บทที่ 2...1/3

ขอเพียงรักนี้นิรันดร

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่ 2...1/3

          หัวใจของธามิณีกำลังเต้นช้าลง ศนิรู้สึกได้จากเสียงที่เขาได้ยินมากกว่ามนุษย์ปกติ วาระสุดท้ายในชีวิตของเธอคงมาถึงในไม่ช้า ดวงหน้าของคนใกล้ตายที่เขาพบเจอมีอยู่เพียงสองแบบ แบบแรก ทุรนทุรายยังไม่พร้อมหมดลมหายใจ ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แบบที่สอง มีความยินดีหากจะตายจากโลกนี้ไปราวกับว่ามันเป็นทางเดียวที่จะสมหวังได้  ธามิณีเป็นแบบที่สอง เธอมีความยินดีที่จะหมดลมหายใจเพราะรู้ว่าโลกใบนี้ไม่มีพ่อแม่อีกแล้ว  ความคิดของมนุษย์บางทีก็ทำให้เทพกึ่งมนุษย์ที่มีชีวิตมานานกลับไม่เข้าใจ หากต้องมีชีวิตจนไม่อยากลืมตาตื่นขึ้นในวันพรุ่งนี้อย่างเขา คงพอใจหากจะปิดตาลงแล้วไม่ต้องลืมตาขึ้นมาอีก

          ทว่าในวินาทีที่ธามิณีใกล้ถึงสุดดินแดนของมนุษย์ หัวใจดวงนั้นของเธอกลับมาเต้นได้อีกครั้ง คำตอบของการกลับมามีเพียงดวงตาของเทพที่ถูกลงทัณฑ์เช่นเขาเท่านั้นที่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร ผลึกกาลส่องแสงจนสว่างวาบไปทั่วทุกทิศทาง หากมนุษย์มองเห็นอาจตาบอดไปแล้วก็ได้

          ...หากยังไม่ถึงวินาทีสุดท้ายตามบัญชีในยมโลก ผลึกกาลจะช่วยเจ้าของร่างนั้นสินะ

          “น้องธามดูเหมือนจะฟื้นแล้วค่ะ” พยาบาลที่ดูแลธามิณีมาตลอดทั้งเดือนเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ

          รัดเกล้าที่ยืนชะเง้อพลางสวดมนต์รีบเข้ามายืนมองใกล้ๆ ไม่กล้าเข้าไปวุ่นวายในระหว่างที่หมอกับพยาบาลกำลังช่วยชีวิตธามิณีอยู่

          ธามิณีหายใจแรงราวกับอยากจะกอบโกยอากาศให้เข้าไปเต็มปอด เธอรู้สึกถึงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นอยู่ใต้อก ความรู้สึกของการจะเกือบไร้ลมหายใจกับการฟื้นขึ้นมาเพื่อรู้ว่าพ่อแม่ไม่อยู่แล้วอย่างไหนทรมานกว่ากันนะ

          “เดี๋ยว...อย่าเพิ่งไป” ธามิณีตะโกนแต่กลับไม่มีเสียงออกมา เธอยกมือราวกับจะคว้าร่างของชายที่สุดเอื้อมเอาไว้

          ชายคนนั้นที่เธอเห็นเพียงคนเดียวยิ้มที่มุมปากคล้ายกับเย้ยหยัน เขาทำแบบนั้นทำไม แต่ไม่สำคัญเท่าเขาเป็นใคร คืนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง มีเพียงเขาที่ตอบเธอได้

          “หากเวลาจบสิ้นอายุขัยยังมาไม่ถึง เธอจะยังได้มีชีวิตต่อไป” ศนิเอ่ย

          ธามิณีพยักหน้ารู้ได้ว่าน้ำเสียงของเขาไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใด แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญกับเธอเลย ทว่าร่างของชายหนุ่มคนนั้นกำลังเลือนหายไปจากสายตาของเธอราวกับว่าเขาเป็นภูติผี!

          “ธามมองหาใครหรือลูก มองหาป้าใช่ไหม ป้าไม่ไปไหนหรอก” รัดเกล้าเข้ามาจับมือธามิณีไว้

          ธามิณีหันมามองรัดเกล้าแล้วน้ำตาก็เอ่อออกมาราวกับย้ำเตือนว่าตอนนี้เธอไม่เหลือใครอีกแล้ว มีเพียงป้ารัดเกล้าคนเดียวเท่านั้น เธอมองไม่เห็นตัวเองในอนาคตเลยว่าจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร

          “ธามอยากไปหาพ่อกับแม่”

          “เอาไว้ป้าจะพาไป วันนี้ธามพักก่อนนะ”

