บทที่ 39: ก้าวแรกร่วมกัน

-A A +A

บทที่ 39: ก้าวแรกร่วมกัน

รุ่งเช้ามาถึงพร้อมกับความเงียบและกลิ่นของเถ้าถ่าน
แสงแดดอ่อนๆ ส่องลอดผ่านปากถ้ำที่พังทลายเข้ามา เผยให้เห็นภาพความเสียหายทั้งหมดอย่างชัดเจน ป่าเรืองแสงที่เคยเติบโตขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ บัดนี้เหลือเพียงซากลำต้นและเถาวัลย์สีดำที่แห้งกรอบ กองอยู่บนพื้นถ้ำราวกับโครงกระดูกของอสูรกายที่ถูกเผาไหม้ ควันจางๆ ยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นดินชื้นและกลิ่นโลหะที่ไหม้เกรียม
ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนต่างตื่นขึ้นมาสู่ความจริงที่โหดร้ายของวันใหม่
ครามนั่งอยู่เงียบๆ ข้างร่างของทอร์ นักรบของเขาที่เสียชีวิตจากการต่อสู้ เขาไม่ได้สวดมนต์อีกต่อไป แต่กำลังใช้มีดสั้นค่อยๆ สลักสัญลักษณ์โบราณลงบนแผ่นไม้เล็กๆ ด้วยความตั้งใจ นักรบอีกคนที่รอดชีวิตก็กำลังใช้ผ้าที่ทอจากเส้นใยพืชค่อยๆ พันรอบร่างของสหายที่จากไปอย่างเงียบงัน มันคือพิธีกรรมที่เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความเคารพอย่างสูงสุด
เร็กซ์นั่งพิงผนังถ้ำอยู่ไม่ไกล เขาไม่ได้มองครามด้วยสายตาหวาดระแวงอีกต่อไป แต่กลับมองด้วยสายตาของทหารที่กำลังเฝ้าดูพิธีส่งเกียรติให้เพื่อนร่วมรบ เขานับถือความนิ่งและความเด็ดเดี่ยวของชายคนนั้น
ส่วนโอไรออน เขานั่งขัดสมาธิอยู่กลางถ้ำ ดวงตาของเขาปิดสนิท แต่ศีรษะกลับเอียงไปมาเล็กน้อยราวกับกำลังฟังเสียงดนตรีที่มองไม่เห็น ไลรานั่งอยู่ข้างๆ เขาเงียบๆ คอยวางมือบนบ่าเป็นครั้งคราวเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มมีอาการไม่ดี
"คุณได้ยินอะไรเหรอ?" ลีน่าเดินเข้าไปถามเบาๆ
โอไรออนค่อยๆ ลืมตาขึ้น "เสียง... ครับ" เขาตอบ "เสียงจริงๆ... เสียงลมที่พัดอยู่ข้างนอก... เสียงน้ำหยด... เสียงนกที่อยู่ไกลๆ... ผมไม่เคยได้ยินมันชัดขนาดนี้มาก่อนเลย... มันไม่มี 'เสียงกระซิบ' มาปนแล้ว"
เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่เขาได้ "ฟัง" โลก... โดยไม่มีเสียงรบกวนทางจิตวิญญาณ มันคือข้อมูลชุดใหม่ที่ทั้งงดงามและท่วมท้นในเวลาเดียวกัน
ลีน่ามองภาพตรงหน้า... ทีมของเธอที่รอดชีวิต... และพันธมิตรใหม่ที่เพิ่งผ่านนรกมาด้วยกัน... เธอรู้ดีว่าพันธสัญญาที่ครามให้ไว้เมื่อคืนคือสิ่งเดียวที่จะนำพวกเขาไปข้างหน้าได้

เกือบเก้าโมงเช้า...
