บทที่ 40: บทเรียนข้างกองไฟ
เที่ยงวัน...
แสงแดดส่องตรงลงมายังใจกลางป่า แต่ความหนาทึบของเรือนยอดไม้ได้กรองแสงนั้นให้กลายเป็นลำแสงสีเขียวอ่อนที่สาดส่องลงมาเป็นหย่อมๆ ครามนำทางพวกเขามาจนถึงลานหินกว้างข้างลำธารสายหนึ่ง ที่ซึ่งเสียงน้ำไหลซ่าๆ ช่วยขับกล่อมให้บรรยากาศที่ร้อนอบอ้าวดูเย็นลง
"พักกินมื้อเที่ยงกันที่นี่" เขาประกาศสั้นๆ ผ่านลินดา
ทีมจากดุษฎีนครทิ้งตัวลงบนพื้นหินอย่างหมดแรง การเดินป่าแค่ครึ่งวันก็หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าการทำงานในห้องทดลองทั้งสัปดาห์
ศิลาเป็นคนแรกที่เริ่มทำงาน เขาวางกระเป๋าเป้ลงและหยิบเครื่องวิเคราะห์ดินขนาดพกพาออกมาทันที เขาตักดินริมลำธารขึ้นมาเล็กน้อยใส่ในช่องวิเคราะห์ "เหลือเชื่อ!" เขาอุทานออกมาเบาๆ "ค่า pH สมบูรณ์แบบ มีไนโตรเจนสูงกว่าดินในไบโอดิโอมของเรา 15%! ดินที่นี่มัน 'มีชีวิต' จริงๆ!"
ในขณะที่ศิลากำลังตื่นเต้นกับข้อมูลของเขา เร็กซ์ก็หยิบแท่งโปรตีนสังเคราะห์สีเทาออกมาเตรียมจะกิน แต่ครามกลับส่ายหน้า
เขาเดินไปที่ลำธารอย่างเงียบเชียบ ไม่ถึงอึดใจ เขาก็ใช้ปลายหอกแทงปลาตัวเท่าแขนขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เขาก่อกองไฟเล็กๆ ขึ้นด้วยหินเหล็กไฟและเชื้อไฟที่เตรียมมาอย่างชำนาญ ก่อนจะนำปลาไปเสียบไม้ย่าง... กลิ่นหอมของเนื้อปลาที่สุกผสมกับกลิ่นควันไฟลอยไปเตะจมูกของทุกคน
"ว้าว..." โอไรออนพึมพำ "ผมได้ยินเสียงไขมันที่กำลังเดือด... โครงสร้างเสียงของมันซับซ้อนกว่าโปรตีนบาร์เยอะเลย"
เอลาราที่นั่งอยู่ข้างๆ หัวเราะเบาๆ "อย่างน้อยก็ดูน่าอร่อยกว่าก้อนโปรตีนนั่นล่ะนะ" เธอกระเซ้าเร็กซ์
ครามย่างปลาสุกแล้วยื่นชิ้นที่ใหญ่ที่สุดให้เร็กซ์ ทหารหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็รับมาลองชิม... ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
"ก็... ไม่เลว" เขาพูดเสียงเรียบ แต่ก็รีบกินคำต่อไปทันที
มันคือมื้ออาหารที่อร่อยที่สุดในรอบหลายสิบปีของพวกเขา...
