บทที่ 1...3/3

ขอเพียงรักนี้นิรันดร

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่ 1...3/3

พลันแสงสีม่วงละมุนก็ฟาดเข้าใส่เงาสีดำน่ากลัวนั้นจนหายไปในพริบตา ทว่ามันยังไม่จบลงเมื่อยังมีเงาสีดำดาหน้าเข้ามาหาธามิณีราวกับการฟื้นของเธอนำพามาซึ่งสิ่งแปลกประหลาดที่เธออยากจะเรียกมันว่าภูติผี แต่ก็ไม่แน่ใจนัก เด็กสาวกอดตัวเองแน่น เธอพยายามบอกให้ตัวเองไม่กลัวเพราะเงาสีดำยังคงไม่ลดละ

มันเกิดอะไรขึ้น?  

เมื่อเงาสีดำใกล้เธออีกหนึ่งก้าว แสงมีม่วงจะฟาดใส่ราวกับใครสักคนทำแบบนั้น ธามิณีมองหาที่มาของแสงนั้น เขาทำมันขึ้นมาอย่างนั้นหรือ

เขาเป็นใครกัน?

เงาดำทั้งหมดถูกทำลายจนสลายหายไปทั้งหมด ทุกอย่างรอบตัวกลับสู่ความสลัวราง ชายคนนั้นก้าวมายืนข้างเตียง ธามิณีเงยหน้ามองเขาก่อนจะมองไปรอบตัว แล้วถอนใจโล่งอก พ่อเคยเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติให้เธอฟัง แต่ไม่เคยเลยที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับเธอแบบใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจ เขาคนนี้คงเป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติและไม่ใช่มนุษย์ แต่เธอยังระบุชัดไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแน่ การที่เธอเห็นเขาในคืนที่เกิดอุบัติเหตุไม่ใช่ความบังเอิญใช่ไหม

“คุณ...ช่วยพ่อกับแม่ฉันไว้หรือเปล่าคะ” ธามิณีถามเริ่มปะติดปะต่อว่าตอนนี้ที่เธออยู่คือโรงพยาบาล ถ้าอย่างนั้นพ่อกับแม่อาจจะอยู่ใกล้ๆ กระมัง เราทั้งหมดคงได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุนั้น ชายคนนี้เป็นคนช่วยไว้แล้วพามาส่งที่โรงพยาบาลใช่ไหม

“ทำไมฉันต้องช่วยพ่อแม่ของเธอด้วยล่ะ หากว่ามันเป็นชะตากรรมของมนุษย์อยู่แล้ว”

ประตูห้องเปิดออกในวินาทีนั้น พยาบาลคนเดิมเห็นธามิณีฟื้นแล้วก็ดีใจพร้อมกับโทรหาหัวหน้าพยาบาลทันที

“คนไข้ฟื้นแล้วค่ะ”

ธามิณีหันไปมองพยาบาลเพียงเสี้ยววินาที พอหันกลับมายังชายที่มีแสงสีม่วงเป็นอาวุธ แต่เขากลับหายไปแล้ว เขาหายไปได้อย่างไรกัน เด็กสาวมองไปรอบตัวก่อนจะเห็นแสงสีม่วงจางๆ จากนอกประตูห้อง เธอดึงทุกสายที่ร้อยรัดออกจากแขนทั้งสองข้าง แล้วกระโจนลงจากเตียงในวินาทีนั้น ลืมความเจ็บแปลบที่ข้อเท้าไปชั่วขณะ ก่อนจะวิ่งผ่านพยาบาลออกไปทันทีอย่างเร่งรีบ

“น้องธามิณีคะ” พยาบาลเรียกพร้อมกับวิ่งตามมา

ธามิณีวิ่งไปตามทางเดิน แต่แสงสีม่วงได้หายไปแล้ว เธอยังคงวิ่งแม้จะเริ่มเวียนหัวและเหนื่อยหอบจนไม่น่าเชื่อว่าร่างกายที่เคยแข็งแรงนี้ ทำไมช่างอ่อนแอราวกับไม่ใช่ตัวเธอ

“หายไปไหนแล้ว”

ธามิณีมองไปทั่วทางเดินที่ว่างเปล่า พยาบาลวิ่งตามมาแล้วจับแขนของเธอไว้ เด็กสาวนั่งลงยองๆ พลางหายใจหอบๆ ก่อนจะยอมลุกขึ้นแล้วเดินตามพยาบาลซึ่งเข้ามาช่วยพยุงเพื่อกลับมาที่ห้อง โดยที่พยาบาลได้ถามว่ามีเหตุผลอะไรธามิณีถึงวิ่งออกไปแบบนั้นและถามอาการของเธออีกหลายอย่าง ก่อนจะยืนเฝ้าอยู่ข้างเตียง จนกระทั่งประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง

