ตอนที่ 3
ดวงตาของทั้งสองสบกันนิ่ง เป็นวินาทีที่แทนตะวันทำท่าจะถามว่าปลายฝนจะเอาอย่างไรต่อในคืนนี้ แต่เสียงประตูที่เปิดออกขัดจังหวะความคิดนั้นไปเสียก่อน
กิตติชัยก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง มือหนึ่งถือแก้วเครื่องดื่ม พลางเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“เป็นไงบ้างแก? ฉันหายไปเกือบชั่วโมง ได้ผ่อนคลายกันเต็มที่แล้วใช่ไหม?”
นักธุรกิจหนุ่มหันไปถลึงตาใส่เพื่อนสนิท ขณะที่เจ้าตัวกลับทำหน้าระรื่น และยังไม่หยุดพูดแซว
“อ้าว… เงียบเลยเหรอ? หรือฉันเข้ามาผิดจังหวะวะ? รู้งี้มาช้ากว่านี้อีกหน่อย แกกับน้องคงจะ—”
สายตากรุ้มกริ่มเหลือบมองสลับระหว่างทั้งสอง ทำเอาปลายฝนหน้าแดงจัดด้วยความอาย ขณะที่แทนตะวันยกมือตบบ่าเพื่อนสนิทแรง ๆ
“พูดมาก กลับเลยไหม?”
หนุ่มเจ้าเสน่ห์หัวเราะเบา ๆ สีหน้าของเพื่อนสนิทเรียกความสนุกเล็ก ๆ ให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า ตัดสินใจถูกจริง ๆ ที่พาแทนตะวันมาที่นี่
“อืม...กลับเลย”
กิตติชัยทำท่าจะหมุนตัวกลับ แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขาหันมาพูดขึ้นลอย ๆ
“อ้อ ใช่ เมื่อกี้ฉันเจอเจ๊ใหญ่ เธอบอกว่าหมดเวลาแล้ว ให้น้องปลายฝนเตรียมตัวไปรับแขกโต๊ะอื่นต่อด้วย”
คำพูดนั้นทำให้รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าของนักธุรกิจหนุ่มทันที ดวงตาคมเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ เขาสังเกตว่าถึงเธอจะพยายามเก็บซ่อนความหวาดกลัวเพียงใด แต่แววตาสั่นระริก มือที่กำแน่น และใบหน้าซีดเผือด ล้วนบ่งบอกชัดเจนว่าเธอกำลังหวาดหวั่นอย่างที่สุด
เขาพยายามโน้มน้าวตัวเองว่าไม่ใช่เรื่องของเขาที่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว แค่หางานใหม่ให้เธอทำก็คงเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ?
ทว่าส่วนลึกในใจกลับปฏิเสธความคิดนั้น… เขาไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายเผชิญชะตากรรมที่โหดร้ายนี้โดยลำพัง
“ปลายฝนจะไม่ไปรับลูกค้าคนไหนทั้งนั้น คืนนี้ฉันจะไปส่งเธอเอง”
คำพูดนั้นทำเอากิตติชัยถึงกับอ้าปากค้าง คำแซวที่เกือบหลุดออกมาถูกกลืนลงไปทันทีเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเพื่อนสนิท
ปลายฝนชะงักไป เธอเอ่ยเสียงแผ่ว “คุณแทนตะวัน… ขอบคุณนะคะ แต่ฉัน…”
“หรือเธออยากอยู่ที่นี่?” น้ำเสียงทุ้มกดต่ำ ดวงตาที่ทอดมองฉายแววดุดัน
เขาตั้งใจช่วยเธอ ทว่าเหตุใดหญิงสาวถึงลังเล?
ปลายฝนรีบส่ายหน้า ดวงตาคู่งามฉายแววหมดสิ้นความหวัง เธอเอ่ยเบา ๆ “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ แต่…แม่ใหญ่คงไม่ยอมให้ฉันไป ถ้ายังทำเงินได้ไม่มากพอ...”
แทนตะวันกำมือแน่น ความโกรธที่มีต่ออ้อยจันทร์พุ่งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เหตุใดมารดาบุญธรรมของเธอจึงปฏิบัติกับปลายฝนราวกับสิ่งของที่ไร้ความรู้สึก...
