บทที่ 405: หากข้าพบคนผู้นี้ก่อน
“อ๊า! ศิษย์พี่ ทำไมท่านถึงแช่งตัวเองแบบนั้น!” อวี้หวานหว่านเบะปากพร้อมกับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง
มู่ไป๋ไป่ที่เห็นการแสดงออกของอีกฝ่ายก็รู้สึกขบขัน ในระหว่างที่ลุกขึ้นจากเตียงเธอก็ยกมือขึ้นผลักหัวเด็กหญิงเบา ๆ “เจ้าเป็นว่าที่เจ้าหุบเขาหมอเทวดาคนต่อไป เจ้าเชื่อเรื่องไร้สาระพวกนี้ด้วยหรือ?”
“ทำไมถึงจะเชื่อไม่ได้เจ้าคะ?” อวี้หวานหว่านเม้มปากแล้วพูดว่า “มีคำโบราณที่ว่าเอาไว้ว่า เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ แม้ตอนนี้สิ่งนั้นจะยังไม่เป็นจริง”
“นอกจากนี้ ข้าไม่ใช่ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าหุบเขาหมอเทวดา ศิษย์พี่ เป็นท่านต่างหาก!”
ในสายตาของเด็กหญิง มู่ไป๋ไป่คือเสาหลักของหุบเขาหมอเทวดา
ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์พี่ออกโรงช่วยพ่อแม่ในคราวนี้ นางคงได้กลายเป็นเด็กกำพร้าที่สูญเสียพ่อแม่ไปแล้ว
ในระหว่างการเดินทาง นางได้ยินเรื่องราวมากมายระหว่างสำนักตระกูลถังกับหุบเขาหมอเทวดา และนางก็พอจะคาดเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้คร่าว ๆ
ตอนนั้นนางทั้งรู้สึกดีใจและหวาดกลัวไปพร้อม ๆ กัน
ทันทีที่อวี้หวานหว่านมาถึงโรงเตี๊ยม นางก็รีบวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเจียงเหยาแล้วร้องไห้เสียงดัง ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกอยากเจอมู่ไป๋ไป่มากด้วย
หลังจากนั้นนางก็ไม่คาดคิดว่านางจะได้รู้ข่าวจากทุกคนว่าศิษย์พี่ใหญ่ล้มป่วย
เด็กหญิงคิดว่าหญิงสาวล้มป่วยเพราะเรื่องของสำนักตระกูลถัง นางจึงเป็นกังวลขึ้นมา
ไม่นานนางก็ฝ่าฝืนคำสั่งของผู้เป็นแม่ แล้วไปขอร้องให้เซียวถังถังแอบพานางมาเยี่ยมผู้เป็นศิษย์พี่โดยไม่ให้ใครรู้
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน?” มู่ไป๋ไป่แสร้งทำเป็นโมโหขณะเงยหน้าขึ้นจ้องตาอีกฝ่าย “เจ้าเป็นผู้สืบทอดของหุบเขาหมอเทวดา ถ้าเจ้าไม่ยอมรับช่วงตำแหน่งเจ้าหุบเขา ต่อจากนี้จะมีใครกล้ายอมรับตำแหน่งนี้ล่ะ?”
หญิงสาวไม่ได้สนใจตำแหน่งเจ้าหุบเขาหมอเทวดาเลยแม้แต่น้อย
ความฝันตลอดชีวิตนี้ของเธอไม่เคยเปลี่ยนแปลง หลังจากที่เธอเก็บเงินได้มากพอ เธอก็จะออกไปท่องเที่ยวรอบโลก
เมื่อมู่ไป๋ไป่คิดถึงวันคืนที่มีทั้งความสุขและอิสระในอนาคต เธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง
“ศิษย์พี่!” อวี้หวานหว่านรีบพูดพร้อมทำหน้าจริงจัง “ทุกคนในหุบเขาต่างยกย่องท่านมาตลอดว่าท่านจะต้องเป็นเจ้าหุบเขาหมอเทวดาในอนาคต”
“ปกติถ้าท่านแม่ไม่อยู่ ศิษย์พี่ก็จะเป็นคนคอยตัดสินใจทุกอย่างในหุบเขา สำหรับข้า ข้าไม่มีความสามารถนั้น”
อวี้หวานหว่านได้เอานิสัยไม่สนใจคนอื่นของอวี้เซิ่งผู้เป็นพ่อมาเต็ม ๆ
เมื่อมู่ไป๋ไป่ฟังคำพูดของเด็กหญิง เธอก็ตกตะลึงไม่น้อย แต่เธอก็รู้ดีว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะพูดคุยเรื่องการสืบทอดตำแหน่งกับเด็กอายุเพียงเท่านี้ ดังนั้นเธอจึงไม่พูดถึงเรื่องดังกล่าวกับอีกฝ่ายต่อ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปถามว่าในระหว่างทางนางพบเจอสิ่งใดบ้าง
อวี้หวานหว่านยังเด็กมาก แน่นอนว่าความสนใจของนางถูกเบี่ยงเบนไปทันที และนางก็ได้บอกเล่าให้หญิงสาวฟังอย่างมีความสุขว่าตลอดการเดินทางนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ในตอนที่ทั้งคู่พูดคุยกันไปได้สักพัก หลัวเซียวเซียวก็เดินเข้ามาพร้อมกับถือถ้วยยามาด้วย