หลังจากที่ขบวนเดินทางออกจากถ้ำที่กลายเป็นสุสานชั่วคราวได้ไม่นานนัก พวกเขาก็ต้องเจอกับอุปสรรคแรกที่ตอกย้ำให้เห็นถึงความแตกต่างของสองโลกอย่างชัดเจน มันคือลำธารสายเล็กๆ ที่กว้างไม่เกินห้าเมตร แต่น้ำที่ไหลเชี่ยวและเต็มไปด้วยโคลนก็ทำให้มันกลายเป็นปราการที่น่ารำคาญใจ
"โอเค ทุกคนหยุดก่อน" เร็กซ์พูดขึ้นในฐานะทหารผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธวิธี เขาวางกระเป๋าเป้ลงและเริ่มค้นหาอุปกรณ์ "ผมมีเครื่องยิงสลิงพร้อมสมอแม่เหล็ก เราน่าจะยิงข้ามไปยึดกับต้นไม้ฝั่งโน้นแล้วทำเป็นสะพานเชือกได้"
"หรือเราจะใช้หลักการคานดีด" เอลาราพูดเสริมผ่านระบบสื่อสารที่ลีน่าเปิดทิ้งไว้ [ถ้าเราหาท่อนซุงที่ยาวพอ...]
ครามที่ยืนฟังลินดาแปลให้ฟังอย่างอดทน ส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่เดินตรงไปยังต้นไม้ที่ตายแล้วต้นหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล เขาใช้ไหล่กระแทกมันสองสามครั้ง โครม! ต้นไม้นั้นก็ล้มลงมาพาดข้ามลำธารได้อย่างพอดีเป๊ะ กลายเป็นสะพานธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ เขาย่ำเท้าทดสอบความแข็งแรงสองสามครั้ง ก่อนจะหันมามองกลุ่มคนจากดุษฎีนครด้วยสายตาที่เหมือนจะพูดว่า "เสร็จแล้ว จะไปกันได้หรือยัง?"
เร็กซ์ค่อยๆ เก็บเครื่องยิงสลิงของเขากลับเข้ากระเป๋าอย่างเงียบๆ
"ท่านพ่อบอกว่า... ถ้าคิดมากเกินไปจะตกน้ำนะ" ลินดาพูดกลั้วหัวเราะ
การข้ามสะพานซุงที่ลื่นและโคลงเคลงกลายเป็นเรื่องทุลักทุเลที่น่าขันสำหรับเหล่านักวิทยาศาสตร์ เอลาราเกือบจะทำแท็บเล็ตของเธอหล่นลงน้ำเพราะมัวแต่พยายามจะสแกนโครงสร้างของท่อนซุง ในขณะที่ลีน่าต้องคอยดึงแขนเธอไว้
แต่คนที่อาการหนักที่สุดคือโอไรออน เสียงน้ำที่ไหลซัดสาดอยู่ข้างใต้ทำให้ "ภูมิทัศน์เสียง" ในหัวของเขาวุ่นวายไปหมด "ผม... ผมหาจุดสมดุลของเสียงไม่ได้เลย" เขากล่าวขณะที่พยายามจะเดินข้ามโดยหลับตา
"งั้นก็ใช้สัมผัสแทนสิ!" ลินดาตะโกนให้กำลังใจ "ใช้เท้าของท่าน 'รู้สึก' ถึงเปลือกไม้!"
ทันใดนั้น โอไรออนก็เสียหลัก! แต่ก่อนที่เขาจะร่วงลงไป เร็กซ์ที่ข้ามไปรออยู่อีกฝั่งก็คว้าแขนเขาไว้ได้ทันเวลาพอดี
"ระวังหน่อยเจ้าหนูหูทิพย์" เร็กซ์พูดเสียงห้วน แต่แววตากลับไม่มีการตำหนิ "อย่างน้อยก็ใช้ตาที่มองไม่เห็นของแกให้เป็นประโยชน์หน่อยสิ"
คำพูดติดตลกที่หยาบกระด้างของเร็กซ์ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา มันคือมุกตลกมุกแรกที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง และมันก็ได้ทลายกำแพงน้ำแข็งที่เหลืออยู่จนหมดสิ้น
การเดินทางช่วงสายเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและหยอกล้อที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ลินดากลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจ เธอชี้ให้ดูเห็ดเรืองแสงชนิดหนึ่ง
"เราเรียกมันว่า 'ตะเกียงผี'" เธอบอก
[ศิลา: ตะเกียงผี! เป็นไปได้สูงว่ามันมีคุณสมบัติ Bioluminescence จากเอนไซม์ Luciferase! ลินดา! เธอพอจะบอกได้ไหมว่ามันสืบพันธุ์ด้วยสปอร์หรือไมซีเลียม!]