“คุณหมอมาแล้ว เดี๋ยวพี่ไปโทรหาคุณป้าของน้องก่อนนะคะ”

ธามิณีพยักหน้าพลางบอกว่าขอบคุณและเก็บความสงสัยไว้เพราะหลังจากตอบคำถามที่เกี่ยวกับอาการของตัวเองไปมากมาย แต่ไม่มีใครตอบเธอเลยว่าพ่อกับแม่ไปไหน นอนรักษาตัวอยู่ใกล้ๆ หรือเปล่า ทำไมทุกคนเลี่ยงไม่ตอบ จนเธอกลัวที่จะถามซ้ำว่าเหตุผลของความเงียบนั้นเป็นความลับที่เธอเริ่มเห็นคำตอบด้วยตัวเองหรือเปล่า

 

ผ่านไปอย่างเงียบงัน แต่ธำรงค์รู้ว่า ‘ท่าน’ กลับมาถึงแล้ว ทว่าสีหน้าที่มักเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายหลังจากผ่าน 200 ปีแรกสู่ปีที่ 749 ของการต้องเห็นอาทิตย์ขึ้นและตก เกิดและตาย จนไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อการสูญเสียอีกแล้ว ทว่าวันนี้ในความเรียบเฉยนั้นกลับแฝงความแปลกใจระคนไม่พอใจ แต่จากใครและเพราะอะไร

โชคดีเหลือเกินที่เขาเห็นพระราหูมาถึงแล้ว เทพที่มาเยือนโลกมนุษย์เป็นครั้งคราว การทำตัวให้เหมือนมนุษย์ด้วยการขับรถมาจอดหน้าบ้านสองชั้นที่เป็นตึกเก่า ซึ่งนำมารีโนเวทเสียใหม่ หลังจากท่านคิดว่าจะมาอยู่ที่นี่สัก 10 ปีก่อนจะเดินทางไปพักประเทศอื่น การมีชีวิตที่ไม่รู้ว่าจะดับขันธ์เมื่อไหร่ ทำให้การคงเดิมกลายเป็นเรื่องที่น่าสงสัยและอาจเป็นอันตราย หากไม่ย้ายที่อยู่เมื่อถึงเวลา

“เหตุใดถึงทำสีหน้าเช่นนั้นเล่าศนิ ธำรงค์บอกว่าเด็กคนนั้นฟื้นแล้วไม่ใช่หรือ ก็น่าจะเป็นข่าวดี” พระราหูเอ่ย เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ การที่จู่ๆ มีมนุษย์คนหนึ่งเข้ามาในวังวนของเหล่าเทพที่ถูกลงโทษเป็นเรื่องน่าสนใจเสมอ

“ใช่ ฟื้นแล้ว แต่พลังของเรากลับไม่ได้ผลดังเดิม เด็กนั่นจำเราได้ ทั้งๆ ที่ถูกเราลบความทรงจำไปแล้ว ช่างน่าประหลาดนัก”

สิ่งนี้เองที่ทำให้ศนิขบคิดมาตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาล เขาลบความทรงจำที่ธามิณีมีต่อเขาถึง 2 ครั้ง แต่ว่ามนุษย์ผู้นั้นกลับจำเขาได้ดังเดิม จนกระทั่งวิ่งตามมา

“ถ้าอย่างนั้นก็น่าแปลก ท่านลองกับคนอื่นดูแล้วหรือยังล่ะ”

“ลองแล้ว มันได้ผลดีเช่นเดิม” แต่ทำไมถึงไม่ได้ผลกับธามิณี “บางทีอาจเป็นเพราะ...”

“เพราะอะไร”

ผลึกกาลอีกครึ่งของเขาเอง แม้ศนิไม่มีสิทธิ์ได้มันคืนมาในตอนนี้ แต่ว่าเขามีผลึกกาลอีกครึ่งในตัวเช่นกัน ซึ่งมีพลังมากพอที่จะควบคุมผลึกกาลในตัวของธามิณีไม่ให้สำแดงพลังอันเหลือล้นออกมา ไม่เช่นนั้นธามิณีคงตายในคืนที่มาสุจากไปแล้ว แสดงว่าอายุขัยของธามิณีไม่ได้จบลงในวันนั้น เขาไม่ได้ทำให้อายุขัยของเธอเปลี่ยน สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว

การที่ธามิณีหลับมายาวนานถึง 31 วันก็เพราะร่างกายกับผลึกกาลกำลังผนึกเป็นส่วนเดียวกัน นับว่าธามิณีพยายามเพื่อที่จะมีชีวิตรอด ร่างกายของเธอยอมให้ผลึกกาลผนึกอยู่ที่หัวใจดวงนั้น หากเธอพยายามมากพอที่จะมีชีวิต เขาจะไปขัดขวางอะไรได้