มู่ไป๋ไป่จึงดื่มยาพร้อมกับฟังเรื่องราวน่าสนใจที่อวี้หวานหว่านเล่าให้ฟัง จากนั้นก็กินขนมอบ 2-3 ชิ้นไปพลาง
เดิมทีเด็กหญิงอยากจะกินข้าวกลางวันกับศิษย์พี่ใหญ่ก่อนออกไปจากห้อง แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยอะไร เจียงเหยาก็เข้ามาปิดหูลูกสาวแล้วดึงตัวนางออกจากห้อง
อวี้หวานหว่านได้แต่ร้องขอความเมตตาผู้เป็นแม่ไปตลอดทาง แถมยังตะโกนขอให้มู่ไป๋ไป่ช่วยนาง มันทำให้ภายในห้องที่เคยเงียบสงบดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาพักหนึ่ง
หลังจากที่หญิงสาวได้นอนหลับเต็มอิ่มและดื่มน้ำแกงบำรุง เธอก็รู้สึกดีขึ้นมาก ก่อนที่เธอจะสั่งให้หลัวเซียวเซียวช่วยไปทำธุระที่หอไป่เฉ่าแทนเธอ
“เซียวเซียว เจ้านำตำราโบราณเล่มนี้ติดตัวไปด้วย” มู่ไป๋ไป่ยื่นตำราโบราณที่เคยกล่าวถึงเลือดของจ้าวอสูรให้กับอีกฝ่าย “มอบตำรานี้ให้กับคนของหอไป่เฉ่า แล้วให้พวกเขาตามหาเล่มก่อนหน้านี้และเล่มถัดไปมาให้ข้า”
เธออ่านตำราโบราณเล่มนี้มาสักพักและเดาได้ว่ามันน่าจะมีเล่มต่อหรือเล่มก่อนหน้านี้อยู่
หญิงสาวหวังว่ามันจะมีบันทึกเกี่ยวกับเลือดจ้าวอสูรเอาไว้เพิ่มเติมในเล่มอื่น ๆ
“แล้วอีกอย่าง เพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน เจ้าควรพาพี่รองไปกับเจ้าด้วย” มู่ไป๋ไป่เอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง “แม้ว่าตอนนี้สำนักตระกูลถังจะเงียบไปแล้ว แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าถังเป่ยเฉินคนนั้นกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่”
เมื่อหญิงสาวเห็นว่าคนตรงหน้าตั้งท่าจะปฏิเสธ เธอพูดต่อไปว่า “เซียวเซียว เจ้าอย่าคิดมากไปเลย อย่างน้อยก็พาพี่รองของข้าไปเดินเล่นด้วยสักหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าให้เขาอยู่แต่ในโรงเตี๊ยม ข้ากลัวว่าเขาจะคิดมากจนเส้นเลือดในสมองแตกไปเสียก่อน ถือว่าเจ้าช่วยข้าคลายความกังวลเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
หลังจากหลัวเซียวเซียวได้ยินสิ่งที่องค์หญิงหกกล่าว นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ นางจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ
หญิงสาวไม่รอช้า นางรับตำราโบราณมาถือแล้วเดินไปเคาะประตูห้องพักของมู่จวินเซิ่ง และบอกเล่าในสิ่งที่มู่ไป๋ไป่สั่ง
“ดังนั้นหากองค์ชายรองว่าง หม่อมฉันจึงอยากจะขอให้องค์ชายรองไปกับหม่อมฉันด้วยเพคะ” หลัวเซียวเซียวลดสายตาลงต่ำในขณะที่พูดเสียงเบา
มู่จวินเซิ่งมองหญิงสาวตรงหน้าพร้อมกับตอบว่า “ตกลง”
แม่ทัพหนุ่มยังคงเป็นคนร่าเริงเช่นเคย แต่หลัวเซียวเซียวกลับรู้สึกอึดอัด มันเหมือนกับว่ามีบางอย่างกดดันอยู่ในใจนาง
ไม่นานทั้งคู่ก็ออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมกัน
หอไป่เฉ่าของเมืองนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยม ชายหญิงทั้ง 2 เคยไปที่นั่นด้วยกันตั้งแต่เมื่อวานนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้เส้นทางเป็นอย่างดี
หลัวเซียวเซียวทำเพียงแค่เดินเงียบ ๆ อยู่ข้างกายมู่จวินเซิ่ง ในขณะที่คิดถึงคำสั่งของมู่ไป๋ไป่ที่บอกว่าให้นางอธิบายเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายฟังและลังเลว่าควรจะพูดว่าอย่างไรดี
แต่หญิงสาวจดจ่อกับความคิดของตัวเองมากเกินไปจนไม่สังเกตเห็นรถเข็นที่พุ่งมาจากด้านข้าง
“ระวัง!” จังหวะนั้นนางได้ยินเสียงกระซิบจากชายหนุ่ม ก่อนที่นางจะทันได้รู้ตัว นางก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนอันอบอุ่นเสียแล้ว