"มันก็แค่สว่างเวลามืดๆ นั่นแหละน่า" ลินดาตอบกลับไปพลางยักไหล่ ทำเอาศิลาที่อยู่อีกฟากของการสื่อสารถึงกับไปไม่เป็น
พวกเขาเดินผ่านฝูงแมลงปีกสีรุ้งที่บินวนอยู่เป็นกลุ่มก้อน เอลาราพยายามจะใช้โดรนจิ๋วบินเข้าไปเก็บตัวอย่าง แต่ครามกลับยกหอกขึ้นมาขวางไว้
"อย่า" เขาพูดสั้นๆ
"ทำไมล่ะครับ? มันอาจจะเป็นสปีชีส์ใหม่ก็ได้นะ!" ศิลาถามอย่างร้อนรนผ่านลำโพง
ครามชี้นิ้วไปยังซากโครงกระดูกของกวางขนาดใหญ่ที่นอนตายอยู่ใต้ต้นไม้... บนตัวของมันเต็มไปด้วยแมลงปีกสีรุ้งฝูงนั้น
"เพราะมันกินเนื้อ" ครามตอบเรียบๆ
ทีมจากดุษฎีนครหน้าซีดไปตามๆ กัน

เมื่อตะวันเริ่มลอยสูงขึ้น ความหิวก็เริ่มส่งเสียงทักทายทีมจากดุษฎีนครเป็นครั้งแรก
เร็กซ์หยุดเดินและหยิบแท่งโปรตีนสังเคราะห์สีเทาออกมาจากกระเป๋าอย่างเคยชิน เขากำลังจะแกะมันเข้าปาก แต่ลินดากลับส่งเสียง "ยี้" ออกมาเบาๆ
"ท่านจะกิน 'หิน' ก้อนนั้นจริงๆ เหรอ" เธอถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
"มันไม่ใช่หิน" เร็กซ์เถียง "มันคือสารอาหารที่คำนวณมาอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับ..."
เขาพูดไม่ทันจบ ลินดาก็วิ่งหายลับไปในพุ่มไม้อย่างรวดเร็วราวกับกระรอก ไม่ถึงนาทีต่อมา เธอก็กลับมาพร้อมกับผลไม้ป่าสีม่วงสดลูกเท่ากำปั้นในมือสองข้าง "เอ้านี่... 'หัวใจของป่า' ลองชิมดูสิ"
[ศิลา: อย่าเพิ่งกินนะครับ!] เสียงของศิลาตะโกนแทรกเข้ามาในระบบสื่อสารจนทุกคนสะดุ้ง [เรายังไม่รู้เลยว่ามันมีสารพิษอะไรบ้าง! ผมต้องการตัวอย่างมาวิเคราะห์ก่อน!]
