ตอนที่ 912 ไม่ทำลายไม่ก่อกำเนิด
ตอนที่ 912 ไม่ทำลายไม่ก่อกำเนิด
เซี่ยเฟยเบิกตากว้างขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่ออัลฟ่าได้บอกว่าเขารู้จักยานอาร์คเป็นอย่างดี
ตัวตนที่แท้จริงของอัลฟ่าคือลินนิจผู้ซึ่งเป็นราชาของเผ่าจักรกล วิญญาณตนนี้ถือว่าเป็นตัวตนที่ลึกลับอย่างแท้จริง เพราะแม้แต่โซฟีก็ยังไม่รู้ว่าบิดาผู้สร้างเธอขึ้นมามีต้นกำเนิดมาจากไหนกันแน่
“คุณพอจะบอกหน่อยได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับอาร์ค ตำนานเล่าว่าอาร์คเดินทางมาจากอีกฟากของประตูจักรวาลและนำพาชีวิตมาให้พวกเรา ตำนานพวกนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?” เซี่ยเฟยถามอย่างเร่งรีบ
“นายมั่นใจไหมว่าจะพาฉันออกไปได้?” อัลฟ่าถามคำถามใหม่โดยยังไม่ตอบคำถามแรก
“ผมวางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับว่าผมจะเข้าถึงตัวของคุณได้เมื่อไหร่ ตราบใดก็ตามที่ผมเข้าถึงตัวคุณได้เมื่อนั้นเราก็จะหนีออกไปทันที” เซี่ยเฟยตอบกลับ
เซี่ยเฟยเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนอย่างแท้จริง ซึ่งเขาได้สรุปเหตุการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ มาแล้วเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อประกอบกับความช่วยเหลือจากตระกูลสกายวิง เขาจึงมีความมั่นใจว่าเขาจะสามารถช่วยลินนิจออกมาได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะหาตำแหน่งของอีกฝ่ายเจอเมื่อไหร่ก็เท่านั้นเอง
ขณะเดียวกันถึงแม้อัลฟ่าจะสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนใหญ่ของดินแดนเทพได้ แต่เขากลับไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เซี่ยเฟยจึงจำเป็นจะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อเข้าใกล้ราชาของเผ่าจักรกลคนนี้ให้ได้
“ถ้านายมั่นใจขนาดนั้นนายก็มารอฟังคำตอบจากปากฉันเถอะ เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วทางคณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ให้นายเข้าร่วมกับทีมวิจัยลับ แต่ฉันขอเตือนนายเอาไว้ตอนนี้เลยว่าทีมวิจัยลับของบริษัทอาจจะแตกต่างไปจากสิ่งที่นายเคยจินตนาการเอาไว้” อัลฟ่าส่งข้อความออกมาหลังจากที่เขาหายไปสักพัก
เซี่ยเฟยชะงักค้างไปเล็กน้อย เพราะเขาไม่คิดว่าทางคณะกรรมการจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วขนาดนี้ แต่มุมปากของเขาก็ยกรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เนื่องมาจากว่าเขาสามารถทำความเข้าใจเรื่องทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว
เหตุผลที่ทางคณะกรรมการรีบดึงตัวเขาเข้าสู่ทีมวิจัยลับย่อมไม่ใช่เรื่องอื่นเลยนอกเสียจากเรื่องที่เขาพึ่งใช้คะแนนแลกสมบัติของบริษัทออกมา สิ่งที่พวกคณะกรรมการรู้สึกกลัวที่สุดในเวลานี้ย่อมเป็นเรื่องที่พวกเขาจะสูญเสียสมบัติของตัวเองออกไป
“เอาล่ะพวกเรามาทำข้อตกลงกันเถอะ เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมพาคุณออกจากบริษัทฟิกส์ได้สำเร็จ ตอนนั้นคุณจะต้องบอกผมทุกอย่างในสิ่งที่คุณรู้” เซี่ยเฟยพิมพ์
“ตกลง”
—