“เรื่องนี้เธอไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
แทนตะวันหันไปสบตาเพื่อนสนิท เอ่ยเสียงหนักแน่น “ฉันจะพาปลายฝนออกไป”
กิตติชัยชะงักไปเล็กน้อย มองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเหลือบไปเห็นร่างท้วมของหญิงวัยกลางคนที่กำลังเดินตรงมาทางนี้
“เอ่อ… แกคงต้องขออนุญาตเจ๊ใหญ่ก่อนนะ ดูสิ มาแล้วนั่นไง”
อ้อยจันทร์ก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แววตากวาดมองทั่วห้อง ก่อนหยุดที่เตียงยับยู่ยี่ เธอหัวเราะเบา ๆ อย่างพอใจ ก่อนหันมาส่งยิ้มให้ปลายฝน
“แหม ลูกฝนของแม่ ทำงานคืนแรกก็เจอศึกหนักเลยนะ เสน่ห์แรงจริง ๆ แต่ตอนนี้ไปรับลูกค้าต่อได้แล้วจ้ะ มีคนรออยู่”
เธอลูบแขนลูกสาวเบา ๆ ราวกับกำลังตรวจสอบ ‘สินค้า’ ที่อยู่ในความดูแล
ร่างบางยืนนิ่ง พยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ “แม่ใหญ่คะ… คือว่า… ฝน…ฝนไม่—”
อ้อยจันทร์เอียงศีรษะ ยิ้มเยาะเล็กน้อย สายตาจับจ้องท่าทีขัดเขินของลูกบุญธรรม ตั้งแต่เรียวปากที่บวมแดง ไปจนถึงเสื้อผ้ายับย่น
“ทำไมจ๊ะลูกฝน? หรือว่าแขกคนนี้ทำให้แกติดใจ จนไม่ยอมออกจากห้องเลยเหรอ?”
แทนตะวันเห็นความหวาดหวั่นในดวงตาคู่สวย ความโกรธในอกพุ่งขึ้นจนแทบระงับไม่อยู่ หากมองในแง่ธุรกิจ ปลายฝนคือ ‘สินค้าชั้นยอด’ ที่ทำเงินได้มหาศาล และหากสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ต้องการคือเงิน...เขาก็จะให้
“คุณต้องการเท่าไหร่ ผมถึงจะพาปลายฝนออกไปได้”
อ้อยจันทร์เลิกคิ้ว มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ หัวเราะน้อย ๆ
“ยินดีจ่ายไม่อั้นจริง ๆ เหรอจ๊ะ ว่าแต่… พ่อหนุ่มเป็นใครกัน ท่าทางจะไม่ใช่ลูกค้าประจำของที่นี่ เจ๊ไม่คุ้นหน้าเลยนะ”
กิตติชัยกระพริบตาปริบ ๆ มองคนโน้นทีคนนี้ที แต่ก็เชื่อว่าเรื่องแค่นี้ เพื่อนของเขาจัดการได้สบายอยู่แล้ว ร่างสูงเอนตัวพิงโซฟา ยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบช้า ๆ พลางยิ้มขี้เล่น ก่อนเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ
“เจ๊ครับ ไม่ต้องห่วง เพื่อนผมมันดังมาก แล้วก็รวยมากด้วย”
คำว่า ‘รวย’ ทำให้แววตาของหญิงวัยกลางคนเป็นประกายขึ้นมาทันที นึกถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากผู้อ่อนวัยกว่า
“แหม... เจ๊ก็พอรู้มาแหละค่ะว่าคุณเป็นใคร คุณแทนตะวัน วงสกุลสถาพร พ่อนักธุรกิจเนื้อหอม...แต่ค่าตัวปลายฝนน่ะไม่ใช่ถูก ๆ นะคะ คุณมั่นใจเหรอว่าจะคุ้ม?”
เป็นอย่างที่เขาคิดไม่มีผิด มือใหญ่ล้วงกระเป๋าสตางค์ หยิบปากกาเขียนตัวเลขลงบนหลังนามบัตร แนบเช็คเงินสดเพิ่มเข้าไป ก่อนยื่นให้ตรงหน้า
“ผมเชื่อว่าทุกอย่างมีราคา แต่ ‘คุณค่าของคนบางคน’ สำคัญกว่าเงินเสมอ ผมคิดว่ามูลค่านี้น่าจะทำให้คุณพอใจ”
เจ้าของสถานบันเทิงรับเช็คไปมอง ยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ ดวงตาฉายแววสงสัย หัวเราะคิกพลางเหลือบตามองลูกสาว
“โอ้โห... ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย ลูกฝนของแม่มีอะไรดีนะ ถึงทำให้คุณแทนตะวันทุ่มจนสุดตัวแบบนี้?”