ครามที่ยืนดูอยู่ส่ายหน้าช้าๆ เขาเดินไปหยิบผลไม้จากมือลูกสาวมากินหน้าตาเฉย เคี้ยวเสียงดังกร้วมๆ อย่างเอร็ดอร่อย เป็นการรับรองคุณภาพที่ดีที่สุด
เร็กซ์มองแท่งโปรตีนในมือ... แล้วมองผลไม้ที่ดูน่าอร่อยกว่าเป็นร้อยเท่าในมือของลินดา เขากัดฟันแล้วตัดสินใจลองดู
"อื้อ!" เขาอุทานออกมาเบาๆ ทันทีที่กัดเข้าไป รสหวานอมเปรี้ยวที่ซับซ้อนและสดชื่นระเบิดออกมาในปาก มันคือ "ข้อมูล" รสชาติที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต เขาพยายามจะเก็บอาการ แต่รอยยิ้มที่มุมปากก็ฟ้องทุกอย่าง
"เห็นไหมล่ะ" ลินดายิ้มกว้าง "อร่อยกว่าหินเยอะเลย"
การเดินทางดำเนินต่อไปพร้อมกับการเรียนรู้ที่น่าปวดหัว (สำหรับฝ่ายวิทยาศาสตร์) และน่าขบขัน (สำหรับฝ่ายพรานป่า) ลีน่าพยายามจะใช้เข็มทิศควอนตัมนำทาง แต่ครามกลับใช้การมองดูทิศทางที่มดเดินแถวเพื่อหาทิศเหนือที่แม่นยำกว่า
"แต่ข้อมูลของผมบอกว่าทิศเหนืออยู่ทางนั้น!" เอลาราเถียงผ่านลำโพง
"มดมันไม่เคยโกหกหรอกน่า" ลินดาแปลคำพูดของพ่อเธอ
และที่น่าทึ่งคือ... ครามเป็นฝ่ายถูกเสมอ
โอไรออนที่เริ่มจะชินกับเสียงของป่า ก็เริ่มสนุกกับการ "แปล" เสียงต่างๆ เขาพยายามจะวิเคราะห์เสียงร้องของนกชนิดหนึ่งด้วยหลักการสวนศาสตร์ "จากโครงสร้างของคลื่นเสียง มันน่าจะเป็นการประกาศอาณาเขต..."
"เปล่าเลย" ลินดาขัดขึ้น "มันกำลังบ่นว่าวันนี้อากาศร้อนต่างหากล่ะ"
คำตอบของเธอทำให้ไลราหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังเป็นครั้งแรก มันคือเสียงหัวเราะที่ใสกระจ่างและจริงใจ... เป็นเสียงที่สวยงามที่สุดที่โอไรออนเคยได้ยิน
เสียงหัวเราะของน้องสาวฝาแฝดทำให้โอไรออนชะงักไป เขามักจะได้ยินเธอแค่หัวเราะเบาๆ ในลำคอ แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป มันคือ "เสียง" ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างแท้จริง เขารู้สึกถึงความร้อนผ่าวขึ้นมาบนใบหน้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ
"เห็นไหมล่ะ" เร็กซ์พูดขึ้น เขายิ้มที่มุมปาก "ไม่เห็นต้องใช้สมการวิเคราะห์ทุกเรื่องก็ได้ บางทีแค่ฟังเฉยๆ ก็พอ"
"ผม... ผมแค่กำลังรวบรวมข้อมูล" โอไรออนเถียงกลับเสียงอ่อย แต่ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
การเดินทางช่วงสายดำเนินต่อไปพร้อมกับความวุ่นวายที่น่าเอ็นดู ลีน่าต้องคอยเป็นตัวกลางระหว่างทีมของเธอบนรถแรคคูนที่กระหายข้อมูล กับเหล่าพรานที่ใช้สัญชาตญาณนำทาง
"ลินดา! ข้างหน้ามีเห็ดสีฟ้าๆ นั่น! มันคืออะไร!" ศิลาตะโกนถามผ่านระบบสื่อสารอย่างตื่นเต้น
ลินดามองตามที่ลีน่าชี้ "อ๋อ... 'น้ำตาของฟ้า' น่ะ"
[ศิลา: น้ำตาของฟ้า! ชื่อยอดเยี่ยมมาก! มันมีพิษไหม? สปอร์ของมันเป็นแบบไหน? มันสังเคราะห์แสงหรือใช้พลังงานเคมี?]