          ธามิณีไม่อยากยอมนอนอยู่ที่นี่ แต่ร่างกายของเธออ่อนแอแม้จะลุกขึ้นนั่งยังเป็นเรื่องยากในเวลานี้ ความเย็นของน้ำตายามที่ไหลจากหางตาลงมาที่ผมหยดแล้วหยดเล่ามันคือความทุกข์ใจที่ไม่อาจย้อนคืนได้ หากวันนั้นพ่อกับแม่ไม่มารับเธอกลับ หากเธอไม่เสียเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องจนกลับรถบัสของโรงเรียนไม่ทัน หากวันนั้นเธอป่วยไม่ได้ไปโรงเรียน หากวันนั้นฝนไม่ตกจนไฟที่ถนนดับไปทั้งเส้น สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะยังเหมือนเดิมอยู่ไหม

...เธอทำได้แต่เพียงตั้งคำถาม แต่ความจริงที่เกิดขึ้นมีเพียงอย่างเดียว

เธอย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะหากทำได้เธอจะเลือกทุกทางที่พ่อกับแม่จะไม่ตาย ทั้งที่มีทางเลือกมากมาย แต่ทำไมสุดท้ายพ่อกับแม่ถึงต้องจากไป ทำไมเธอต้องทรมานเหมือนตาย การไม่เหลือพ่อแม่แล้วก็เหมือนโลกทั้งใบดับสิ้นลง หนทางข้างหน้าช่างมืดมน ธามิณีมองไม่เห็นเลยว่ารอยยิ้มและความสุขจะเกิดขึ้นกับเธอได้อีกหรือเปล่า เธอไม่เหลืออะไรนอกจากชีวิตตัวเองและความทรงจำที่เจ็บปวด

         

ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆสีคล้ำๆ แต่เพียงไม่นานสายลมก็กรรโชกแรง ความชื้นในอากาศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหยดน้ำได้ตกลงจากฟากฟ้าเป็นสายฝนราวกับเกิดพายุใหญ่ ทั้งที่มีพยากรณ์อากาศว่าวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส จะไม่เกิดฝนที่บริเวณนี้แต่อย่างใด ทุกคนที่เดินตามท้องถนนพากันวิ่งไปหลบฝน บ้างก็บ่นพึมถึงฝนที่อยู่ๆ ก็ตกลงมา

          แม้ลมจะสงบลงแล้ว แต่ฟ้ายังคงแลบจนทำให้ท้องฟ้าในเวลาค่ำหลังจากเลิกงานมาชั่วโมงกว่าสว่างวาบราวกับเป็นเวลากลางวัน ฝนยังคงตกหนักจนทำให้น้ำที่ระบายไม่ทันเริ่มนองเต็มถนนมากขึ้นเรื่อยๆ

          ทว่า ณ ชั้นดาดฟ้าของ Saturn Corporation ในเวลานี้กลับไร้ฝน แต่เป็นจุดกำเนิดของสายฟ้าที่มาจากชายสองคนในอาภรณ์ที่มนุษย์ใช้สวมใส่ ชายผู้มีนัยน์ตาสีดำสนิทประหนึ่งทะเลในยามรัตติกาลใส่สูทสากลสีดำสนิท ในขณะที่ชายอีกคนใส่สูทสีขาวดูสง่างาม ทว่าดวงตาคู่นั้นราวกับเปลวเพลิง

          “สิ่งใดที่เป็นของเรา เจ้าหรือใครก็ตามย่อมไม่มีสิทธิ์” แม้ว่าสีหน้าของพระเสาร์จะเรียบเฉย แต่แววตาสีดำสนิทเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อศัตรูอันเป็นเหตุให้เขาได้ผลของการกระทำนั้น จนต้องมาชดใช้ที่โลกมนุษย์ “เจ้าใช่ไหมที่เปลี่ยนชะตากรรมของธามิณีด้วยการใช้ผลึกกาลเป็นเครื่องมือ”

          การฆ่ามนุษย์คงเป็นหลุมพรางที่พระยมจงใจทำ เพื่อให้เขาต้องได้รับโทษไม่จบไม่สิ้น พระยมย่อมรู้ดีว่าเขาปรารถนาจะได้ผลึกกาลอีกครึ่งกลับคืนมาเพราะอะไร

          “จะรีบร้อนไปใย เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะได้ผลึกกาลอีกครึ่งกลับคืนไป” ชายผู้ใส่สูทสีขาวยิ้มหยัน ผู้ถูกละทิ้งย่อมต้องถูกซ้ำเติม เขาคือหนึ่งในเทพที่พร้อมจะทำแบบนั้น หากว่าพระเสาร์ยังจองหองแบบนี้

          749 ปีที่เป็นเทพกึ่งมนุษย์ซึ่งต้องทำงานเพื่อไถ่โทษ ทำให้พระเสาร์ยั้งความโกรธได้มากขึ้น แต่สำหรับเทพผู้นี้ เขาไม่จำเป็นต้องยั้งสิ่งใด

          “บอกมา!”