หลังจากกินปลาจนแทบไม่เหลือแม้แต่ก้าง เร็กซ์ก็ยังคงรู้สึกไม่อิ่ม เขามองแท่งโปรตีนที่ยังอยู่ในซองด้วยสายตาที่ซับซ้อน ก่อนจะตัดสินใจเก็บมันกลับเข้ากระเป๋าไปอย่างเงียบๆ
"ของพวกท่าน... ไม่มีรสชาติเลยรึ" ลินดาถามขึ้นอย่างซื่อๆ ขณะแทะเนื้อปลาชิ้นสุดท้าย
"มันมี 'ประสิทธิภาพ'" เร็กซ์ตอบ "ให้พลังงานที่แม่นยำ ไม่มีของเสีย แต่... ใช่... มันไม่มีรสชาติ" เขาหยิบกระบอกน้ำไฮเทคของเขาขึ้นมา "เหมือนเจ้านี่ มันสามารถกรองน้ำจากโคลนให้บริสุทธิ์ 99.99% ได้ในสามนาที"
ครามที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ วางก้างปลาในมือลง เขาเดินไปที่ริมลำธารอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้มองหาปลา แต่กลับดึงต้นหญ้าสูงชนิดหนึ่งที่มีลำต้นกลวงขึ้นมา เขาสะบัดมันสองสามครั้งแล้วหักกลางลำต้น... น้ำใสสะอาดก็ค่อยๆ ไหลหยดออกมาจากรอยหักนั้น
เขาใช้กะลาไม้ใบเดิมรองน้ำนั้นจนเกือบเต็ม แล้วยื่นให้เร็กซ์
เอลาราที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบหยิบเครื่องสแกนขนาดพกพาขึ้นมาทันที "เดี๋ยวก่อนนะเร็กซ์!" เธอกล่าว "ขอฉันวิเคราะห์องค์ประกอบก่อน อาจจะมีจุลินทรีย์ที่เราไม่รู้จัก!"
เร็กซ์มองน้ำใสๆ ในกะลา... แล้วมองครามที่จ้องเขานิ่งๆ... เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกทดสอบอีกครั้ง เขาตัดสินใจยกกะลานั้นขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด
มันคือน้ำ... น้ำที่แท้จริง... มันเย็นสดชื่นและมีรสหวานจางๆ ของแร่ธาตุจากธรรมชาติ มันให้ความรู้สึก "มีชีวิต" มากกว่าน้ำสังเคราะห์ที่เขาดื่มมาทั้งชีวิต
"เป็นไงบ้าง" ลินดาถามพลางยิ้ม
"ก็... ใช้ได้" เร็กซ์ตอบเสียงห้วน พยายามจะเก็บอาการ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปาก
ครามพยักหน้าอย่างพอใจ เขาหันไปหยิบขวานหินที่วางพิงไว้ขึ้นมา และเริ่มใช้หินลับก้อนเล็กๆ ลับคมมันอย่างใจเย็น
ศิลาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ตาเป็นประกาย "เหลือเชื่อ! หินที่เขาใช้ลับนั่นคือหินฟลินท์! มีค่าความแข็งตามมาตรวัดโมห์สูงถึง 7! เหมาะกับการใช้สร้างประกายไฟและทำเป็นเครื่องมือตัดเฉือน!"
"ท่านพ่อบอกว่า... ทุกอย่างในป่าคือเครื่องมือ" ลินดาอธิบาย "ก้อนหิน... เถาวัลย์... ใบไม้... แค่ต้องรู้ว่าชิ้นไหนใช้ทำอะไร"
ลีน่านั่งมองภาพทั้งหมดด้วยความทึ่ง เธอคือวิศวกร คือนักสร้าง... แต่เธอสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากพิมพ์เขียวและเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบ แต่ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ... เขาสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากสิ่งที่อยู่รอบตัว มันคือปัญญาคนละรูปแบบ... ปัญญาที่เกิดจากการ "สังเกต" ไม่ใช่ "การคำนวณ"
