บทที่ 469: ข้าอายุน้อยกว่าท่านมาก
“ทูลอ๋องเซียว กระหม่อมจำอะไรไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ราชองครักษ์ที่พูดอยู่หน้าซีดเผือด ท่าทางของเขาไม่ได้มีเจตนาฆ่าแต่อย่างใด ซึ่งไม่เหมือนกับตอนที่เขาพยายามจะสังหารมู่จวินฝานกับมู่เทียนฉงในห้องโถงเมื่อไม่นานมานี้
เซียวถังอี้ชำเลืองมองราชองครักษ์ทั้ง 10 ที่ยืนอยู่ตรงหน้าซึ่ง 2 คนในนั้นเป็นคนของเขาเอง
นอกเหนือจากการใช้อาคมแล้ว เขาไม่สามารถสรุปได้ว่ามีวิธีอื่นใดที่สามารถควบคุมราชองครักษ์ที่มีวรยุทธสูงพวกนี้เอาไว้ได้ผลชะงัด
“เอาตัวพวกเขาออกไป” ชายหนุ่มออกคำสั่งแล้วเชิดคางไปทางชิงหานกับซั่วเยว่ “ทิ้ง 2 คนนี้ไว้”
“พ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่อยู่ในคุกหลวงรับคำสั่งก่อนจะก้าวออกไปควบคุมตัวคนอื่นกลับไปขังในห้องขัง
ขณะนี้ซั่วเยว่กับชิงหานยืนก้มหน้าอยู่ต่อหน้าผู้เป็นนาย ถ้ามองให้ดี ๆ ทั้งคู่อยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูนัก
ชายทั้ง 2 เป็นองครักษ์เงาของเซียวถังอี้มานานหลายปี ภารกิจที่พวกเขาได้รับมอบหมายนั้นไม่เคยล้มเหลวเหมือนในครั้งนี้เลย
เพราะนอกจากพวกเขาจะตกหลุมพรางของศัตรูแล้ว พวกเขายังได้ลงมือลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทอีกด้วย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ตัวก็ตาม แต่โชคดีมากแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครจำหน้าทั้งคู่ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นว่าพวกเขาได้สร้างปัญหาใหญ่ให้กับนายท่านของตนแน่นอน
“พวกเจ้า 2 คนจำอะไรไม่ได้เลยหรือ?” เซียวถังอี้ถามพลางยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วที่ปวดร้าวของเขา
ตอนที่มู่ไป๋ไป่เดินเข้ามาในคุกหลวง เธอก็เห็นชิงหานกับซั่วเยว่กำลังยืนทำหน้าตำหนิตัวเองอยู่เงียบ ๆ
“ท่านจำอะไรไม่ได้เลยหรือ?” หญิงสาวเดินไปนั่งลงข้างเซียวถังอี้พร้อมกับเอ่ยถามคำถามเดียวกับอีกฝ่าย
“ชิงหาน เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ท่านตามนางกำนัลไปที่ตำหนักตี้เฉิน ท่านลองนึกดูก่อนดีหรือไม่?”
องครักษ์หนุ่มขมวดคิ้วพยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ สุดท้ายเขาก็เหยียดยิ้มเยาะเย้ยตัวเองแล้วส่ายหัวตอบว่า “องค์หญิงหก ข้าน้อยจำไม่ได้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจำได้เพียงว่าข้าน้อยได้รับคำสั่งจากนายท่านจึงได้ติดตามนางกำนัลคนนั้นไปที่ตำหนักตี้เฉิน แต่พอข้าน้อยได้สติกลับมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในคุกแห่งนี้แล้ว”
พอมู่ไป๋ไป่ได้ยินคำอธิบายของชิงหาน คิ้วเรียวของเธอก็ขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
อาคมนี้มันชั่วร้ายยิ่งกว่าแมลงกู่เสียอีก เพราะคนที่ถูกอาคมนั้นไม่ได้แสดงอาการหรือรับรู้สิ่งใดเลย
ยังมีสิ่งที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้อยู่บนโลกด้วยสินะ
มู่ไป๋ไป่อดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งนี้จะไม่มีผลกับคนร่ายอาคมเลยหรืออย่างไร
ขณะเดียวกัน เซียวถังอี้หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วมองไปที่ซั่วเยว่ “แล้วเจ้าล่ะ?”