          “ทุกอย่างเป็นไปตามสั่งของพ่อเจ้า เมื่อถึงเวลาผลึกกาลอีกครึ่งจะไปอยู่กับมนุษย์ที่ถูกเลือก ตอนนี้เจ้าคงได้รู้แล้วว่าเป็นมนุษย์ผู้ใด แต่เจ้าจะแย่งผลึกกาลอีกครึ่งกลับคืนไปคงไม่ง่าย พ่อของเจ้าช่างรักเจ้าเสียจริง” พระยมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ สีหน้าของพระเสาร์ดูเหมือนจะประหลาดใจ เรียวปากหนาคลี่ออกแล้วยิ้มมุมปาก อย่างน้อยเขาก็ไม่เสียเที่ยวที่ฝืนกฎลงมาที่นี่ “เทพเกือบทุกองค์เกลียดชังเจ้า สิ่งนี้เจ้าคงรู้อยู่แล้วกระมัง”

          “รู้แล้วอย่างไร ไม่รู้แล้วอย่างไร ใครจะเกลียดเราย่อมทำได้ แต่มีผู้เดียวที่เราเกลียดชัง ในเมื่อมาแล้วก็อย่าให้เสียเที่ยวเลย”

          พระยมจงใจมาในวันนี้ ทำไมศนิจะไม่รู้ทัน เขาถูกลงโทษให้ลงมาเป็นเทพกึ่งมนุษย์เพื่อล่าปีศาจและวิญญาณร้ายไถ่โทษ ต้องทำงานที่รับมาจากคู่แค้น ตอนนี้แม้เขาจะมีพลังจากผลึกกาลเพียงครึ่งเดียว แต่ในการต่อสู้นี้เขาจะไม่แพ้พระยม วันนี้เมื่อ 749 ปีก่อนเขาก็ไม่เคยแพ้ มีเพียงผู้เดียวที่เขายอมหยุดและยอมรับโทษ นั่นคือบิดาที่ไม่รักบุตร

          “เจ้าทำไม่ได้หรอก” พระยมเลิกคิ้วมองพระเสาร์ “ตอนนี้พลังของเจ้ามีเพียงครึ่งหนึ่งของเราเท่านั้น หากได้ผลึกกาลกลับคืนมาทั้งหมด เมื่อถึงเวลานั้น เราจะกลับมาเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้า...พระเสาร์”

          รอยยิ้มร้ายๆ คือคำตอบจากผู้ที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ชำระแค้น แม้จะแค่บางเบาก็ยังดี พลันท้องฟ้าที่เพิ่งสดใสก็กลับไปสู่ความหม่นหมัวที่ตามมาด้วยฝนกระหน่ำผสานเสียงฟ้าผ่าราวกับเกิดสงครามกลางนภาแห่งนั้น พระยมผิดคาดไม่คิดว่าพลังที่เหลือเพียงครึ่งจะทำให้เขาถึงกับซวนเซ ทว่าในวินาทีที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ แสงหนึ่งก็วาบเข้ามาระหว่างเทพและเทพกึ่งมนุษย์ พระเสาร์มองอย่างโกรธเกี้ยว ในขณะที่พระยมยิ้มโล่งอกก่อนที่แสงนั้นจะพาเขากลับยมโลกในพริบตา

          “แม้ความยุติธรรมน้อยนิด ท่านก็ยังไม่เคยมอบให้” พระเสาร์เอ่ยกับเจ้าของแสงนั้นที่คงได้ยินทุกคำ

          แสงสว่างนั้นที่ใครเห็นคงคิดว่าฟ้าได้ผ่าลงที่ตึก Saturn ซึ่งมีสายล่อฟ้าอยู่ก่อนจะวาบหายไป แต่แล้วเพียงแค่นาทีต่อมาท้องฟ้าที่วิปริตแปรปรวนได้กลับสู่ยามค่ำที่ไร้ฝนและฟ้าคำราม อากาศกลับมาสดใสดังเดิม

 

หลายวันต่อมาหมออนุญาตให้ธามิณีกลับบ้านได้ อาการทางร่างกายของเธอไม่มีอะไรน่ากังวลแล้ว แต่อาการทางจิตใจหลังจากรู้ว่าพ่อแม่เสียชีวิตในคืนที่เกิดอุบัติเหตุทำให้เด็กสาวนิ่งเงียบไม่พูดและไม่ทานอาหารอยู่หลายวัน เมื่อได้กลับบ้าน เธอขอให้รัดเกล้าพาไปที่วัดแล้วนั่งร้องไห้อยู่ที่นั่นจนผู้เป็นป้ากลัวหลานจะป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลอีก แต่ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป แม้ธามิณีจะรู้ว่าการสูญเสียในครั้งนี้กำลังทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