ทางด้านมู่จวินเซิ่งดึงหลัวเซียวเซียวเข้ามาในอ้อมแขนจนกระทั่งพ่อค้าผักเข็นรถเข็นออกไป เขาจึงจะปล่อยหญิงสาว
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
เนื่องจากความใกล้ชิดระหว่างทั้ง 2 ใบหูของหลัวเซียวเซียวจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง นางรีบก้มหน้าลงต่ำพร้อมกับส่ายหัว “ไม่-ไม่เป็นไรเพคะ ขอบพระทัยองค์ชาย”
“ขอบคุณอะไรกัน” แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น “ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า เจ้าคอยดูแลไป๋ไป่ในช่วง 2-3 วันนี้คงจะเหนื่อยมาก”
แล้วอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก็ได้ทำลายความเงียบระหว่างพวกเขา ทำให้หัวข้อการพูดคุยมุ่งไปที่มู่ไป๋ไป่ได้สำเร็จ
“จริง ๆ แล้วที่ไป๋ไป่เป็นลมมันไม่ใช่เพราะนางเหนื่อยเกินไปใช่หรือไม่?” มู่จวินเซิ่งพูดขึ้นมาโดยไม่ได้มองหลัวเซียวเซียวที่มีสีหน้าประหลาดใจ “ข้าอยู่ในสนามรบมานานหลายปีแล้ว ข้าเห็นทหารได้รับบาดเจ็บมามากมาย อย่างน้อยสายตาของข้าก็ไม่ได้ตื้นเขินขนาดนั้น”
ฝ่ายที่ได้ยินได้แต่อ้าปากค้าง ก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบาว่า “องค์ชายรองช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก”
“ข้าคิดว่าเจ้าจะช่วยไป๋ไป่ปิดบังข้าต่อไปเสียอีก” ชายหนุ่มพูดยิ้ม ๆ ว่า “ไม่เป็นไร พอกลับไปเจ้าก็อย่าบอกนางว่าข้ารู้เรื่องนี้แล้วก็แล้วกัน เด็กคนนั้นคิดมากมาตั้งแต่เด็ก ข้ากลัวว่าถ้านางรู้เข้านางจะรู้สึกแย่และคิดมากยิ่งกว่าเดิม”
หลัวเซียวเซียวอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองกรอบหน้าที่คมชัดของมู่จวินเซิ่ง “องค์ชายรอง ไม่ใช่ว่าองค์หญิงอยากจะโกหกพระองค์ เป็นหม่อมฉันต่างหากที่ทำไปโดยพลการ…”
ไม่นานหญิงสาวก็บอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ตอนนี้องค์หญิงรู้ว่าหม่อมฉันไม่ได้บอกความจริงแก่องค์ชายรอง…” หญิงสาวเม้มปาก ก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบา “องค์ชายรองโปรดยกโทษให้เซียวเซียวด้วยเพคะ”
คำพูดนั้นทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่จวินเซิ่งจางหายไป เขามองตาสตรีตรงหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ ข้ารู้ดีว่าเจ้าหวังดี ข้าจึงแสร้งทำเป็นมองข้ามมันไป ในเมื่อไป๋ไป่ไม่อยากให้ข้ารู้ ข้าก็จะไม่รับรู้อะไร”
หลัวเซียวเซียวรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เกิดขึ้นภายในใจชั่วครู่
ในความเป็นจริงหญิงสาวมักจะรู้สึกอิจฉามู่ไป๋ไป่ที่มีทั้งพ่อแม่ และพี่ชายที่รักนางมาก
ยามที่นางมองมู่จวินเซิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า นางก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้านางชอบคนผู้นี้ นางคงจะมีความสุขมาก
ทว่าน่าเสียดาย… ที่นางได้พบกับคนผู้นั้นก่อน
ในระหว่างนั้นก็มีเงาบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวของหลัวเซียวเซียว แล้วนางก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่เสียดแทงเข้ามาในใจ ก่อนจะค่อย ๆ ลุกลามไปทั่วกาย
หญิงสาวกัดฟันตัวเองแน่นเพื่อพยายามระงับความเจ็บปวดนั้น
แต่ยิ่งนางจดจ่อกับมันมากเท่าไหร่ ความเจ็บปวดกลับยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
“เซียวเซียว?” มู่จวินเซิ่งสังเกตเห็นว่าหลัวเซียวเซียวมีท่าทางผิดปกติ เขาจึงเอื้อมมือไปช่วยพยุงตัวหญิงสาว
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ผิดที่เราเจอกันช้าไป~


แสดงความคิดเห็น