพี่เพราะเห็นว่าอยากทำงาน ตอนนี้จะมีปัญหาอะไรอีก”

          กาญเกล้าหน้าเสียเพราะตัวเองกำลังร้อนเงิน แต่ก็กลัวว่าจะตายเพราะตกตึก เธอควรทำอย่างไรดี

          “จะทำหรือไม่ทำ ถ้าไม่ทำพี่จะได้โทรเรียกคนอื่น”

          “ทำค่ะ โธ่ กาญแค่สงสัยก็เลยถาม พี่อย่าเพิ่งโมโหสิคะ” กาญเกล้าเลือกแล้วว่าจะหาเงิน อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้แต่งตัวอย่างที่ธามิณีบอกไว้ เธอคงไม่ตกตึกวันนี้หรอกน่า “กาญของโทรหาเพื่อนนาทีเดียว เดี๋ยวจะรีบตามไปนะพี่”

          ผู้จัดการส่วนตัวพยักหน้าแล้วเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าก่อน กาญเกล้าโทรหาธามิณีเพื่อความแน่ใจว่าเธอจะไม่ตายในวันนี้ใช่ไหม

          “มีอะไรหรือเปล่า” ธามิณีถามพอจะเดาได้ว่ากาญเกล้าโทรมาด้วยเรื่องอะไร

          “มาหาฉันที่ตึก... ฉันมีถ่ายแบบที่นี่ รีบมาหาฉันบนดาดฟ้า เธอต้องมาดูให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาผลักฉันตกตึก ถ้าฉันตายก็เพราะเธอ รีบมาเดี๋ยวนี้”

          พอธามิณีรับปาก กาญเกล้าจึงกดวางสายแล้วยอมขึ้นไปบนดาดฟ้าพลางมองชุดที่ต้องถ่ายในวันนี้ ไม่มีเกาะอกกับกางเกงยีนส์ซึ่งทำให้เธอโล่งใจได้นิดหน่อย หญิงสาวเปลี่ยนเสื้อตามเซตที่จัดไว้สำหรับการถ่ายแบบ เธอกังวลใจอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งธามิณีมาถึง กาญเกล้าขอให้ผู้จัดการพาธามิณีเข้ามาเป็นหนึ่งในทีมงานของเธอ

          “ในนี้มีคนที่เธอเห็นว่าจะผลักฉันตกตึกบ้างไหม” กาญเกล้าถามธามิณีในระหว่างที่กำลังเปลี่ยนชุด

          ธามิณีมองไปทั่วๆ แต่ดูที่ข้อมือของทีมงานอย่างพิจารณา เธอจำได้ว่าคนที่ผลักกาญเกล้าตกตึกใส่นาฬิกาสายหนังและมีรอยสักรูปอะไรสักอย่าง เธอเห็นไม่ชัดนักที่ข้อมือ แต่เท่าที่มองหาไม่มีใครที่น่าจะเข้าเค้าสักคน

          “ไม่มี”

          กาญเกล้าฟังแล้วค่อยโล่งอกกลับมามีสมาธิในการทำงาน ธามิณีเห็นแล้วก็นึกสงสาร การที่รู้ว่าตัวเองอาจจะตายเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก เธอเองก็มีสภาพไม่ต่างจากกาญเกล้านัก เธอไม่แน่ใจว่าจะเปลี่ยนแปลงการตายได้ไหม แต่ไม่อยากให้กาญเกล้ารู้สึกกลัวอยู่คนเดียว หากถึงวาระสุดท้าย การจากไปอย่างไม่โดดเดี่ยวคงเป็นสิ่งที่เธอพอจะช่วยได้ 

          การถ่ายแบบดำเนินไปอย่างราบรื่นดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่ากังวลแล้ว ทีมงานช่วยกันเก็บของในเวลาเกือบ 6 โมงเย็น กาญเกล้ากำลังเข้าไปในลิฟต์เพื่อกลับบ้าน ธามิณีจะกลับแล้วเช่นกัน เธอเลือกเดินลงบันไดแทนลิฟต์เพราะทีมงานใช้กันแทบไม่พอแล้ว

