บทที่ 481: ใครนับญาติด้วย!
“ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะมีผลกระทบมากกว่าที่เราคิด” มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้วพูด “พวกเราต้องเอามันวางกลับไปที่เดิม ไม่เช่นนั้น ลี่เฟยจะต้องรู้ตัวแน่”
เธอไม่แน่ใจว่าลี่เฟยจะได้กลิ่นแบบเดียวกับเธอหรือไม่
แต่เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อย เธอก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาด
“เอาไปวางที่เดิม?” เซียวถังอี้เลิกคิ้วมองหญิงสาว “แล้วถ้าลี่เฟยยังคงใช้กล่องนี้เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง จะเป็นเช่นไร?”
“ไม่หรอก” มู่ไป๋ไป่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนจะส่ายหัว “ลี่เฟยเป็นคนเจ้าเล่ห์ หากกล่องนี้ยังมีประโยชน์อยู่ นางคงไม่ให้นางกำนัลเอามาฝังไว้ที่นี่ จริง ๆ แล้วข้ากลัวว่านางจะนึกเรื่องนี้ขึ้นได้ภายหลังแล้วสั่งให้คนมายืนยันอีกครั้ง ถ้านางรู้ว่าเราสลับกล่อง เราคงจะเป็นฝ่ายเดือดร้อน”
ชายหนุ่มคิดตามคำพูดของอีกฝ่ายและรู้สึกว่าสิ่งที่นางพูดฟังดูมีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงฝังกล่องกลับไปที่เดิม
หลังจากฝังกล่องเสร็จเรียบร้อย ทั้ง 2 คนก็แอบไปสำรวจรอบ ๆ ที่พักของลี่เฟย เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติอื่นใด พวกเขาก็กลับไปที่ตำหนักอวี๋ชิง
“ข้าต้องกลับแล้ว” เซียวถังอี้เดินมาถึงลานกว้างในเรือนของมู่ไป๋ไป่และหยุดอยู่ที่สระน้ำ “เจ้ารีบพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้เราคงมีอะไรให้ทำอีกเยอะ”
หญิงสาวชะงักฝีเท้าแล้วเงยหน้ามองร่างสูงที่ยังยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ ซึ่งภาพตรงหน้ามันทำให้เธอเหมือนถูกมนต์สะกดจนไม่อาจละสายตาไปได้
หรือบางทีอาจเป็นเพราะในช่วงบ่ายเธอนอนหลับเต็มอิ่มแล้ว ในขณะนี้เธอจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างอธิบายไม่ถูก แล้วจู่ ๆ ในหัวของเธอก็ปรากฏภาพที่ซูหว่านพูดในตอนบ่ายขึ้นมา
“ท่านแม่ของข้าบอกว่า… วิธีที่ดีที่สุดในการปฏิเสธคำขอแต่งงานของหนานซวนก็คือการแต่งงานไปเสียก่อน”
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่พูดเช่นนี้ เธอก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพูดอะไรออกไป
เธอยกมือขึ้นขยี้ใบหูที่ร้อนผ่าวเป็นการแก้เก้อพลางสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ โดยที่ไม่กล้าสบตากับเซียวถังอี้ตามตรง
สายลมยามค่ำคืนค่อย ๆ พัดโชยพร้อมกับหอบกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาเพิ่มบรรยากาศที่คลุมเครือระหว่างคนทั้ง 2
“เจ้า…” ชายหนุ่มมองคนตัวเล็กกว่าที่ไม่สบตากับเขา ขณะที่หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้น “หว่านเฟยพูดถูก มันเป็นหนทางเดียวที่จะปฏิเสธหนานซวน”
มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ หลังจากเข้าใจว่าคนตรงหน้าหมายถึงอะไร คิ้วเรียวสวยก็ขมวดเข้าหากันแน่น “เซียวถังอี้ นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการบอกข้าใช่หรือไม่? ข้าจะให้โอกาสท่านคิดเรื่องนี้อีกครั้ง”
เซียวถังอี้มองลึกเข้าไปในดวงตาสุกใสของหญิงสาวโดยไม่พูดอะไรอีก
มู่ไป๋ไป่จึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมากับสายตาที่สงบนิ่งของเขา ก่อนที่เธอจะก้าวเข้าไปคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้แล้วพูดด้วยความโมโห “เซียวถังอี้ ท่านเป็นผู้ชายหรือไม่?”
เธอรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ
แต่ทำไมเขาถึงไม่ยอมรับมันล่ะ?
ทั้งที่เธอยอมถอยให้เขามากถึงเพียงนี้แล้ว!
“ไป๋ไป่” แววตาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นโศกเศร้าขณะที่เขากล่าวว่า “มันเป็นสิ่งเดียวที่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ในฐานะผู้อาวุโสในครอบครัว”
เขาเน้นย้ำคำว่า ‘ผู้อาวุโสในครอบครัว’ มากกว่าคำอื่น ๆ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน มู่ไป๋ไป่คงไม่ชอบคำนี้
แต่เธอไม่รู้ว่าวันนี้ตัวเองเป็นอะไรไป เธอมุ่งมั่นที่จะให้เซียวถังอี้ตอบคำถามของเธอให้ได้
“ใครอยากให้ท่านเป็นผู้อาวุโสของข้ากัน!” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาโกรธเคือง “เสด็จปู่แค่พาท่านกลับมา ท่านไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับท่านพ่อเลยแม้แต่น้อย!”
“ผู้อาวุโสอะไรกัน อย่าคิดว่าบางครั้งข้าเรียกท่านว่าเสด็จอาแล้วท่านจะเป็นอาของข้าจริง ๆ!”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอไม่เคยมองเซียวถังอี้ในฐานะอาของเธอเลยแม้แต่น้อย
“ถึงเจ้าจะไม่ยอมรับข้าว่าเป็นเสด็จอาของเจ้า” นัยน์ตาดุจเหยี่ยวของชายหนุ่มเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย แต่มือที่กำแน่นไว้ข้างหลังเผยให้เห็นถึงอารมณ์ที่แท้จริงของเขา “แต่ถึงอย่างไรข้าก็เฝ้าดูเจ้าเติบโตขึ้นมาตั้งแต่เด็ก ข้าหวังว่าเจ้าจะมีครอบครัวที่ดี”
มู่ไป๋ไป่เม้มริมฝีปากแน่นจนเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม และใบหน้าขาวผ่องยิ่งบูดบึ้งตามอารมณ์ของเจ้าของ “มีครอบครัวที่ดี? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนที่ข้าชอบไม่ต้องการแต่งงานกับข้า?”
ดวงตาของเซียวถังอี้หม่นแสงลงพร้อมกับที่เขาตอบกลับว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่คู่ควรกับเจ้า”
“เขาไม่คู่ควรกับข้าจริง ๆ” มู่ไป๋ไป่แค่นเสียงเยาะเย้ยอย่างไม่สบอารมณ์ แม้ว่าเธอจะชอบเขาจริง ๆ แต่เธอคงไม่ยอมลดศักดิ์ศรีของตัวเองถึงขนาดไปขอร้องให้เขามาชอบเธอเพียงเพราะเธอชอบเขาแน่นอน
“เซียวถังอี้ ท่านจงจำสิ่งที่ท่านพูดวันนี้เอาไว้ให้ดี ท่านรีบกลับไปเสียเถอะ แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็เป็นองค์หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน การที่เสด็จอาเข้าออกเรือนของข้าตามอำเภอใจนั้นคงจะไม่เหมาะสม”
มู่ไป๋ไป่ปล่อยมือออกจากคอเสื้อของคนตัวสูงกว่าแล้วก้าวถอยหลังไป 2-3 ก้าวโดยที่สีหน้าของเธอมีเพียงความเฉยเมยไม่เหลือร่องรอยของความโกรธเคืองเมื่อครู่เลยสักนิด
เซียวถังอี้ที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกหดหู่ เมื่อ 2 เค่อที่แล้วตอนที่อยู่นอกวังหลวงพวกเขาเข้ากันได้ดีมาก ทว่าบัดนี้มันกลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ชายหนุ่มอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เปิดปาก มู่ไป๋ไป่ก็หันหลังเดินกลับเข้าห้องของตัวเองและทิ้งให้เขายืนอยู่ที่ลานกว้างเพียงลำพัง
“จุ๊ ๆๆ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด ความรักมักจะนำมาซึ่งความเสียใจเสมอ…” เสียงเอื่อยเฉื่อยของใครบางคนดังขึ้น
“ในเมื่อพวกเจ้าทั้ง 2 รักกัน แล้วไยจึงต้องทรมานกันด้วย?”
