บทที่ 404: เขาตื่นเมื่อไหร่ก็มาเรียกข้า
พอมู่ไป๋ไป่นึกถึงสิ่งที่เสี่ยวหยินพูดถึงเมื่อคืนนี้ เธอก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เธอรีบสลัดผ้าห่มทิ้งแล้วลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับพูดว่า “เซียวเซียว ช่วยพยุงข้าไปดูเขาหน่อย”
“องค์หญิง?” หลัวเซียวเซียวมององค์หญิงหกด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่นางจะทำหน้าดุและห้ามอีกฝ่ายเอาไว้ “พระองค์ยังไม่หายดีเลย เหตุใดพระองค์ไม่ให้จอมยุทธ์จวงไปรักษากับท่านเจ้าหุบเขาแทนล่ะเพคะ?”
“ข้าเพียงแค่เสียเลือดมากเกินไป ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงสักหน่อย” มู่ไป๋ไป่โบกมือพลางพูดเร่งนาง “เร็วเข้าเถอะ ไม่มีใครสามารถจัดการกับสถานการณ์ปัจจุบันของจวงอี้หรานได้นอกจากข้า”
“เจ้ามาช่วยพยุงข้าหน่อย แล้วก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป ถ้าข้ารู้สึกเวียนหัวข้าจะรีบบอกเจ้าทันที”
เมื่อหลัวเซียวเซียวสบเข้ากับสายตาแน่วแน่ของหญิงสาว นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเข้าไปช่วยพยุงอีกฝ่ายไปที่ห้องของจวงอี้หราน
ยามที่หญิงสาวทั้ง 2 เดินไปถึงประตู พวกเธอก็พบกับซั่วเยว่ที่กำลังเปิดประตูออกมาจากด้านในพอดี
แล้วคนทั้ง 3 ก็ต้องสะดุ้งตกใจ จากนั้นทางฝั่งองครักษ์หนุ่มก็รีบโค้งคำนับให้กับองค์หญิงหกทันที
“ลุกขึ้นเถอะ” มู่ไป๋ไป่ยกมือขึ้นบอกให้เขาไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร แล้วมองเข้าไปในห้องก่อนจะเอ่ยถามว่า “จวงอี้หรานเป็นอย่างไรบ้าง? เมื่อคืนเกิดเรื่องแปลกประหลาดหรือไม่?”
ซั่วเยว่นึกขึ้นได้ทันทีว่ามีแสงสีแดงแปลก ๆ ห่อหุ้มร่างเซียวถังอี้เมื่อคืนนี้
โชคดีที่แสงนั้นค่อย ๆ มอดดับไปในตอนเช้า ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไปเรียกองค์หญิงหกมาตรวจดูเจ้านายของตนนานแล้ว
“องค์หญิง จอมยุทธ์จวงนอนอยู่ทั้งคืนไม่ตื่นเลยพ่ะย่ะค่ะ” ซั่วเยว่รายงานสถานการณ์เบื้องต้นของผู้เป็นนายเมื่อคืนนี้ให้หญิงสาวฟังสั้น ๆ หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นมาอย่างลังเลว่า “ถ้าพระองค์พูดถึงเรื่องแปลกประหลาด… มันก็มีอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรที่ว่าแปลก?” มู่ไป๋ไป่ที่รู้สึกโล่งใจได้เพียงคู่เดียวก็หัวใจเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง
เมื่อคืนก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไรกับเสี่ยวหยินไปมากกว่านั้น เธอก็เป็นลมหมดสติไปเสียก่อน
ด้วยเหตุนี้นอกจากได้รู้ว่าเลือดของเธอจะทำให้ใครร่างระเบิดตายแล้ว เธอก็ไม่รู้ว่ามันส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาอย่างอื่นอีกหรือไม่
สิ่งเดียวที่เป็นข่าวดีก็คือ เธอที่ไม่อยากแนบชิดกับผู้ชายไม่จำเป็นต้องป้อนเลือดตัวเองให้กับจวงอี้หรานโดยตรง
“ไม่นานหลังจากที่องค์หญิงออกจากห้องไปเมื่อคืน แสงสีแดงก็ปรากฏขึ้นทั่วร่างของจอมยุทธ์จวง” ซั่วเยว่มีสีหน้าลำบากใจขณะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ในตอนแรกข้าน้อยคิดว่าตัวเองตาฝาดไปเอง แต่ต่อมาข้าน้อยก็พบว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น พอสัมผัสแสงสีแดงแล้วมันร้อนมาก”
“แต่ข้าน้อยก็มองเห็นว่าจอมยุทธ์จวงไม่เป็นอะไรเลยถึงแม้ว่าจะถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีแดงนั้น ดังนั้นข้าน้อยจึงเดาว่าแสงสีแดงไม่ได้ทำอันตรายใด ๆ กับจอมยุทธ์จวง”