“นายท่าน” องครักษ์หนุ่มเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองก่อนจะกระซิบตอบเสียงเบา “ข้าน้อยเองก็เช่นกัน…”
เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เขารู้เพียงว่าตอนนั้นเขามุ่งหน้ามาที่ตำหนักตี้เฉินเพื่อตามหาคน
ในเวลานั้นเขาเหมือนกำลังตกอยู่ในความฝัน พอตื่นขึ้นมาอีกที เขาก็อยู่ในคุกหลวงแล้ว ซึ่งผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็คือเซียวถังอี้ที่มีสีหน้าเย็นชากว่าปกติ
“นายท่าน ได้โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย!” ชิงหานกับซั่วเยว่รู้ดีว่าครั้งนี้พวกเขาทำผิดพลาดใหญ่หลวง ทั้งคู่จึงไม่ได้หาข้ออ้างมาอธิบายเพิ่มเติม แล้วทำเพียงแค่คุกเข่าขอโทษเท่านั้น
ทางด้านมู่ไป๋ไป่แอบชำเลืองมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งมีสีหน้าเย็นชาและรู้สึกว่ามันแปลกมาก
ในความคุ้นเคยของเธอ เซียวถังอี้อาจจะเป็นคนแปลกประหลาดไปบ้าง แม้บางครั้งเขาจะดูน่ารำคาญ แต่เขาไม่ใช่คนถือตัวอะไร
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นอีกฝ่ายทำตัวเช่นนี้
“หลังจากจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าค่อยไปรับโทษด้วยตัวเอง” ความจริงเซียวถังอี้สังเกตเห็นสายตาสงสัยใคร่รู้ของมู่ไป๋ไป่ตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาก็รอจนกระทั่งชิงหานกับซั่วเยว่ออกไปก่อนจึงหันมาถามว่า “เจ้ามองอะไรอยู่?”
“เอ่อ ข้าไม่ได้มองอะไรทั้งนั้น…” พอหญิงสาวถูกจับได้ ใบหน้าของเธอก็ร้อนไปจนถึงใบหู จากนั้นเธอก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่าย “เมื่อคืนท่านไม่ได้พักผ่อนเลย ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไร?”
หากสังเกตดูให้ดี ภายใต้แสงเทียนนั้นแววตาของเซียวถังอี้อ่อนลงเล็กน้อย “เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ เจ้าเหนื่อยหรือไม่?”
“ทำไมท่านถึงบอกว่าเหมือนข้า?” มู่ไป๋ไป่เริ่มรู้สึกไม่สบายใจยามที่ถูกชายหนุ่มจ้อง เธอจึงเบือนหน้าหนีแล้วบ่นพึมพำเบา ๆ “ข้าอายุน้อยกว่าท่านมาก ฉะนั้นการนอนดึกนิด ๆ หน่อย ๆ จึงไม่ส่งผลอะไรกับร่างกายนัก”
“...” เซียวถังอี้ยังคงนั่งนิ่งไม่ตอบโต้
“ถ้าท่านเหนื่อยก็กลับไปพักผ่อนที่ตำหนักอ๋องเซียวของท่านเถอะ” หญิงสาวพูดพลางเก่าหูแก้เก้อ “ถังถังกับหวานหว่านจะพักอยู่กับข้าเป็นการชั่วคราว ข้าจะคอยดูแลพวกนางเอง แล้วข้าจะส่งพวกนางกลับไปให้ท่านดูแลภายหลัง”
เซียวถังอี้ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างจึงยกยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว “เช่นนั้นองค์หญิงหกอยากไปเป็นแขกที่ตำหนักของข้าเช่นนั้นหรือ?”
“ใครจะไปอยากเป็นแขกของท่านกัน ข้าแค่อยากส่งถังถังกับหวานหว่านกลับด้วยตัวเอง” มู่ไป๋ไป่ยังคงปากแข็งไม่ยอมรับ “นอกจากนี้เรายังต้องปรึกษาหารือเกี่ยวกับอาคมกันอีก ข้ารู้สึกว่าในวังหลวงไม่ปลอดภัย”
“แต่ไม่มีใครกล้าล่วงเกินตำหนักอ๋องเซียวของท่าน ข้าจึงนึกไม่ออกว่ามีที่ใดที่ปลอดภัยนอกจากตำหนักของท่านอีกแล้ว”
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้า “ขอบพระทัยองค์หญิงหกที่ประเมินตำหนักอ๋องเซียวสูงเช่นนี้ ตำหนักอ๋องเซียวจะรอต้อนรับพระองค์คืนนี้”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกว่าสิ่งที่เซียวถังอี้เพิ่งพูดนั้นฟังดูแปลกมาก
แต่เธอก็ไม่สามารถอธิบายได้จริง ๆ ว่ามันแปลกตรงไหน
ระหว่างทางที่หญิงสาวกลับมายังตำหนักอวี๋ชิง เธอก็ยังถูกใบหน้าที่มีหน้ากากสีเงินบดบังของผู้ชายคนนั้นรบกวนจิตใจไม่หยุด
ขณะที่เธอกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ เธอก็ได้ยินเสียงร้องของแมวพร้อมกับก้อนขนสีส้มขนาดใหญ่กระโดดลงมาจากท้องฟ้า
หญิงสาวตกใจมากจึงหลบเจ้าก้อนนั้นไปอย่างไม่รู้ตัว
แล้วเธอก็เห็นเจ้าก้อนกลม ๆ สีส้มขนาดใหญ่ผ่านหน้าเธอไปก่อนจะหล่นลงบนพื้นหญ้าเสียงดังตุ้บ!
