บทที่ 467: พวกเขาสบายดี
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงเข้าพระทัยผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทูตหนานซวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮ่องเต้หนานซวนของเรามาสู่ขอองค์หญิงหกก็เพราะเขาตกหลุมรักพระนาง ฝ่าบาทของเรามิได้มีเจตนาคิดจะใช้การแต่งงานนี้เพื่อเรื่องของการเมือง”
ฮ่องเต้หนานซวน?
มู่ไป๋ไป่กำมือแน่น เธอลืมผู้ชายสารเลวคนนั้นไปได้อย่างไร
เมื่อ 12 ปีก่อน เป็นเพราะไอ้ชาติชั่วคนนั้นที่ลักพาตัวเธอไป และเกือบจะฆ่าเธอตาย
หญิงสาวไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากเวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ ผู้ชายคนนั้นยังคิดจะแก้แค้นเธอ
“ท่านเชื่อคำพูดของตัวเองจริง ๆ หรือ?” มู่จวินฝานเหลือบมองทูตหนานซวนด้วยสายตาเย็นชา เวลาอยู่ต่อหน้าญาติพี่น้อง เขามักจะทำตัวสบาย ๆ มาตลอด แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขามีเพียงด้านนี้เท่านั้น
“เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ฮ่องเต้หนานซวนเกือบจะเอาชีวิตของข้ากับไป๋ไป่ไปแล้ว แต่ท่านมาบอกตอนนี้ว่าเขาชอบพอไป๋ไป่อย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของทูตหนานซวนเปลี่ยนไปทันที ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “องค์รัชทายาท ฮ่องเต้ของเราถูกคนทรยศหลอกลวง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหนานซวนกับเป่ยหลงมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น พระองค์คงปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“หรือว่าเป่ยหลงยังคงมองว่าหนานซวนเป็นศัตรู และมิตรภาพตลอดหลายปีมานี้เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น?”
ใครก็ตามที่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนการเจรจาระหว่างแคว้นได้ คนผู้นั้นย่อมมีวาทศิลป์ดีเลิศ
ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำของทูตหนานซวน เขาก็สามารถขุดหลุมกับดักรอให้องค์รัชทายาทตกหลุมพรางนั้นได้แล้ว
“เป่ยหลงเองก็ปฏิบัติต่อหนานซวนด้วยความจริงใจเสมอมา แต่หนานซวนก็แอบเคลื่อนไหวอยู่ที่ชายแดนมาตลอดเช่นกัน” มู่จวินฝานพูดเยาะเย้ยอีกฝ่าย “ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าเป่ยหลงไม่รู้เลยว่าหนานซวนทำอะไรลับหลังไว้บ้าง?”
ทางด้านทูตหนานซวนไม่คิดว่าองค์รัชทายาทจะเอ่ยวาจาเด็ดขาดได้ถึงเพียงนี้ จากที่เขาเคยเหยียดยิ้มก็หุบยิ้มลงทันที และยืนนิ่งโดยไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อไปดี
“หุบปากไปซะ” มู่เทียนฉงขมวดคิ้วที่ปวดร้าวพร้อมกับโบกมือออกคำสั่ง “ใครก็ได้ ส่งตัวรัชทายาทกลับไป”
จากนั้นราชองครักษ์ก็ตอบรับและเดินเข้ามาหามู่จวินฝาน
“เจ้ากล้ารึ!” ชายหนุ่มเหลือบมองราชองครักษ์ด้วยหางตา ใบหน้าของเขานั้นมีส่วนคล้ายกับมู่เทียนฉงมาก ถึงแม้ว่ามันจะดูหล่อเหลาและอ่อนโยนในยามที่เขายิ้ม แต่เมื่อใดก็ตามที่เขามีสีหน้าเย็นชา ความน่ากลัวนั้นไม่ได้น้อยไปกว่าเสด็จพ่อของตนเลย
อย่างไรก็ตาม กลุ่มราชองครักษ์ที่หยุดนิ่งไปชั่วขณะก็ยังคงก้าวออกไปควบคุมตัวมู่จวินฝาน
ท่ามกลางความโกลาหลนั้น มู่ไป๋ไป่ที่อยู่บนหลังคาก็มองเห็นแสงสีเงินวาบขึ้นมา
ช้าก่อน! มีคนคิดจะลอบสังหารท่านพี่รัชทายาทของเธอ!