ก่อนที่ลินดาจะได้ตอบ ครามที่เดินนำอยู่ก็ใช้ด้ามหอกเขี่ยเห็ดกอนั้นเบาๆ ทันใดนั้นเห็ดก็พ่นสปอร์สีฟ้าฟุ้งออกมาเป็นกลุ่มควันเล็กๆ
"มีพิษ" ครามตอบสั้นๆ ผ่านลินดา "ถ้าหายใจเข้าไปจะทำให้เห็นภาพหลอน... ภาพของคนที่เจ้าคิดถึงที่สุด"
คำตอบนั้นทำให้ทุกคนเงียบไปชั่วขณะ โอไรออนเผลอนึกถึงพ่อแม่ที่เขาไม่เคยรู้จัก ในขณะที่ลีน่าก็นึกถึงใบหน้าของเควิน...
"เอ่อ... งั้นเราเดินอ้อมไปดีกว่านะ" เร็กซ์พูดขึ้น ทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด
พวกเขาเจออุปสรรคอีกมากมาย ทั้งเถาวัลย์ที่เคลื่อนไหวได้เองเมื่อมีเสียงดัง (ซึ่งทำให้โอไรออนเกือบจะกรี๊ดออกมาหลายรอบ) และบ่อโคลนที่ดูเหมือนจะตื้นแต่กลับดูดรองเท้าของเร็กซ์หายลงไปทั้งข้าง จนเขาต้องเดินเท้าเปล่าลุยป่าไปข้างหนึ่ง สร้างความขบขันให้เหล่าพรานเป็นอย่างมาก
"ท่านทหารเหล็ก... ตอนนี้กลายเป็นทหารดินไปแล้วนะ" ลินดาแซวไม่หยุด
การเดินทางครั้งนี้ได้เปลี่ยนทีมอัจฉริยะจากดุษฎีนครให้กลายเป็นกลุ่มตลกที่เปรอะเปื้อนโคลนไปโดยปริยาย แต่มันก็คือการเดินทางที่ทำให้พวกเขาได้ "เป็นมนุษย์" มากที่สุดในชีวิต
เวลาเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า... แสงแดดที่ส่องผ่านเรือนยอดไม้เริ่มแรงขึ้น บ่งบอกว่าใกล้จะถึงเวลาเที่ยงวันเต็มที ความเหนื่อยล้าเริ่มกลับมาเยือนทีมจากดุษฎีนครอีกครั้ง แต่ความตื่นเต้นจากการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ก็ยังคงทำให้พวกเขาก้าวต่อไปได้
"ผมสงสัยมานานแล้ว" เร็กซ์ถามขึ้น ทำลายความเงียบ "พวกคุณสื่อสารกันด้วยสัญญาณมือรึ? ผมเห็นท่านครามทำสัญญาณแปลกๆ ตลอดทาง"
ลินดาหัวเราะ "ไม่ใช่หรอก นั่นคือ 'ภาษาต้นไม้' ต่างหาก ท่านพ่อกำลังอ่านสัญลักษณ์ที่ต้นไม้ทิ้งไว้ให้... รอยแตกบนเปลือกไม้... ทิศทางที่เถาวัลย์เลื้อย... มันบอกได้ว่าทางข้างหน้าปลอดภัยหรือไม่"
[เอลารา: ภาษาต้นไม้! เป็นไปไม่ได้! พืชไม่มีระบบประสาทที่จะสร้างภาษาสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนได้! มันเป็นแค่การเจริญเติบโตตามปัจจัยแวดล้อมเท่านั้น!] เสียงของเอลาราดังขัดขึ้นมาในระบบสื่อสารอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"งั้น 'ปัจจัยแวดล้อม' ก็คงจะกำลังบอกว่า... ข้างหน้ามีรังของ 'อสรพิษมีปีก' อยู่ล่ะมั้ง" ลินดาพูดพลางชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีโพรงขนาดใหญ่... ซึ่งมีงูตัวเท่าแขนที่มีปีกเหมือนค้างคาวเกาะอยู่เต็มไปหมด