รัดเกล้าขอให้ธามิณีมาอยู่ด้วยกัน แทนที่จะกลับไปอยู่บ้านของตัวเองเพียงลำพัง การที่ธีรากับมาสุตายอย่างกะทันหันทำให้บ้านราคาหลายล้านขาดส่งและสุดท้ายคงถูกธนาคารยึด รัดเกล้าคงต้องปรึกษาทนายที่ดูแลพินัยกรรมให้น้องเขยว่าต้องจัดการอย่างไร ส่วนรถอีกคันยังดีที่ผ่อนหมดแล้ว ทำให้เตชิตขับมาจอดที่บ้านเอาไว้ก่อนได้ ส่วนกุญแจรถรัดเกล้าให้ธามิณีเก็บไว้ เพียงแต่ขอว่ารอให้มีใบขับขี่ถูกต้องตามกฎหมายก่อน ถึงจะอนุญาตให้ขับรถไปไหนได้

บ้านสองชั้นกลางเก่ากลางใหม่ซึ่งซื้อมาได้ 10 ปีแล้ว โดยที่มาสุเป็นคนช่วยออกเงินดาวน์ให้พี่ของภรรยา แม้จะไม่คับแคบสำหรับครอบครัวเล็กๆ แต่เมื่อมีสมาชิกเพิ่มขึ้นก็ทำให้ต้องย้ายของออกจากห้องของกาญเกล้าไปบางส่วนเพื่อเพิ่มเตียงเดี่ยวของธามิณีเข้าไป เจ้าของห้องสีหน้าบอกชัดว่าไม่พอใจ แต่เพราะไม่อยากถูกแม่ดุ ทำให้กาญเกล้าได้แต่มองแล้วถอนใจในความเอาใจใส่ของแม่ที่มีต่อหลานในไส้

“ธามนอนห้องเดียวกับกาญแล้วกันนะ ไม่อึดอัดใช่ไหม”

ธามิณียิ้มให้กาญเกล้า เธอไม่ได้ไร้เดียงสาจนดูไม่ออกว่ากาญเกล้ามองมาด้วยสายตาอย่างไร ที่ผ่านมาแม้จะเป็นญาติกัน แต่เธอกับกาญเกล้าไม่ค่อยสนิทกันนัก ยิ่งเตวินที่ชอบแกล้งเธอแล้วล่ะก็หาความสนิทได้ยากกว่า

“ธามอยู่ได้ค่ะ”

“มาอาศัยบ้านคนอื่นก็ต้องทนให้ได้สิ” กาญเกล้าพูดแขวะเสียงเบาๆ แต่คงไม่เบาพอเพราะถูกแม่มองมาด้วยสายตาดุๆ

“ยัยกาญ...” รัดเกล้าไม่อยากดุให้เป็นเรื่องราว “อย่าไปถือสาเลยนะธาม วันนี้ก็นอนพักก่อน วันจันทร์นี้ค่อยไปเรียนหนังสือ แต่ธามคงต้องย้ายมาเรียนโรงเรียนใกล้ๆ บ้านของป้าแทนนะ”

“ธาม...”

“คืนนี้กาญไปค้างกับเพื่อนนะแม่” กาญเกล้าจงใจพูดแทรกขึ้นมา แล้วไม่รอให้แม่อนุญาต เธอก็เดินปึงปังออกไปจากห้องทันที

“ลูกคนนี้จะไปค้างบ้านคนอื่นทำไม”

รัดเกล้ารีบเดินตามลูกสาวไปพร้อมเสียงบ่น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของเตชิตที่บอกให้ตามใจกาญเกล้า กลายเป็นสองสามีภรรยาทะเลาะกันในเวลาต่อมา ส่วนกาญเกล้าก็นั่งมอเตอร์ไซค์ที่เพื่อนมารับออกไปปากซอยแล้ว

เพียงคืนแรกของการมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ธามิณีก็รู้สึกแล้วว่าเธอนำปัญหามาให้ เธออยากโทรไประบายความไม่สบายใจกับกัลยาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้น เธอต้องลองแก้ปัญหาต่างๆ นี้ด้วยตัวเองก่อน

 

นางเอกของโบว์ต้องอึด ถึก ทน ทุกคน ธามิณีก็จะเป็นรายต่อไปค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

อัมราน_บรรพตี

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.