ในระหว่างที่เซี่ยเฟยรอคำสั่งย้ายตัว เขาก็ได้หยิบวิชามนตราอสูรฉบับดั้งเดิมและรูปมิสเทอรีมูนขึ้นมาพิจารณา
ระหว่างการเดินทางชายหนุ่มได้รวบรวมสมบัติมาไว้ในครอบครองอย่างมากมาย แต่สองสิ่งนี้คือสมบัติที่แตกต่างจากสมบัติชิ้นอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง เพราะเขายังไม่สามารถทำความเข้าใจพวกมันได้แม้ว่าเขาจะได้ครอบครองพวกมันเอาไว้ภายในมือก็ตาม
ในกรณีของวิชามนตราอสูรฉบับดั้งเดิมมีข้อแม้ของการเรียนรู้ คือเขาจำเป็นจะต้องละทิ้งความรู้ในก่อนหน้านี้ไปทั้งหมดและเริ่มต้นทำการฝึกฝนใหม่ มันจึงทำให้เขารู้สึกลังเลใจขึ้นมาอยู่บ้าง
ขณะเดียวกันรูปมิสเทอรีมูนก็เป็นมรดกจากเทพนักประดิษฐ์ หากใครสามารถตีความรูปภาพปริศนารูปนี้ได้ พวกเขาก็จะกลายเป็นนักประดิษฐ์ชั้นยอดคนต่อไปของจักรวาล น่าเสียดายที่รูปภาพนี้มีความลึกซึ้งมากเกินไป มันจึงทำให้เขายังไม่สามารถที่จะตีความรูปภาพปริศนารูปนี้ได้เลย
“ทำไมนายถึงไม่ฝึกวิชามนตราอสูรล่ะ? วิชานี้มันดูเป็นวิชาที่ดีมากเลยนะ” จู่ ๆ อัลฟ่าก็ส่งข้อความมาอย่างกะทันหัน
“คุณคิดว่าผมไม่อยากฝึกมันเหรอ แต่ถ้าหากว่าผมต้องการจะเริ่มฝึกฝนวิชานี้ผมจำเป็นจะต้องลืมวิชาเดิมที่ผมเคยฝึกมาก่อน การสูญเสียสิ่งเดิมไปโดยยังไม่ได้รับสิ่งใหม่มาถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก ผมเลยตั้งใจจะศึกษาบันทึกนี้ให้ละเอียดถี่ถ้วนซะก่อนแล้วค่อยเริ่มฝึกในวันที่ผมมีความมั่นใจแล้ว” เซี่ยเฟยตอบกลับ
“ฉันจะบอกอะไรนายให้นะว่าเรื่องบางเรื่องถ้าไม่ทำลายมันก็ไม่ก่อกำเนิด” อัลฟ่าให้คำแนะนำ
“ถ้าไม่ทำลายก็ไม่ก่อกำเนิด!?”
“ใช่ การเติบโตคือการที่ร่างกายกำจัดเซลล์เก่าและผลิตเซลล์ใหม่เพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ สัจธรรมนี้จึงถือว่าเป็นสัจธรรมสำคัญในทุก ๆ เรื่องของจักรวาล” อัลฟ่าเน้นย้ำ
ในความเป็นจริงเซี่ยเฟยก็เป็นเหมือนกับผู้คนมากมายในจักรวาลแห่งนี้ที่ยังคงยึดติดกับสิ่งเก่า ๆ ยกตัวอย่างเช่น หิมะโปรย ที่ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้มันแล้ว แต่เขาก็ยังคงเก็บมันเอาไว้ภายในแหวนมิติเพียงเพราะว่าเขาเสียดายหากจะต้องทิ้งมันไป
คำพูดของอัลฟ่าทำให้แววตาของชายหนุ่มเปล่งประกาย เพราะเพื่อให้ตัวเขาก้าวข้ามตัวเองในวันนี้ไปให้ได้ ความรู้ความเข้าใจอะไรที่เคยผิดพลาดไปมันก็ต้องถูกกำจัดไปด้วยเช่นเดียวกัน
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่าผมทำลายเพื่อให้ก่อกำเนิดใหม่ขึ้นอีกครั้ง?” เซี่ยเฟยถาม
“นายก็จะเกิดการพัฒนาไร้ที่สิ้นสุด ยิ่งนายทำลายไปมากเท่าไหร่นายก็ยิ่งเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น” อัลฟ่าตอบ
ใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความตื่นเต้น ซึ่งข้อความของอัลฟ่าก็เป็นเหมือนกับการถือกำเนิดใหม่ของนกฟีนิกซ์ที่มันสามารถเกิดขึ้นมาได้จากกองขี้เถ้าของตัวเอง คำพูดวลีนี้จึงโดนใจเซี่ยเฟยอย่างแท้จริง
“ตอนนี้คณะกรรมการกำลังพูดคุยขั้นตอนสุดท้ายกันอยู่ ระหว่างนี้ฉันพอจะช่วยให้นายฝึกวิชามนตราอสูรได้” อัลฟ่าส่งข้อความมาอย่างมั่นใจ
ถ้าไม่ทำลายก็ไม่ก่อกำเนิด!