ทีมจากดุษฎีนครรีบเดินอ้อมไปอีกทางโดยไม่พูดอะไรอีกเลย
การเดินทางของพวกเขามาหยุดอยู่ที่หน้าผาเล็กๆ ที่ไม่สูงชันนัก แต่ก็ยากที่จะปีนลงไปได้
"โอเค แผน B" เร็กซ์กล่าวอย่างมั่นใจ เขาวางกระเป๋าลงและเริ่มประกอบอุปกรณ์บางอย่าง "เครื่องร่อนโรยตัวส่วนบุคคล ผมดัดแปลงมันมาจากโดรนสำรวจ เราจะลงไปได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว"
ครามมองอุปกรณ์ไฮเทคที่ดูซับซ้อนนั่น... แล้วเขาก็หันไปเด็ดเถาวัลย์เส้นใหญ่ที่เหนียวและแข็งแรงที่สุดเส้นหนึ่ง... ผูกมันเข้ากับรากไม้ใหญ่... แล้วโรยตัวลงไปตามหน้าผาอย่างคล่องแคล่วราวกับเดินบนพื้นราบ... เขาลงไปถึงพื้นด้านล่างแล้วหันกลับมามองพวกที่ยังอยู่ข้างบน... ก่อนจะใช้เถาวัลย์เส้นเดิมปีนกลับขึ้นมาใหม่ในเวลาไม่ถึงสามนาที
"ท่านพ่อบอกว่า... วิธีของท่านอาจจะเร็วกว่า" ลินดาแปลให้ฟัง
เร็กซ์มองเครื่องร่อนในมือที่ยังประกอบไม่เสร็จ... แล้วก็ถอนหายใจยาว
เขาเก็บมันกลับเข้ากระเป๋าอย่างหัวเสีย ความพ่ายแพ้ทางเทคโนโลยีครั้งนี้มันน่าเจ็บใจยิ่งกว่าการโดนเสือร้ายฟาดเสียอีก
"เอาล่ะ" ครามพูดผ่านลินดา "ถ้าพวกเจ้ามัวแต่เล่นของเล่นกันอยู่แบบนี้ เราคงจะไปไม่ถึงไหนกันพอดี" เขาชี้ไปที่เถาวัลย์เส้นใหญ่ที่เขายังคงจับไว้ "มา... ข้าจะสอนวิธีที่ 'คนเดินดิน' เขาใช้กัน"
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นคือภาพที่น่าขันที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของดุษฎีนคร... การฝึกโรยตัวฉบับเร่งรัด!
ครามกับนักรบของเขาพยายามจะสอนวิธีใช้เถาวัลย์ให้กับทีมจากต่างโลก และมันก็คือหายนะที่สมบูรณ์แบบ
คนแรก: เร็กซ์
ในฐานะทหาร เขาคิดว่ามันคงจะเหมือนการโรยตัวด้วยเชือกสังเคราะห์... เขาคิดผิด
"ท่านต้องใช้แรงจากแกนกลางลำตัว! ไม่ใช่ใช้แต่แรงแขน!" ลินดาตะโกนบอกจากข้างล่าง
แต่เร็กซ์กลับใช้กำลังทั้งหมดที่มีโหนเถาวัลย์จนตัวเกร็งเหมือนท่อนไม้ ผลก็คือ... เขาหมุนคว้างอยู่กลางอากาศเหมือนลูกข่าง!
"โว้ยยย! ใครก็ได้หยุดไอ้เถาวัลย์บ้าๆ นี่ที!" เขาตะโกนลั่น
คนที่สอง: ลีน่า
เธอพยายามจะใช้หลักการฟิสิกส์เข้าช่วย "ถ้าฉันคำนวณมุมและแรงเหวี่ยงที่ถูกต้อง..."
เธอโรยตัวลงไปได้ครึ่งทางอย่างสวยงาม... ก่อนที่เท้าของเธอจะไปเหยียบโดนมอสที่ลื่นปื้ด!
"ว้าย!"