“เอาไว้แน่ใจจนสิ้นสงสัย เราจะตอบ” แม้ศนิจะคิดว่าคำตอบของเขาไม่พลาด แต่ตลอดเวลา 749 ปี ธามิณีเป็นมนุษย์คนแรกที่ผลึกกาลเลือก ทั้งๆ ที่มันถูกเก็บไว้กับพระสูรยะ ผลึกกาลทำแบบนี้เองหรือว่าพระสูรยะเป็นผู้กระทำกันแน่ เขาคงต้องใช้เวลาหาคำตอบให้นานกว่านี้ “แล้วท่านมาทำไมหรือราหู ยังไม่ใช่ช่วงเวลาว่างของท่านไม่ใช่หรือ” ท้องฟ้าที่มืดในคืนจันทร์อับแสง นั่นล่ะงานของพระราหู

“ท่านลืมไปแล้วว่าใกล้ถึงวัน...”

นี่เองสินะเหตุผลที่เพื่อนที่เขามีน้อยจนน่าใจหายอุตส่าห์สละเวลาลงมาโลกมนุษย์

“เราไม่มีวันลืมได้หรอก ต่อให้ต้องติดอยู่ในโลกมนุษย์ถึงพันปีก็ไม่มีวันลืม”

ดวงตาที่เคยนิ่งดั่งคืนเดือนดับกลับมาส่องแสงสีม่วง แม้จะวูบเดียว แต่พระราหูรู้ดีว่าเวลาที่อยู่ในโลกมนุษย์มาหลายร้อยปียังไม่อาจดับความแค้นของศนิได้ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะชำระแค้นนั้น

 

ธามิณีนั่งอยู่ในห้องคนป่วยเพียงลำพังเพราะหมอกับรัดเกล้าออกไปยืนคุยกันอยู่ข้างนอก เธอประสานมือกันด้วยความรู้สึกกลัว การที่ฟื้นขึ้นมาแล้วไม่เห็นพ่อกับแม่ ทำให้เธอเกิดคำถามที่ไม่กล้าตอบตัวเอง พอหยิบโทรศัพท์ที่เพิ่งเปิดเครื่องของตัวเองแล้วโทรหาพ่อกับแม่ การที่ไม่มีสัญญาณตอนรับยิ่งทำให้ความกลัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ธามิณีรออย่างใจจดใจจ่อจนกระทั่งประตูเปิดออก แล้วรัดเกล้าเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก เธอมองออกว่ารัดเกล้าพยายามฝืนยิ้ม แต่ดวงตาคู่นั้นเศร้ามาก เธอเองก็เศร้าเช่นกันเพราะความกลัว

“พ่อกับแม่ล่ะคะป้ารัด ธามโทรหาแล้วกลับไม่มีสัญญาณ” ธามิณีถามในขณะที่หัวใจเต้นระรัวแรงจนเจ็บ 

รัดเกล้าเม้มปากพลางถอนใจ นางรู้ดีว่าให้อย่างไรหลานก็ต้องถามถึงธีรากับมาสุ แต่นางจะตอบได้อย่างไรว่าตอนนี้ทั้งสองคนตายแล้ว

“ธามจำได้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง จนทำให้ธามสลบไม่ฟื้นมาเป็นเดือน”

ธามิณีพยักหน้าเพราะพยาบาลบอกเธอแล้ว เหตุผลที่เธอแทบไม่มีแรงตอนที่ลงจากเตียงแล้ววิ่งตามชายคนนั้นก็เพราะร่างกายอยู่ในสภาพหลับใหลมานานนั่นเอง

“ค่ะ ธามจำได้ ตอบคำถามของธามมาเสียทีได้ไหม พ่อกับแม่ไปไหนคะป้ารัด”

รัดเกล้าลำบากใจที่จะบอกความจริงกับหลาน หมอเพิ่งบอกนางว่าอย่าเพิ่งให้ธามิณีกระทบกระเทือนใจ การอยู่ในสภาพไม่ฟื้นมา 31 วัน อาจมีอาการข้างเคียงที่คาดไม่ถึงได้

“อย่าเงียบสิคะป้ารัด ช่วยบอกธามมาเสียทีเถอะ”

ธามิณีไม่ได้อยากร้องไห้เพราะมันจะกลายเป็นลางร้าย พ่อกับแม่อาจจะกำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหรือกำลังเดินทางมาหาเธออยู่ใช่ไหม

ใช่...มันต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ

“ธามนอนพักก่อนเถอะนะ ถ้ามาสุกับธีรารู้ว่าธามเครียดคงไม่สบายใจหรอก” รัดเกล้าบอกพลางกดไหล่ของหลานให้นอนลง

ธามิณีฝืนตัวเองไม่ยอมนอนลง เธอไม่มีทางหลับตาลงได้ถ้ายังไม่ได้เห็นว่าพ่อกับแม่ปลอดภัยดี หากไม่ได้คำตอบจากรัดเกล้า เธอจะหาคำตอบด้วยตัวเอง

โดยที่ไม่ทันได้ยั้งคิดต่อสิ่งใดธามิณีก็กระโจนลงจากเตียงลืมไปสนิทว่าว่าพยาบาลได้เสียบสายน้ำเกลือกลับมาแล้ว ทำให้เธอเจ็บแปลบที่หลังมือในทันทีที่ลงมาจากเตียง แต่มันไม่สำคัญอีกแล้ว เธออยากรู้ความจริงมากกว่า เด็กสาวตั้งหลักได้ก็วิ่งออกไปจากห้องทันที

“ธาม....ธามอย่าไป!”