บรรยากาศข้างกองไฟที่เริ่มมอดลงเต็มไปด้วยความผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ท้องที่อิ่มจากปลาสดๆ และน้ำจากธรรมชาติทำให้เหล่าด็อกเตอร์เริ่มมีแรงกลับมา "ทำงาน" ในแบบของตัวเองอีกครั้ง
เอลาร่าเดินไปที่ริมลำธาร เธอไม่ได้ไปตักน้ำ แต่กลับหยิบเครื่องสแกนของเธอออกมาแล้วเริ่มวิเคราะห์ชั้นหินใต้น้ำอย่างจริงจัง "น่าทึ่งมาก!" เธอพูดกับตัวเอง "ชั้นหินตรงนี้มีร่องรอยการกัดเซาะที่บ่งบอกว่ากระแสน้ำเคยแรงกว่านี้ถึง 40% เมื่อประมาณ... สองร้อยปีก่อน"
ลินดาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเข้าก็หัวเราะ "คนแก่ในเผ่าเล่าว่า... เมื่อก่อนตรงนี้เคยมีพญานาคสองตัวสู้กันน่ะ" เธอกล่าว "ตัวหนึ่งอยากให้น้ำไหลไปทางซ้าย อีกตัวอยากให้ไหลไปทางขวา สู้กันจนหินแตกไปหมดเลย"
เอลาร่าขมวดคิ้ว "เป็นคำอธิบายปรากฏการณ์ทางธรณีฟิสิกส์ที่... สร้างสรรค์ดีนะ" เธอพึมพำ
ทันใดนั้น ศิลาก็ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้นจากอีกฟากหนึ่งของลานหิน "ทุกคน! มาดูนี่เร็ว!"
ทุกคนหันไปมอง เขากำลังคุกเข่าจ้องมองแมลงตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งที่กำลังเดินอยู่บนใบไม้ มันมีลำตัวสีดำสนิท แต่ปีกของมันกลับโปร่งแสงและมีลวดลายเหมือนแผงวงจรไฟฟ้าขนาดจิ๋วที่ส่องแสงสีรุ้งระยิบระยับ
"สุดยอด! ผมไม่เคยเห็นโครงสร้างทางชีวภาพแบบนี้มาก่อนเลย!" ศิลาพูดพลางหยิบหลอดเก็บตัวอย่างออกมาอย่างระมัดระวัง "ปีกของมันอาจจะมีคุณสมบัติเป็นตัวนำยิ่งยวดก็ได้! นี่อาจจะเป็นการค้นพบแห่งศตวรรษ!"
เขาค่อยๆ ยื่นหลอดแก้วเข้าไปใกล้...
ฉัวะ!
มีดสั้นของครามพุ่งแหวกอากาศและปักเข้าที่กลางลำตัวของแมลงตัวนั้นอย่างแม่นยำ! ตรึงมันไว้กับใบไม้!
"เฮ้! คุณทำอะไรน่ะ!" ศิลาโวยวาย "นั่นมันตัวอย่างวิจัยของผมนะ!"
ครามเดินเข้ามาอย่างใจเย็น เขาชี้ไปที่เหล็กในยาวเท่าเข็มที่โผล่ออกมาจากก้นของแมลงตัวนั้น "เหล็กในของมัน... มีพิษ" เขาพูดผ่านลินดา "โดนเข้าไปทีเดียว... ได้นอนคุยกับรากมะม่วง"
ศิลาหน้าซีดเผือด เขารีบดึงมือกลับมาทันที
"ท่านพ่อบอกว่า... บางทีการค้นพบแห่งศตวรรษก็รอไปก่อนได้" ลินดาพูดกลั้วหัวเราะ
ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังวุ่นวายอยู่กับสิ่งรอบตัว โอไรออนกลับนั่งนิ่งอยู่ริมลำธาร เขาหลับตาลง แต่ไม่ได้กำลังพักผ่อน เขากำลังใช้หูฟังรุ่นดัดแปลงของเขาสร้าง "แผนที่เสียง" สามมิติของป่าแห่งนี้ขึ้นมาในหัว
"เสียงนกทางซ้ายบน... ความถี่ 3.2 กิโลเฮิรตซ์... เสียงลมพัดผ่านใบไม้... ความถี่ 800 เฮิรตซ์... เสียงน้ำไหล... เสียง..."