ลีน่าไถลพรืดลงมาตามเถาวัลย์จนถึงพื้นด้านล่างในสภาพก้นจ้ำเบ้าและเสื้อผ้าเปรอะโคลนไปหมด
คนที่สาม: ไลรา
นี่คือจุดที่ทุกอย่างตึงเครียดขึ้น... ไลราเดินไปที่ขอบหน้าผาอย่างช้าๆ ใบหน้าของเธอซีดเผือด เธอคือผู้ที่ "รู้สึก" ถึงทุกสิ่ง แต่ตอนนี้... เบื้องล่างคือความว่างเปล่าที่เธอสัมผัสไม่ได้
"ฉัน... ฉันทำไม่ได้" เธอกระซิบ เสียงสั่น
"ทำได้สิ!" ลินดาให้กำลังใจ "วางเท้าซ้ายไปตรงนั้น... ไม่ใช่! ซ้ายอีกข้าง!"
"ผมได้ยินเสียงหินที่มั่นคงอยู่ต่ำกว่าเท้าขวาของคุณ 1.7 เมตรครับ!" โอไรออนพยายามจะช่วยด้วยการวิเคราะห์เสียง ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ไลราส่ายหน้า น้ำตาเริ่มคลอหน่วย เธอกำลังจะถอดใจ แต่แล้วเธอก็หยุดนิ่ง "เดี๋ยวก่อน... ฉันพยายามจะ 'มอง' เหมือนพวกท่าน... แต่นั่นมันผิด"
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ... แล้วทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เธอถอดรองเท้าบู๊ตออก วางเท้าเปล่าลงบนขอบหินที่เย็นเฉียบ และวางมือทั้งสองข้างลงบนเถาวัลย์ เธอไม่ได้ "จับ" มัน... แต่กำลัง "อ่าน" มัน
"ฉันรู้สึกได้แล้ว..." เธอกระซิบ "รอยแตกของหิน... ความชื้นของมอส... แรงตึงของเถาวัลย์"
จากนั้น เธอก็เริ่มโรยตัวลงไป... ไม่ได้รวดเร็ว... แต่ทุกย่างก้าวของเธอมั่นคงและสง่างามราวกับนักเต้นระบำ เธอใช้ร่างกายทั้งหมดของเธอเป็นเซ็นเซอร์ อ่านหน้าผาราวกับเป็นอักษรเบรลล์... จนกระทั่งเท้าของเธอสัมผัสกับพื้นดินเบื้องล่างอย่างนุ่มนวล ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของทุกคน
คนสุดท้าย: โอไรออน
เมื่อเห็นน้องสาวทำได้ เขาก็มีความกล้าขึ้นมา... แต่ความกล้ากับการปฏิบัติมันคนละเรื่อง
"โอเค ผมจะลองใช้เสียงนำทาง!"
เขาเริ่มโรยตัวลงไปพลางส่งเสียง "คลิก" ด้วยลิ้นเป็นระยะๆ เพื่อฟังเสียงสะท้อน... แต่เขาลืมไปว่าตัวเองยังต้องใช้มือจับเถาวัลย์อยู่
ผลก็คือ... เขาพันตัวเองเข้ากับเถาวัลย์จนกลายเป็นดักแด้มนุษย์!
"ช่วย... ด้วย... ครับ..."