ว่าพลางหันมาทางนักธุรกิจหนุ่มอีกครั้ง
“เอาล่ะค่ะ ในเมื่อคุณยืนยันแบบนี้ เจ๊ก็ไม่มีปัญหา คืนนี้ปลายฝนเป็นของคุณแล้ว”
แทนตะวันพยักหน้า ก่อนหันไปสบตาหญิงสาวที่ยังคงก้มหน้านิ่ง อย่างน้อย... คืนนี้เธอก็ปลอดภัยแล้ว
ร่างสูงก้าวเข้าไปหา แตะแขนอีกฝ่ายเบา ๆ คล้ายต้องการให้เธอมั่นใจ
“ไปกันเถอะ”
ปลายฝนเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมคาย ความรู้สึกอุ่นวาบเอ่อล้นในอก ทำไมแทนตะวันถึงช่วยเธอมากมายขนาดนี้ ทั้งที่เธอเป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับเขา
ชายหนุ่มเหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ปลายนิ้วขยับเล็กน้อย ราวกับกำลังชั่งใจว่าควรเว้นระยะ หรือดึงเธอเข้ามาใกล้
สุดท้าย เขาตัดสินใจโอบร่างบางเข้ามาแนบชิด
เสียงเพลงแจ๊สจากโถงด้านนอกค่อย ๆ แผ่วลง เหลือเพียงเสียงฝีเท้าของทั้งสองที่สะท้อนก้องบนพื้นทางเดิน
หญิงสาวรับรู้ถึงสัมผัสอบอุ่นที่แนบแน่นขึ้นทุกขณะ อ้อมแขนแข็งแกร่งของเขาโอบเธอไว้ ราวกับเป็นเกราะป้องกันจากอันตรายทุกสิ่ง—ทั้งสิ่งที่อาจทำร้ายร่างกาย และสิ่งที่อาจทำให้หัวใจต้องเจ็บปวด
แต่ในขณะที่เธอรู้สึกปลอดภัย...นักธุรกิจหนุ่มกลับรู้สึกสับสน เขาไม่เคยต้องการปกป้องใครมาก่อน ไม่เคยปล่อยให้อารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผล
แต่ในเวลานี้— ความโกรธที่เคยมีต่อโลกธุรกิจจอมปลอม... กำลังถูกแทนที่ด้วยบางสิ่ง
บางสิ่งที่หัวใจโหยหา
ไม่แน่ว่า ความปรารถนาที่จะช่วยให้ผู้หญิงคนนี้ หลุดพ้นจากชีวิตที่เธอไม่ต้องการ อาจเป็นกุญแจสำคัญ ที่ปลดล็อกหัวใจของเขาเอง
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะพ้นโถงยาว เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง กิตติชัยวิ่งเข้ามาในสภาพหอบแฮ่ก มือหนึ่งยังถือแก้ววิสกี้ไว้อย่างมั่นคง
“เฮ้ย! รอกันด้วยสิ!” เขาตะโกนลั่น ร่างสูงหยุดเดิน หันกลับไปมองเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“แกจะพาน้องปลายฝนไปไหน?” กิตติชัยถามเสียงดัง
“ฉันจะพาเธอกลับบ้าน”
“บ้าน? บ้านไหน? บ้านแกเหรอ?”
ทั้งที่ปกติเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบเฉียบแหลม กิตติชัยกลับต้องอึ้งไปกับการกระทำของเพื่อนสนิท คำถามที่หลุดจากปากโดยไม่ทันคิดเกิดขึ้นเพราะเขายังประมวลผลสถานการณ์ไม่ครบถ้วน ราวกับแปลกใจว่าคนที่ปกติเคร่งขรึมและยึดติดกับตรรกะอย่างแทนตะวัน จะทำสิ่งที่ดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากตัวตนเดิม
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับหันไปถามหญิงสาวข้างกายแทน
“เธอมีที่พักไหม?”
ปลายฝนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงแผ่ว “เอ่อ...ฉันเช่าห้องเล็ก ๆ ไว้ค่ะ”
“งั้นฉันจะไปส่ง”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสบดวงตาคมที่ฉายแววแน่วแน่ แม้ในใจยังคงสับสน แต่เธอสัมผัสได้ถึงความจริงใจในคำพูดของเขา
กิตติชัยที่ยืนมองเพื่อนสนิทอยู่เงียบ ๆ ถึงกับขมวดคิ้ว ไม่เคยมีครั้งไหนที่แทนตะวันจะยื่นมือช่วยใครโดยไม่คำนวณผลประโยชน์ หรือคืนนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกกันแน่วะ?