จังหวะนั้นมู่ไป๋ไป่รีบคว้าแส้ที่เอวฟาดออกไปเต็มแรง ในอึดใจนั้นเธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้น
ในเวลาเดียวกันก็มีแสงสีเงินอีกดวงพุ่งผ่านหางตาเธอไปในพริบตา
เข็มเงินที่ถูกส่งออกไปด้วยกำลังภายในอันมหาศาลพุ่งตรงไปยังเป้าหมายด้านล่าง
ทางด้านราชองครักษ์ที่แอบหยิบมีดขึ้นมาถูกเข็มเงินแทงเข้าที่ข้อมือ ทำให้มือของเขาได้รับบาดเจ็บจนถือมีดไม่ไหว ส่งผลให้มันตกลงบนพื้นเสียงดัง
มู่เทียนฉงกับมู่จวินฝานต่างพากันมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง จากนั้นพวกเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ทหาร! คุ้มกันฝ่าบาท!” องค์รัชทายาทตะโกนออกไปด้านข้างนอกทันที ขณะเดียวกันนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนต่อหน้าเสด็จพ่อ
ก่อนที่มู่ไป๋ไป่ซึ่งแอบมองดูสถานการณ์อยู่บนหลังคาจะทันได้ตอบสนอง เธอก็รู้สึกว่ามีใครบางคนแตะไหล่เธอเบา ๆ
“เจ้าจะยืนบื้ออยู่ทำไม รีบลงไปช่วยพวกเขาสิ”
“หา?” หญิงสาวมองเซียวถังอี้ด้วยท่าทางสับสน “แล้วเราจะลงไปอย่างไร?”
นี่คือบนหลังคาของตำหนักตี้เฉิน เธอจะลงไปที่ห้องโถงโดยตรงด้วยวิธีไหนกัน?
เซียวถังอี้ยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “ขอโทษด้วย” จากนั้นเขาก็เอามือโอบเอวของหญิงสาวแล้วรวบรวมกำลังภายในทั้งหมดกระทืบเท้าลงบนหลังคา
จากนั้นก็เกิดเสียงสนั่นดังก้องไปทั่วตำหนักตี้เฉิน
บัดนี้กลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างเงยหน้าขึ้นมองเห็นร่าง 2 ร่างโดยที่ร่างหนึ่งเป็นสีดำส่วนอีกร่างเป็นสีขาวกำลังลอยลงมาจากท้องฟ้า
“ท่านพ่อ ท่านพี่ ข้ามาช่วยพวกท่านแล้ว!” ทันทีที่มู่ไป๋ไป่ลอยลงมา เธอก็ฟาดแส้ว่านกู่เข้าใส่ราชองครักษ์ที่คิดจะลอบโจมตีมู่จวินฝานกับมู่เทียนฉง
“ไป๋ไป่?” สีหน้าขององค์รัชทายาทเปลี่ยนไปเมื่อเห็นน้องสาวปรากฏตัวที่นี่ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ทำไมถึงได้เอาตัวเข้ามาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้!”
มู่ไป๋ไป่ดึงผ้าคลุมหน้าตัวเองออกแล้วพูดว่า “เอาไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ตอนนี้เรื่องเร่งด่วนที่สุดก็คือการจัดการกับราชองครักษ์พวกนี้ ข้าสงสัยว่าพวกเขากำลังถูกใครบางคนควบคุมเอาไว้”
หญิงสาวไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องอาคม เพราะถึงอย่างไรเธอก็ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด หากเธอไปทำให้ศัตรูรู้ตัวเข้า สถานการณ์หลังจากนี้คงไม่ค่อยดีนัก
เมื่อมู่จวินฝานกับมู่เทียนฉงได้ยินเธอพูดแบบนี้ ทั้งคู่ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
“ไป๋ไป่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า” เซียวถังอี้เหลือบมองชิงหานกับซั่วเยว่ที่อยู่ท่ามกลางเหล่าราชองครักษ์พลางเอ่ยปากว่า “เจ้าไปตรวจสอบทูตหนานซวนให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา”
หากเกิดเรื่องขึ้นในระหว่างที่ทูตของแคว้นหนึ่งถูกส่งไปยังอีกแคว้นหนึ่ง นั่นจะเป็นการยากที่จะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ
มู่ไป๋ไป่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เธอก็ตัดสินใจเชื่อฟังเซียวถังอี้และใช้แส้ฟาดราชองครักษ์ที่เข้ามาขวางทางออกไปเพื่อมุ่งหน้าไปหาทูตหนานซวน
ซึ่งมันก็บังเอิญที่เธอมีเรื่องอยากจะถามอีกฝ่ายว่าเหตุใดฮ่องเต้หนานซวนจึงคิดจะสู่ขอเธอในตอนนี้
เนื่องจากเซียวถังอี้กับมู่ไป๋ไป่ประสานงานลงมือกันได้อย่างดีเยี่ยม สถานการณ์ในห้องโถงจึงพลิกกลับอย่างรวดเร็ว
ในเพียงไม่กี่อึดใจ ราชองครักษ์ทั้งหมดที่พยายามจะลอบสังหารมู่จวินฝานกับมู่เทียนฉงต่างก็นอนหมดสติอยู่บนพื้น
เมื่อทหารรักษาพระองค์มาถึงที่เกิดเหตุ ความโกลาหลวุ่นวายในห้องโถงก็จบลงพอดี
“ทำไมพวกเจ้าถึงมาช้า?” มู่ไป๋ไป่กระแทกเท้าข้างหนึ่งลงบนโต๊ะเตี้ย ๆ และลูบแส้ว่านกู่ในมือพร้อมกับทำหน้าเย็นชา
ทหารพวกนี้น่าจะคอยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู แต่พวกเขากลับมาถึงในห้องโถงช้ามากทั้งที่ท่านพี่รัชทายาทของเธอเรียกตั้งนานแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่เธอกับเซียวถังอี้แอบเข้ามาก่อนหน้านี้ พวกเธอก็ไม่เห็นใครอยู่ที่ประตูเลย
“ฝ่าบาท พวกเรามาช่วยพระองค์ช้าไป ขอฝ่าบาททรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าทหารรักษาพระองค์มองผู้คนที่นอนเกลื่อนอยู่ในห้องโถงด้วยสีหน้าหนักใจ
“หึ! ถ้าเราจะต้องรอให้พวกเจ้ามาช่วย เราคงตายไปแล้ว” มู่เทียนฉงขมวดคิ้วมองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างเย็นชา “พวกเจ้าจะมัวยืนบื้อกันอีกทำไม รีบจับมือสังหารพวกนี้ส่งเข้าคุกซะ!”
“ช้าก่อน ท่านพ่อ!” มู่ไป๋ไป่รีบร้องห้ามผู้เป็นพ่อไว้ “คนพวกนี้ดูแปลก ๆ หม่อมฉันอยากจะสอบสวนพวกเขาเองเพคะ”
หากคนเหล่านี้ถูกอาคมจริง ๆ อย่างน้อยเธอก็จะได้ตรวจสอบพวกเขาก่อนเป็นอันดับแรก และวางแผนรับมือในขั้นตอนต่อไป
“ไป๋ไป่ เจ้าอย่าได้สอบสวนคนพวกนี้เองเลย” มู่เทียนฉงขมวดคิ้วไม่เห็นด้วย แต่เนื่องจากเขากำลังเผชิญหน้ากับลูกสาวอยู่ น้ำเสียงที่เขาใช้จึงอ่อนลง
“หากเจ้าอยากรู้เรื่องอะไรก็ส่งคนไปสอบถามเอา”
“ท่านพ่อ…” มู่ไป๋ไป่ยังคงไม่ยอมแพ้
“เสด็จพี่ ข้าทูลขอพระองค์ให้ส่งคนพวกนี้ให้ข้าเป็นคนสอบสวน” จู่ ๆ เซียวถังอี้ก็พูดขึ้นมา “ข้าสงสัยว่าคนเหล่านี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ข้าเพิ่งสอบสวนไป”
มู่เทียนฉงรู้เรื่องที่ชายหนุ่มออกไปสืบในยุทธภพมาหลายปี
เขาจึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วสุดท้ายเขาก็พยักหน้ารับ
แม้ว่าเขาจะไม่พอใจกับข่าวลือที่แพร่สะพัดในหมู่ชาวบ้านในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่เขาก็ยังคงมองเซียวถังอี้เป็นน้องชายของตนเองเสมอ
เขาเชื่อใจชายผู้นี้
ทางด้านเซียวถังอี้รับคำสั่งของฮ่องเต้และพาคนเหล่านั้นออกไปทันที
ในตอนที่ร่างสูงเดินผ่านมู่ไป๋ไป่ เขาแอบขยิบตาให้เธอเบา ๆ
“???” หญิงสาวที่เห็นดังนั้นก็มีสีหน้างุนงง
“ทูตหนานซวนอยู่ที่ใด?” มู่เทียนฉงมองไปรอบห้องโถง แต่ก็ไม่พบร่องรอยของทูตหนานซวนเลย “เกิดอะไรกับพวกเขาหรือไม่?”
“ไม่เพคะ!” มู่ไป๋ไป่เหมือนถูกเรียกสติกลับคืนมาแล้วรีบเอาเท้าลงจากโต๊ะเตี้ย “พวกเขาสบายดี”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 159
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น