สุดท้าย ครามก็ต้องถอนหายใจยาวเป็นครั้งที่ร้อย เขาปีนกลับขึ้นไป... แกะโอไรออนออกจากเถาวัลย์... คว้าตัวพาดบ่า... แล้วโรยตัวลงมาในรวดเดียว ทิ้งให้โอไรออนนอนมึนอยู่กับพื้น
"ท่านพ่อบอกว่า... บางทีการ 'ฟัง' ให้น้อยลงแล้ว 'ทำ' ให้มากขึ้นอาจจะดีกว่า" ลินดาพูดกลั้วหัวเราะ
ทีมจากดุษฎีนครใช้เวลาเกือบชั่วโมงเต็มในการข้ามหน้าผาเล็กๆ ที่เหล่าพรานใช้เวลาไม่ถึงห้านาที พวกเขาทั้งมอมแมม, หมดแรง, และเสียขวัญกำลังใจไปโดยสิ้นเชิง แต่ในขณะเดียวกัน... เสียงหัวเราะก็ได้ทลายกำแพงที่มองไม่เห็นระหว่างพวกเขาลงจนหมดสิ้น
เมื่อตะวันลอยสูงขึ้นจนเกือบจะตรงศีรษะ บรรยากาศที่เคยขี้เล่นก็ค่อยๆ จางหายไป ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นที่เงียบงันอีกครั้ง ป่ารอบตัวเริ่มดูโปร่งขึ้น เผยให้เห็นท้องฟ้าสีครามเป็นครั้งแรกในรอบหลายชั่วโมง
"เราใกล้ถึงแล้ว" ครามพูดขึ้นสั้นๆ เขาชี้ไปยังทิศทางที่แสงแดดส่องสว่างที่สุด
ทุกคนเร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย ความรู้สึกของการจะได้กลับไปสู่ "ฐานที่มั่น" ทำให้ความเหนื่อยล้าทั้งหมดจางหายไป
ไม่นานนัก พวกเขาก็เดินพ้นแนวป่าทึบสุดท้ายออกมา และภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าก็ทำให้ทีมจากดุษฎีนครต้องหยุดนิ่งด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น
มันคือรถแรคคูน... "บ้าน" ที่พวกเขาจำใจต้องทิ้งไว้เบื้องหลัง มันจอดนิ่งอยู่กลางลานโล่ง สภาพของมันยับเยินกว่าที่พวกเขาจำได้ รอยกรงเล็บขนาดใหญ่ของเสือฉีกทึ้งเกราะด้านข้างจนเป็นริ้วยาว กระจกกันกระสุนด้านหน้าแตกร้าวเป็นใยแมงมุม แต่สำหรับพวกเขาแล้ว... มันคือภาพที่สวยงามที่สุดในโลก
"เรากลับมาแล้ว..." ลีน่ากระซิบออกมาเบาๆ
เร็กซ์ไม่พูดอะไร เขาวิ่งตรงไปยังยานยนต์ของเขาทันที สัญชาตญาณของทหารช่างเข้าควบคุม เขาลูบไล้ไปตามรอยแผลเป็นบนตัวถังโลหะ ประเมินความเสียหายด้วยสายตาของผู้เชี่ยวชาญ
ครามกับลินดายืนมอง "อสูรเหล็ก" ลำนั้นด้วยสายตาที่ผสมปนเปกันระหว่างความทึ่งและความไม่ไว้วางใจ มันคือตัวแทนของโลกที่พวกเขาไม่เคยเข้าใจ
ลีน่าเดินไปที่ประตูหลักและเปิดระบบสื่อสารโดยตรง
"ศิลา! เอลารา! พวกเรากลับมาแล้ว!"
ฟู่...
เสียงแรงดันอากาศดังขึ้น ประตูทางลาดของรถแรคคูนค่อยๆ เลื่อนเปิดออก ร่างของ ดร.ศิลา และ ดร.เอลารา ก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาทั้งสองดูสะอาดสะอ้านและอยู่ในชุดทำงานปกติ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโล่งใจอย่างสุดซึ้งเมื่อเห็นทีมของตนเองกลับมาอย่างปลอดภัย... แม้จะอยู่ในสภาพมอมแมมราวกับไปคลุกโคลนมาทั้งวันก็ตาม
"ท่านผู้บัญชาการ!" ศิลาตะโกนอย่างดีใจ "ในที่สุด! พวกเราเป็นห่วงแทบแย่!"
สายตาของศิลาและเอลาราเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นกลุ่มพรานป่าที่ยืนอยู่ข้างๆ ทีมของพวกเขา
ลีน่ายิ้มออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน "ดร.ศิลา, ดร.เอลารา... นี่คือครามและลินดา... พันธมิตรใหม่ของเรา"
มันคือการแนะนำตัวที่เรียบง่าย แต่กลับมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่
ทีมสำรวจทั้งหมดได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขายืนอยู่ด้วยกัน... ทีมจากดุษฎีนครในชุดไฮเทคที่ขาดวิ่น และพันธมิตรใหม่จากพงไพรในชุดหนังสัตว์... ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่เบื้องหน้ารถแรคคูนที่พังยับเยิน... สภาสงครามครั้งแรกของสองโลกกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.