“แกแน่ใจแล้วใช่ไหม?”
แทนตะวันพยักหน้า “ฉันไม่เคยมั่นใจอะไรเท่านี้มาก่อนเลย”
กิตติชัยอ้าปากค้าง คำพูดที่เหมือนคำประกาศนั้นทำเอาเขาชะงักไปถนัดตา
“กิต ฉันรู้ว่าฉันทำอะไรอยู่” น้ำเสียงเฉียบขาดของแทนตะวันเรียกความเงียบให้กลับมาอีกครั้ง
หนุ่มเจ้าเสน่ห์ได้แต่ถอนหายใจ ยกมือเกาศีรษะพลางพึมพำในใจ โอ้โห… แค่ไม่กี่ชั่วโมงนี่ทำให้ไอ้แทนที่บ้างานอย่างกับหุ่นยนต์เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวเหรอ?
“เออ… แต่ถ้าแกจะทำอะไรแบบนี้ ก็บอกกันบ้างสิวะ จะได้เตรียมตัวตั้งรับก่อน”
แทนตะวันปรายตามองเพื่อน ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าพูดมาก ไปได้แล้ว ฉันไม่ชอบเป็นเป้าสายตา”
กิตติชัยกระพริบตาปริบ ๆ มองตามแผ่นหลังของเพื่อนสนิท ริมฝีปากขมุบขมิบเหมือนอยากจะเอ่ยอะไร แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
เขาวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะข้างตัว แล้วเดินตามไปเงียบ ๆ ในใจยังคงตั้งคำถามว่า นี่ใช่แทนตะวันคนเดิมที่เขาเคยรู้จักจริงหรือเปล่า?
ทั้งสามก้าวออกจากร้าน สายตาหลายคู่จับจ้องมาเป็นระยะ เสียงซุบซิบดังขึ้นแผ่วเบาในอากาศ
แต่แทนตะวันไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างแม้แต่น้อย…
ในสายตาของเขา มีเพียงหญิงสาวข้างกายเท่านั้น
ผู้เดินตามหลังอย่างกิตติชัย เหลือบมองเพื่อนสนิท ก่อนถอนหายใจอีกครั้ง
“งานก็ไม่ใช่… แล้วทำไมถึงได้จริงจังขนาดนี้วะ?”
เมื่อถึงลานจอดรถ นักธุรกิจหนุ่มกดปลดล็อกรถ BMW M8 สีดำเงาวับที่จอดอยู่ตรงหน้า แสงไฟสะท้อนกับผิวรถเป็นประกายราวกับตัวแทนความหรูหราที่โดดเด่นท่ามกลางเมืองใหญ่
ปลายฝนเหลือบมองภายในรถคันหรู รถรุ่นนี้เธอเคยเห็นผ่านภาพโฆษณา บทความข่าว หรือในโทรทัศน์...แต่ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ก้าวขึ้นไปนั่งจริง ๆ หัวใจเธอเต้นแรง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก้ำกึ่งระหว่างความหวั่นเกรงกับบางสิ่งที่อบอุ่นวาบอยู่ในอก
ร่างบางค่อย ๆ ทรุดตัวลงบนเบาะหนังสีดำ วัสดุเย็นเฉียบเมื่อสัมผัส ทว่าความเย็นนั้นกลับถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นที่สัมผัสได้จากใครบางคนที่นั่งเคียงข้าง ความรู้สึกปลอดภัยแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจอย่างประหลาด
แทนตะวันสตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์คำรามแผ่วเบาก่อนจะเคลื่อนตัวออกจากลานจอด แสงนีออนหลากสีสะท้อนแต่งแต้มยามค่ำคืนของเมืองใหญ่ สร้างบรรยากาศชวนหลงใหล
ปลายฝนเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมคายของคนขับ ใบหน้าที่เธอเคยเห็นว่าเย็นชา บัดนี้ดูอ่อนโยนขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ราวกับมีประกายบางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
รอยยิ้มละมุนผุดขึ้นบนริมฝีปากของหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว ดวงตาที่เคยเปี่ยมด้วยหยาดน้ำแห่งความกลัว บัดนี้กลับเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำแห่งความซาบซึ้ง เธอไม่อาจหาคำพูดใดมาอธิบายได้...นอกจากคำขอบคุณที่เอ่อล้นอยู่ในใจ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นักธุรกิจหนุ่มเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง ดวงตาคมยังคงนิ่งสงบเช่นเคย ทว่ามุมปากกลับปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ โดยไม่รู้ตัว


แสดงความคิดเห็น