“แสงสีแดง?” มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้ว แล้วเธอก็คาดเดาว่าปฏิกิริยานี้อาจเกิดจากเลือดของเธอ หลังจากวิเคราะห์เรื่องนี้ เธอก็รีบก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้อง
พอเข้ามาหญิงสาวก็พบกับอวี้เซิ่งที่กำลังนอนกอดไหสุราหลับสบายอยู่บนโต๊ะ แม้แต่ตอนที่เธอเดินมาตรงนี้เขาก็ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ
แต่มู่ไป๋ไป่ก็เมินเขาแล้วเดินตรงเข้าไปยังส่วนด้านในสุดที่เป็นเตียงนอน
ปัจจุบันเซียวถังอี้ยังคงนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่ม ใบหน้าหล่อเหลาของเขามีเลือดฝาดมากขึ้นกว่าช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือตอนนี้เขาดูดีมาก ซึ่งแตกต่างจากสภาพอิดโรยเหมือนคนใกล้จะตายเมื่อวานนี้
มู่ไป๋ไป่มองสำรวจชายหนุ่มทั่วร่างพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
จากนั้นเธอก็นั่งลงที่ขอบเตียงเพื่อตรวจชีพจรของเขา
ทางด้านซั่วเยว่ที่ยืนอยู่ด้านข้างกลั้นใจโดยไม่รู้ตัว เขาไม่กล้าหายใจดังเพราะกลัวว่าตนจะไปรบกวนอีกฝ่าย
จนกระทั่งมู่ไป๋ไป่ปล่อยมือผู้เป็นนายของตน องครักษ์หนุ่มจึงถามอย่างเป็นกังวลว่า “องค์หญิง จอมยุทธ์จวงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ เขาจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่?”
“อาการของเขาถือว่าดีขึ้น” หญิงสาวยกมุมปากเป็นรอยยิ้มที่หาได้ยาก “ก่อนหน้านี้พิษหลิวกวงกัดกร่อนร่างกายของเขาเกือบทุกส่วน ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอมาก เขาจะตื่นขึ้นมาก็ต่อเมื่อร่างกายของเขาฟื้นตัวขึ้นแล้วเท่านั้น”
พอซั่วเยว่ได้ยินสิ่งที่องค์หญิงหกพูด เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะนี้ผู้ชายอย่างเขาแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้
เขาติดตามรับใช้เซียวถังอี้มานานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
โชคดีที่เจ้านายของเขาพบคนที่มาช่วยพลิกวิกฤตนี้ได้
“ข้าจะเขียนเทียบยาให้ท่าน หลังจากต้มยาแล้วท่านก็มาป้อนยาให้เขา” มู่ไป๋ไป่ประเมินอาการของผู้ป่วยอีกครั้ง “แล้วท่านค่อยมาเรียกข้าหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมา”
ซั่วเยว่พยักหน้ารับซ้ำ ๆ
เมื่อหญิงสาวตัวชีพจรของคนไข้เสร็จเรียบร้อย เธอก็รู้สึกง่วงนอนมาก
แล้วเธอก็แอบถอนหายใจ เนื่องจากการเสียเลือดไปเมื่อคืนนี้มันทำร้ายร่างกายของเธอมากทีเดียว
มู่ไป๋ไป่รู้สึกหดหู่ไม่น้อยเพราะคิดว่าในอนาคตเธอยังจำเป็นจะต้องถ่ายเลือดให้ผู้ป่วย
แน่นอนว่าการรักษาเมื่อคืนนี้ไม่ใช่การรักษาครั้งสุดท้าย
เมื่อครู่มีบางอย่างที่เธอไม่ได้บอกซั่วเยว่ นั่นก็คือพิษในร่างกายของจวงอี้หรานยังไม่ได้ถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น
หากเธอต้องการขจัดพิษหลิวกวงออกไปให้หมด เธออาจจะต้องใช้วิธีแบบเดียวกับเมื่อคืนนี้ 3-4 ครั้ง
พอคิดถึงเรื่องดังกล่าว มู่ไป๋ไป่ก็อดถอนหายใจไม่ได้
“เซียวเซียว เจ้าไปบอกให้ห้องครัวทำน้ำแกงโสมที่พี่รองส่งมาให้ข้าหน่อย” หญิงสาวตัดสินใจบำรุงร่างกายตัวเอง “หลังจากนั้นก็ให้ส่งคนเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อของว่างมาให้ข้า”
“โสม?” หลัวเซียวเซียวเลิกคิ้ว ก่อนจะพูดหยอกล้อว่า “ตอนแรกองค์หญิงไม่คิดจะกินมันไม่ใช่หรือเพคะ?”