"เฮ้ เจ้าหนู" เร็กซ์เดินเข้ามาตบบ่าเขาเบาๆ "เลิกทำตัวเป็นคอมพิวเตอร์เดินได้สักพักแล้วลองใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาบ้างก็ได้นะ"
"ผมกำลังรวบรวมข้อมูล" โอไรออนเถียง แต่ก็ยอมถอดหูฟังออกข้างหนึ่ง
"บางที... การพักผ่อนก็คือ 'ข้อมูล' ที่สำคัญที่สุดเหมือนกันนะ" ลีน่าพูดขึ้น เธอเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา จ้องมองไปยังผืนป่าที่เขียวชอุ่มเบื้องหน้า "ที่นี่ทำให้ฉันเข้าใจ... ว่าทำไมบรรพบุรุษของเราถึงยอมทิ้งความสมบูรณ์แบบในเมืองไป"
บรรยากาศสบายๆ และเสียงหัวเราะยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางธรรมชาติที่ทั้งงดงามและอันตราย พวกเขายังไม่รู้เลยว่าการเดินทางข้างหน้า... จะนำพาพวกเขาไปเจอกับความจริงที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านี้มากนัก
หลังจากที่ทุกคนได้ลิ้มรสอาหารจริงๆ จนพอใจ บรรยากาศก็ยิ่งผ่อนคลายมากขึ้น ความตึงเครียดจากการต่อสู้ดูเหมือนจะถูกชะล้างออกไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความอยากรู้อยากเห็นที่สองอารยธรรมมีให้แก่กัน
เพื่อฆ่าเวลาในขณะที่รอให้แดดร่มลงเล็กน้อย เร็กซ์ตัดสินใจว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างที่เป็น "กิจวัตร" ของทหาร เขาหยิบปืนพกพลังงานคู่ใจออกมาจากซอง และเริ่มทำความสะอาดและปรับเทียบระบบเล็งเป้าของมัน
"ทำอะไรของท่านน่ะ" ลินดาถามขึ้นด้วยความสนใจ
"ปรับศูนย์เล็ง" เร็กซ์ตอบสั้นๆ "แรงกระแทกจากตอนสู้กับเสืออาจจะทำให้มันคลาดเคลื่อนได้" เขาหยิบเป้าซ้อมยิงขนาดเล็กที่ทำจากโลหะเบาออกมาจากกระเป๋า มันส่องแสงเป็นวงกลมสีแดงจางๆ เขาวางมันพิงไว้กับต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปประมาณห้าสิบเมตร
"จะว่าอะไรไหมถ้าข้าจะบอกว่า... อาวุธของท่านมัน 'ส่งเสียงดัง' เกินไป" ครามพูดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากเงียบมานาน เขาพูดผ่านลินดา "มันป่าวประกาศให้ทุกสิ่งในป่ารู้ว่าท่านอยู่ที่นี่"
เร็กซ์ยิ้มที่มุมปาก "มันถูกสร้างมาเพื่อทำลายเป้าหมาย ไม่ได้สร้างมาให้เงียบ" เขายกปืนขึ้น เล็ง... แล้วยิง!
ฟิ้ว!