เสียงตะโกนของรัดเกล้าทำให้พยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ วิ่งมาทันที ธามิณีวิ่งมาได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกว่าแน่นที่หน้าอกพร้อมๆ ลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ เธอล้มลงในก้าวต่อมา เด็กสาวกุมหน้าอกที่เจ็บไว้ยังคงพยายามฝืนลุกขึ้นมา แม้จะถูกพยาบาลจับให้นอนลงนิ่งๆ น้ำตาของธามิณีไหลรินเมื่อรู้คำตอบด้วยตัวเองแล้วว่าพ่อกับแม่ไม่มีทางมาหาเธอได้อีก

การไม่มีคำตอบจากรัดเกล้านั่นล่ะ...คือคำตอบ 

“ฝัน...ต้องฝันอยู่แน่ๆ” ธามิณีพึมพำ

สิ่งที่เธอเห็นในคืนนั้นมันต้องเป็นเพียงความฝัน เธอแค่ฝันร้ายเกินไป หากเธอตื่นขึ้นมา พ่อกับแม่จะยังรออยู่ในรถเพื่อพาเธอกลับบ้านหลังจากเลิกเรียนใช่ไหม ธามิณียกมือขึ้นมาทุบตัวเอง เลือดที่หลังมือหยดลงบนเสื้อสีขาวหยดแล้วหยดเล่า หากทำแบบนี้เธอจะตื่น แล้วฝันร้ายจะหายไปใช่ไหม

ได้! ถ้าอย่างนั้นเธอต้องทำให้ตัวเองเจ็บจนตื่น

ฝันร้ายจงหายไป...หายไปเสียที

“ธามอย่าทำแบบนี้ อย่าทำร้ายตัวเองสิลูก” รัดเกล้าจับมือที่กำลังทุบตัวเองของธามิณีไว้ ร้องไห้ปานจะขาดใจไปด้วยอีกคน

หมอเข้ามาวัดชีพจรแล้วสั่งเร็วๆ ให้บุรุษพยาบาลอุ้มธามิณีกลับไปที่ห้อง ตอนนี้เธอกำลังช็อคแล้ว ธามิณีเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองราวกับทุกอย่างช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหยุดนิ่งเมื่อร่างของเธอถูกอุ้มมาไว้บนเตียง หมอและพยาบาลมารายล้อมแล้วทำอะไรมากมาย เธอได้ยินเสียงสะอื้นไห้จากรัดเกล้า

ธามิณีสูดหายใจแรงเมื่อรู้สึกว่าอากาศกำลังน้อยลงๆ เต็มที มีเสียงนับเลขพร้อมๆ กับแรงกดที่อกของเธอ เธอกำลังจะตายใช่ไหมนะ เด็กสาวมองไปที่ปลายเตียงเมื่อรู้สึกว่าเห็นแสงสีม่วง เธอกะพริบตาเมื่อไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดได้เพราะถูกใส่หน้ากากออกซิเจนไว้

“คุณ...มารับธามไปหาพ่อกับแม่ใช่ไหม” ธามิณีขยับริมฝีปากถามชายคนนั้น แต่แทบไม่มีเสียงออกมาเลย เขาคงไม่ได้ยินกระมัง

ศนิได้ยินคำถามนั้น ทว่าใบหน้าของเขากลับเรียบเฉย หากธามิณีตายย่อมเป็นไปตามชะตากรรมของเธอผู้นั้น เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกดึงให้มารับรู้วาระสุดท้ายของธามิณี เพราะอะไร ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ผลึกกาลเมื่ออยู่ในร่างของมนุษย์ทำให้เกิดอะไรได้บ้าง สิ่งนี้ต่างหากที่เขาสนใจหาคำตอบ ไม่ใช่การตอบคำถามของมนุษย์ผู้นั้น

 

        อ่านมาถึงตรงนี้คงรู้สึกว่าพระเอกคนนี้ทำไมเย็นชาจัง รออ่านต่อนะคะว่าศนิจะอ่อนโยนกับมนุษย์คนแรกที่ผลึกกาลเลือกเมื่อไหร่ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

        อัมราน_บรรพตี

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.