นางเห็นองค์หญิงหกทำหน้าประหลาดใจปนรังเกียจตอนที่เห็นโสมในกล่องที่มู่จวินเซิ่งนำมาให้
“ข้าก็ไม่ได้คิดอยากจะกินมันจริง ๆ นั่นแหละ” มู่ไป๋ไป่ไม่ปฏิเสธ แถมยังยืดอกรับเต็มที่ “ข้าคิดด้วยซ้ำว่าพอกลับไปถึงเมืองหลวง ข้าจะเอามันไปขายให้พี่จวินเฉาเพื่อแลกกับเงินจำนวนหนึ่งด้วยซ้ำ”
“แต่พอคิดไปคิดมา ถ้าให้เลือกระหว่างเงินกับสุขภาพร่างกายของตัวเอง ร่างกายของข้าสำคัญกว่า เจ้ารีบไปทำตามที่ข้าสั่งก่อนแล้วค่อยกลับมาคุยกันทีหลังเถอะ”
แต่ถึงอย่างไร เธอคงไม่สามารถกินโสมนั้นจนหมดกล่องคนเดียวได้แน่นอน
หลัวเซียวเซียวยิ้มพร้อมกับพยักหน้า แล้วพูดทิ้งท้ายว่าตนเห็นด้วยกับองค์หญิงหก
หลังจากหญิงสาวช่วยพยุงอีกฝ่ายกลับเข้าไปในห้องเรียบร้อย นางก็ลงไปที่ห้องครัวเพื่อจัดการตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ที่รู้สึกอ่อนเพลียก็เอนตัวงีบหลับลงบนเตียงทันที
ในช่วงเวลากึ่งหลับกึ่งตื่น เธอเห็นร่างของใครบางคนอย่างเลือนราง ชายผู้นั้นสวมชุดสีขาวยืนตัวตรงอยู่ท่ามกลางหมอกหนา
“ท่านเป็นใคร?” หญิงสาวถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เธอรู้สึกคุ้นหน้าคนผู้นี้มาก แต่นึกอย่างไรเธอก็นึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร
ชายชุดขาวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินคำถามของเธอ เขาหันกลับมามองพร้อมกับเอ่ยนามหญิงสาวแบบไม่แน่ใจนัก “มู่ไป๋ไป่?”
“ข้าเอง” มู่ไป๋ไป่มองใบหน้าของชายหนุ่ม แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายกลับถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว ทำให้เธอมองเห็นไม่ชัด “ท่านเป็นใคร ท่านรู้จักข้าได้อย่างไร?”
เธอถามว่าเขาเป็นใคร 2 ครั้งติดต่อกัน แต่คนตรงหน้าก็ไม่ยอมตอบเลยสักครั้ง
เมื่อหญิงสาวเห็นว่าชายหนุ่มเอาแต่นิ่งเงียบ เธอก็ยิ่งเกิดความสงสัยใคร่รู้มากขึ้นเรื่อย ๆ
เธอจึงรีบเดินเข้าไปหาผู้ชายคนนั้น ในขณะที่เธอกำลังจะเอื้อมมือไปแตะชายเสื้อของเขา จู่ ๆ ก็มีเสียงแว่วเข้ามาในหู
“ฮือ ๆๆ โฮฮฮ! ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน? ตอนที่ออกจากหุบเขาท่านยังสบายดีอยู่เลย”
“ชู่ว! หวานหว่าน เจ้าเบาเสียงหน่อย อย่าทำให้นางตื่น นางกำลังพักผ่อนอยู่นะ! โธ่ อย่าร้องอีกเลย ถ้าข้ารู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่แอบพาเจ้ามาที่นี่โดยไม่บอกให้ท่านอาจารย์รู้แน่”
ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่ค่อย ๆ ลืมตาตื่นก่อนจะเห็นคน 2 คน โดยที่คนหนึ่งตัวสูง อีกคนหนึ่งตัวเตี้ยกำลังพูดคุยกันอยู่
คนตัวสูงก็คือเซียวถังถัง ส่วนคนตัวเตี้ยที่สวมชุดลูกศิษย์หุบเขาหมอเทวดาคืออวี้หวานหว่านที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานแล้ว
“ศิษย์พี่ ท่านตื่นแล้ว!” เด็กหญิงสบตากับมู่ไป๋ไป่พร้อมกับอุทานเสียงดัง
หญิงสาวรู้สึกขบขันกับท่าทางของอีกฝ่าย “ข้าเพิ่งงีบหลับไปได้ไม่นาน เจ้าร้องไห้เสียงดังขนาดนี้ข้าต้องตื่นอยู่แล้ว ถ้าคนที่ไม่รู้ผ่านมาเห็นคงจะคิดว่าข้าเป็นโรคร้ายใกล้ตายเสียแล้ว”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 236
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น