ลำแสงพลาสมาสีฟ้าพุ่งเป็นเส้นตรงและเจาะเข้าที่กลางเป้าอย่างแม่นยำจนเกิดเป็นรูไหม้เล็กๆ ไม่มีเสียงระเบิด มีเพียงเสียง "ซี่" เบาๆ เท่านั้น
"เห็นไหม" เร็กซ์กล่าวอย่างภาคภูมิใจ "แม่นยำ... รวดเร็ว... มีประสิทธิภาพ"
ครามมองภาพนั้นนิ่งๆ เขาไม่ได้แสดงความทึ่ง แต่กลับหยิบขวานหินที่ลับคมกริบของเขาขึ้นมาถือไว้ในมือ "แล้วถ้าเป้าหมายมันไม่ได้อยู่นิ่งๆ ให้เจ้ายิงล่ะ"
เขาไม่ได้รอคำตอบ แต่หันไปมองต้นไม้สูงใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปอีกฟากของลำธาร เขาชี้ไปยังใบไม้ใบหนึ่งที่กำลังสั่นไหวเบาๆ ตามแรงลม "เห็นใบไม้นั่นไหม"
ทุกคนมองตาม... มันเป็นแค่ใบไม้ธรรมดาๆ ใบหนึ่ง
ครามไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเหวี่ยงขวานในมืออย่างนุ่มนวล... มันไม่ใช่การขว้างที่รุนแรง แต่เป็นการส่งมันออกไปราวกับเป็นส่วนหนึ่งของแขนเขาเอง ขวานหินหมุนควงไปในอากาศอย่างสวยงาม... มันไม่ได้พุ่งไปที่ใบไม้... แต่พุ่งไปที่ ก้าน ของมัน!
ฉับ!
เสียงที่ดังขึ้นนั้นเบามาก... ก้านใบไม้ขาดออกจากกิ่ง... และใบไม้ใบนั้นก็ค่อยๆ ปลิวร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างช้าๆ โดยที่ใบไม้อื่นๆ รอบข้างไม่ไหวติงแม้แต่น้อย... ขวานหินบินต่อไปและปักเข้ากับลำต้นของอีกต้นหนึ่งอย่างพอดิบพอดี
ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งลานหิน...
เร็กซ์ยืนอ้าปากค้าง เขามองปืนไฮเทคในมือ... แล้วมองไปยังใบไม้ที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น... อาวุธของเขาสามารถเจาะทะลุเกราะไทเทเนียมได้... แต่มันไม่มีวันที่จะทำเรื่องที่ "เป็นไปไม่ได้" แบบนี้ได้เลย
[เอลารา: การคำนวณวิถีโค้งแบบนั้น... โดยไม่มีระบบเล็งเป้า... มัน... เป็นไปไม่ได้ทางสถิติ!]
"ผม 'ได้ยิน' เสียงขวานแหวกอากาศ" โอไรออนกระซิบ "มันแทบจะไม่มีเสียงต้านลมเลย... สมบูรณ์แบบ"
ครามเดินไปดึงขวานของเขากลับมาเหน็บไว้ที่เอวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"ท่านพ่อบอกว่า... เป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่เราเห็น" ลินดาแปลให้ฟังด้วยรอยยิ้ม "แต่คือเส้นทาง... ที่อากาศเปิดทางให้เราต่างหาก"
เมื่อแสงแดดยามบ่ายเริ่มคล้อยต่ำลง บรรยากาศสบายๆ และเสียงหัวเราะก็ค่อยๆ จางหายไป ถูกแทนที่ด้วยความเงียบที่เต็มไปด้วยน้ำหนักของภารกิจที่รออยู่เบื้องหน้า ทุกคนต่างรู้ดีว่าช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนได้จบลงแล้ว
ลีน่าเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ เธอลุกขึ้นยืนและเดินไปสำรวจความเสียหายของรถแรคคูนอย่างละเอียด "เร็กซ์, เอลารา... รายงานสถานการณ์"