          การเดินมาทางบันไดค่อนข้างเงียบซึ่งดีไม่น้อย ธามิณีกำลังต้องการใช้ความคิด บางทีการที่อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนคงทำให้การตายของกาญเกล้าที่เธอเห็นในนิมิตไม่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งน่าโล่งใจมาก แม้เธอจะสงสัยว่าการรอดตายจากชะตากรรมของมนุษย์ง่ายดายแบบนี้จริงๆ หรือ ความที่กำลังคิดทำให้เธอไม่ทันเห็นร่างสูงของใครอีกคนที่เดินสวนบันไดขึ้นไปด้านบน เธอชนเขา แต่กลับเซเสียเอง

          “ขอโทษค่ะ” ธามิณีเอ่ยพลางคลำไหล่ตัวเองที่เพิ่งไปกระแทกกับผนังตึกส่วนชายคนที่เธอชนแทบไม่ขยับด้วยซ้ำ

          ชายคนนั้นมองมาที่ธามิณีไม่พูดอะไรก่อนจะเดินต่อไป หญิงสาวเดินลงบันไดไปเรื่อยๆ แต่รู้สึกเหมือนมองข้ามอะไรไปสักอย่าง ชายคนนั้นใส่แมส แต่แว่นตาและโครงหน้าเหมือนใครสักคนหรือเปล่านะ แถมเธอยังได้กลิ่นเหล้า

          “ทำไมคุ้นๆ” 

          ธามิณีเดินออกมาจากตึกกำลังจะออกไปรอรถเมล์ ผู้จัดการของกาญเกล้ายังยืนอยู่ที่รถ ทั้งที่ลงมาก่อนสักพักแล้ว ด้วยความสงสัยว่ากาญเกล้าหายไปไหน ธามิณีจึงเดินไปถามด้วยความเป็นห่วง

          “กาญไปไหนล่ะคะพี่ กลับไปแล้วหรือคะ” ธามิณีถาม

          “ไม่รู้มีอะไร พอรับโทรศัพท์จากแฟนก็วิ่งกลับเข้าไปในตึก พี่ยังคิดอยู่เนี่ยว่าจะรอดีไหม”

          ธามิณีมองกลับเข้าไปในตึก ใช่แล้ว! ผู้ชายคนนั้นคือแฟนของกาญเกล้านี่เอง ไม่ได้การแล้ว ธามิณีรีบวิ่งกลับเข้าไปในตึกพลางโทรหากาญเกล้า ถ้าเหตุการณ์เดิมยังเกิดขึ้น แม้เวลาและการแต่งตัวต่างไปล่ะ

          “เธออยู่ที่ไหน” ธามิณีถาม

          “พี่วัตโทรมานัดฉันน่ะ แล้วเธอโทรมาทำไม เธอเห็นอะไรอีกแล้วหรือไง” กาญเกล้าถามอย่างกลัวๆ

          “เปล่า ฉันแค่เป็นห่วง ไม่ว่ายังไง ห้ามไปดาดฟ้าเด็ดขาดนะ”

          “รู้แล้วน่า ฉันไม่ไปหรอก” กาญเกล้ายิ้มให้ณวัตและกำลังจะกดวางสาย “พี่วัต...โอ๊ะ!”

          ธามิณีได้ยินไม่ชัดว่ากาญเกล้าพูดว่าอะไร

“มีอะไรหรือเปล่ากาญ…กาญ”

          กาญเกล้ากดวางสายไปแล้ว ธามิณีไม่แน่ใจว่าเธอคิดมากไปหรือว่ามันเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ พอโทรกลับไปอีกครั้งกาญเกล้ากลับไม่รับสาย ด้วยความกังวลนั้นทำให้ธามิณีขึ้นลิฟต์แล้วกดชั้นบนสุดเพื่อขึ้นไปที่ดาดฟ้า อย่างน้อยไปดูให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อความสบายใจก่อน

 

อบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ

อัมราน_บรรพตี

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.