“แง้ววว! มู่ไป๋ไป่ เจ้านี่มันใจร้ายจริง ๆ เราแค่ไม่เจอหน้ากันไม่เท่าไหร่ เจ้าก็ไม่คิดจะรับข้าแล้วหรือ!”
เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เธอก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “เจ้าส้ม!”
เจ้าแมวอ้วนลุกขึ้นจากพื้นช้า ๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นจิกตามองอีกฝ่าย “จะเป็นใครไปได้อีกล่ะนอกจากแมวตัวนี้! ผ่านไปเพียงไม่กี่วันเจ้าจำเสียงข้าไม่ได้แล้วหรือ บอกความจริงมาเดี๋ยวนี้นะ เจ้าไปแอบเลี้ยงแมวตัวอื่นใช่หรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่กอดเจ้าส้มด้วยความรู้สึกคิดถึง และลูบหัวของมันไปมา “ทำไมเจ้าเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้ เจ้าไปไหนมา ข้าเกือบเผลอคิดว่าเจ้าถูกแมวป่าข้างนอกล่อลวงไปเสียแล้ว!”
น่าเสียดายที่ในโลกนี้การทำหมันแมวไม่ใช่สิ่งที่นิยมทำกัน
ไม่อย่างนั้นละก็ เธอคงจับเจ้าส้มไปตัดไข่ตั้งนานแล้ว!
“หา เจ้ามองข้าเป็นแมวเจ้าชู้ขนาดนั้นเลยหรือ?” แมวตัวโตรู้สึกพึงพอใจกับปฏิกิริยาของหญิงสาวไม่น้อย “เท่ารู้หรือไม่ว่าข้าต้องพบเจออะไรบ้างกว่าจะกลับมาถึงที่นี่”
ระหว่างทางมันเห็นของอร่อย ๆ ตั้งมากมายแต่ก็ไม่ได้กิน!
“เจ้าลำบากลำบนมากเลยหรือ?” มู่ไป๋ไป่กอดเจ้าส้มไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินมุ่งหน้ากลับไปที่ตำหนักอวี๋ชิงพร้อมกับบีบเนื้อตรงหน้าท้องของมัน
“คนเราเวลาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่ใช่ว่าทำให้ผอมลงหรอกหรือ เจ้าส้ม เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นลูกโป่งหรืออย่างไร?”
“ลูกโป่งคืออะไร?” แมวสีส้มตัวใหญ่เลียอุ้งเท้าตัวเอง “เลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว เจ้าสั่งให้คนครัวทำอาหารอร่อย ๆ มาให้ข้าหน่อยสิ แมวตัวนี้ผอมลงแล้ว ต้องกินชดเชยเสียหน่อย”
“โอ้โห เจ้าแมวน้อยตัวนี้โตเร็วมากเลย” จู่ ๆ ก็มีเสียงคนแก่ดังขึ้น “ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าเห็นเจ้าในปีนั้น เจ้าเพิ่งอายุได้ 1 เดือนเอง”
“ใครน่ะ! ใครกำลังพูดอยู่?” ขนของเจ้าส้มตั้งชัน ในขณะที่มันกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ “ไป๋ไป่ เจ้าได้ยินเสียงเมื่อกี้หรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่ามีเต่าอยู่ในกระเป๋าย่าม
เธอจึงรีบเปิดกระเป๋า ก่อนที่เต่าชราจะโผล่หัวออกมาทันทีพร้อมกับโบกมือให้เจ้าส้มช้า ๆ
เจ้าแมวส้มตัวอ้วนจ้องเต่าตัวเล็กด้วยดวงตากลมโตเป็นเวลานาน จากนั้นมันก็ส่งเสียงร้องอย่างฉุนเฉียว “แง้ววว! มู่ไป๋ไป่ เจ้าแอบทำอะไรลับหลังข้าจริง ๆ สินะ!”
“บอกข้ามาตามตรงเลยนะว่าเจ้าไม่ต้องการแมวตัวนี้อีกแล้วใช่หรือไม่?”
“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร…” มู่ไป๋ไป่ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี “นี่คือท่านปู่เต่าที่อาศัยอยู่ในสระน้ำในเรือนของเรา มันมีอายุเยอะมากพอที่จะเป็นปู่ของข้าได้เลย ข้าจะเลี้ยงมันไว้ทำไม เอาไว้ดูเล่นหรืออย่างไร?”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 136
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น