เร็กซ์เช็ดมือที่เปื้อนคราบน้ำมันกับกางเกงของเขา "หนักกว่าที่คิดครับท่านผู้บัญชาการ" เขาตอบ "รอยกรงเล็บนั่นฉีกทะลุเกราะชั้นนอกเข้าไปทำลายแผงวงจรของระบบขับเคลื่อนฝั่งซ้ายไปบางส่วน เราพอจะซ่อมให้มันเคลื่อนที่ได้ แต่จะทำความเร็วไม่ได้และไม่เสถียรอย่างยิ่ง"
"และที่แย่กว่านั้น..." เอลาราเสริม "เสาอากาศสื่อสารควอนตัมหลักหักไปเลยค่ะ เราไม่สามารถติดต่อกับเควินในระยะไกลได้อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เราอยู่ตามลำพังจริงๆ"
ความจริงอันโหดร้ายตอกย้ำเข้ามาอีกครั้ง พวกเขาติดอยู่กลางป่าที่ไม่รู้จัก พร้อมกับยานพาหนะที่พิการและถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์
"แล้วเราจะไปต่อกันได้อย่างไร" ศิลาถามขึ้น คำถามนั้นลอยค้างอยู่กลางอากาศ
ทุกคนหันไปมองครามโดยอัตโนมัติ ชายผู้ซึ่งกลายเป็นเข็มทิศมีชีวิตของพวกเขาไปโดยปริยาย
ครามไม่ได้ตอบในทันที เขาเดินไปที่ริมป่าและเด็ดยอดอ่อนของใบไม้ชนิดหนึ่งขึ้นมาเคี้ยวอย่างช้าๆ ราวกับกำลังใช้ความคิด "เส้นทางสู่ต้นไม้โลก... ไม่ใช่เส้นทางสำหรับอสูรเหล็ก" เขาพูดผ่านลินดา "มันรกทึบและอันตรายเกินไป ยานของพวกเจ้าไปไม่ถึง"
"หมายความว่าเราต้องเดินเท้าไปงั้นรึ" เร็กซ์ถาม "เราจะขนอุปกรณ์วิจัยและเสบียงทั้งหมดไปได้อย่างไร!"
"พวกเจ้าไม่ต้องขนอะไรไปเลย" ครามตอบเรียบๆ "ป่าจะมอบให้... ถ้าเจ้ารู้จักที่จะ 'ขอ'"
มันคือทางตันทางความคิดอีกครั้ง... วิทยาศาสตร์ต้องการการเตรียมพร้อม... แต่ธรรมชาติกลับต้องการความเชื่อใจ
ลีน่ายืนนิ่ง เธอรับฟังทุกความคิดเห็น เธอรู้ดีว่าทั้งสองฝ่ายพูดถูกในมุมของตัวเอง การจะเดินเท้าเข้าไปโดยไม่มีอุปกรณ์คือความเสี่ยง... แต่การจะลากยานที่พังๆ เข้าไปก็คือการฆ่าตัวตาย
แล้วเธอก็ตัดสินใจ... เธอเลือกทางที่สาม
"เราจะแบ่งทีม" เธอกล่าวอย่างเด็ดขาด ทำให้ทุกคนต้องหันมามอง "ที่นี่... รถแรคคูน... จะกลายเป็น 'ฐานที่มั่น' ของเรา"
เธอหันไปหาศิลาและเอลารา "ดร.ศิลา, ดร.เอลารา... พวกคุณสองคนจะอยู่ที่นี่ ภารกิจของพวกคุณคือซ่อมแซมรถแรคคูนให้กลับมาใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด และทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการคอยวิเคราะห์ข้อมูลที่เราจะส่งกลับมา"
จากนั้นเธอก็หันไปทางทีมที่เหลือ "ส่วนพวกเรา... เร็กซ์, โอไรออน, ไลรา... จะเดินทางเท้าต่อไปพร้อมกับท่านครามและลินดา เราจะนำไปเฉพาะอุปกรณ์สื่อสารระยะสั้นและของที่จำเป็นเท่านั้น"
มันคือแผนการที่ลงตัวที่สุด... คือการผสมผสานระหว่างการเตรียมพร้อมของวิทยาศาสตร์และความคล่องตัวของธรรมชาติ
"ตกลงตามนั้น" ครามพยักหน้ายอมรับ "เตรียมตัวให้พร้อม รุ่งสาง... เราจะออกเดินทางอีกครั้ง"
การตัดสินใจได้เกิดขึ้นแล้ว... บทเรียนข้างกองไฟได้จบลง... และการเดินทางที่แท้จริงสู่ใจกลางของปริศนา... ก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น


แสดงความคิดเห็น