เต่าชราโผล่หัวออกมาจากที่ไหนสักแห่งแล้วไปทิ้งตัวนอนลงบนก้อนหินอย่างเกียจคร้าน
“พ่อหนุ่ม ข้าเห็นว่าเจ้าเองก็หลงรักท่านจ้าวอสูรของเรามานานแล้ว เจ้าจะยอมให้ท่านจ้าวอสูรแต่งงานไปอยู่กับคนอื่นอย่างนั้นหรือ?”
เซียวถังอี้ยังคงมองไปทางห้องของมู่ไป๋ไป่เงียบ ๆ ไม่กี่อึดใจต่อมา เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “นางควรจะได้แต่งงานกับคนที่ดีกว่านี้”
หลังจากพูดเช่นนี้แล้ว อาจเป็นตัวเขาเองที่รู้สึกเสียใจ
“คนที่ดีกว่าหรือ?” เต่าเฒ่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มันอาจจะจริงอยู่ที่คนนอกมองเห็นได้ชัดเจนกว่าคนใน แต่ไม่ว่าคนอื่นจะดีมากแค่ไหน เราก็ทำอะไรไม่ได้ถ้าท่านจ้าวอสูรไม่ชอบคนผู้นั้น”
แน่นอนว่ามู่ไป๋ไป่ไม่ได้ยินเสียงถอนหายใจของเต่าสูงวัย
เรื่องที่เธอพูดกับเซียวถังอี้ก่อนหน้านี้ทำให้เธอเสียสมาธิจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าส้มยังไม่กลับมาที่เรือน ตอนนี้ในสมองของเธอคิดวนเวียนไปมาไม่อาจสงบใจลงได้ เธอจึงนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงจนเกือบรุ่งสางถึงจะผล็อยหลับไป
พอเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มันก็ถึงเวลาที่เธอรับปากกับไทเฮาแล้วว่าจะไปรับพี่สามที่ตนไม่เคยพบหน้ามาก่อน
หญิงสาวรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและมุ่งหน้าไปยังประตูวังหลวงตามที่ตกลงกันไว้
วันนี้ทางวังหลวงมีพิธีการทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคลให้กับไทเฮา จึงได้มีการเปิดประตูด้านข้างเพื่อขนสิ่งของจากภายนอกเข้ามา
เมื่อมู่ไป๋ไป่ไปถึงที่นั่น เธอก็พบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยหลั่งไหลเข้ามาในประตูนั้นแล้ว
“โอ๊ย แย่แล้ว ข้าลืมถามไทเฮาว่าพี่สามของข้าชื่ออะไร” หญิงสาวขยี้หัวตัวเองด้วยความโมโหเมื่อนึกได้ว่าตนลืมเรื่องสำคัญไป “สมงสมองข้าไปหมดแล้ว!”
จากนั้นเธอก็กวาดตามองคนกลุ่มนั้น แต่ก็ไม่พบใครที่มีลักษณะเหมือนพี่สามของเธอเลย
ในขณะที่มู่ไป๋ไป่กำลังหมดหวัง เธอได้หยิบจี้หยกครึ่งซีกที่ไทเฮาทรงมอบให้ออกมา โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นและจำมันได้
อย่างไรก็ตาม เธอรออยู่นานแล้ว แต่แทนที่พี่สามของเธอจะปรากฏตัว เธอกลับต้องเจอปัญหาแทน
“เจ้าพวกโง่ พวกเจ้าไม่มีตาหรืออย่างไร!” เสียงเอาแต่ใจดังขึ้นมาจากทางประตูด้านข้าง ทำให้อาการง่วงนอนของมู่ไป๋ไป่หายไปจนสิ้น
เธอรู้สึกว่าเสียงนั้นฟังดูคุ้น ๆ จึงหันไปมองทางต้นเสียงและได้พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย
เจ้าของเสียงนั้นคือมู่เชียนนั่นเอง…
นางกำลังจะได้กลับเข้าวังจริง ๆ หรือ?
แต่ทำไมนางถึงต้องผ่านประตูเล็ก?
หลังจากมู่ไป๋ไป่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เดาได้ทันทีว่ามู่เชียนน่าจะคิดแบบเดียวกับพี่สามของเธอที่เลือกใช้วิธีนี้แอบเข้ามาในวัง
ทว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ถูกเรียกตัวจากไทเฮาแน่นอน จุดประสงค์ที่นางเข้ามาในวังหลวงคืออะไรกันแน่?
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 196
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น