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งชายหนุ่มก็ทำการลบข้อมูลวิชามนตราอสูรทั้งหมดภายในสมองของตัวเองออกไป
ครั้งหนึ่งโอโร่เคยบอกเซี่ยเฟยว่าแก่นแท้ของการใช้พลังกฎคือการหลอมรวมพลังกฎเข้ากับร่างกายของตัวเอง ครั้งนี้อัลฟ่าก็ได้มาบอกเขาอีกว่าถ้าหากเขาต้องการจะทะลวงขีดจำกัดของตัวเอง เขาก็ต้องมีความกล้าในการทำลายสิ่งเดิม ๆ ของตัวเองทิ้งไปซะก่อน
ชายหนุ่มต้องใช้เวลาในการเรียนรู้วิชามนตราอสูรเป็นเวลาหลายปี แต่เขากลับสามารถทำลายวิชาทิ้งไปภายในพริบตาเดียว ทำให้ตอนนี้เขาไม่สามารถใช้พลังที่เกี่ยวกับวิชามนตราอสูรได้อีกต่อไป
การตัดสินใจในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่บ้าระห่ำมาก และทั่วทั้งจักรวาลมันก็คงจะมีคนเพียงไม่กี่คนที่สามารถลบวิชาดั้งเดิมของตัวเองทิ้งอย่างเด็ดขาดเหมือนเซี่ยเฟยได้
“ดีมาก” อัลฟ่าส่งข้อความมาอย่างชื่นชม เพราะแม้แต่ตัวเขาก็ไม่คาดคิดว่าเซี่ยเฟยจะมีความเด็ดขาดจนถึงระดับนี้
“เอาล่ะ พวกเรามาเริ่มกันเถอะ”
—
ช่วงเวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าลินนิจเป็นบุคคลที่น่าทึ่งมาก เพราะเขาไม่เพียงแต่จะมีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เขายังมีความเชี่ยวชาญในเรื่องต่าง ๆ อย่างมากมาย รวมถึงความสามารถในการตีความวิชามนตราอสูรฉบับดั้งเดิม และทำการสนับสนุนเซี่ยเฟยผู้ซึ่งเป็นคนบ้าที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่น
ซึ่งด้วยการประสานงานกันระหว่างทั้งสองนี่เอง มันจึงทำให้ความเร็วในการฝึกมีความคืบหน้าอย่างบ้าคลั่ง และในที่สุดชายหนุ่มก็ได้ตระหนักว่านี่คือผลลัพธ์ของการทำลายแล้วสร้างใหม่
ตอนแรกเขาคิดว่าการฝึกฝนจะเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ความเป็นจริงมันกลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้เลย ท้ายที่สุดเขาก็มีรากฐานอันมั่นคง การต่อยอดด้วยวิชาที่สูงขึ้นจึงไม่ได้กลายเป็นอุปสรรคอย่างที่ควรจะเป็น
ในเวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมงวิชามนตราอสูรขั้นแรกจาก 3 ขั้นก็ถูกชายหนุ่มฝึกฝนจนสำเร็จ
เนตรมนตรา!
เซี่ยเฟยทดลองใช้วิชาเดิมด้วยวิธีใหม่จนทำให้พลังอันรุนแรงระเบิดออกมาจากรูม่านตาของเขา
การใช้พลังออกมาในครั้งนี้ทรงพลังกว่าครั้งก่อนมาก แล้วมันก็มีพลังที่ทำให้แม้แต่อสูรเทวะก็ต้องยอมจำนน
พินิจใจ!
คลื่นพายุจิตวิญญาณที่มองไม่เห็นพัดโหมกระหน่ำผ่านทุกสิ่ง ทำให้ชายหนุ่มสามารถอ่านความคิดอันลึกซึ้งภายในจิตใจสัตว์อสูรได้ทั้งหมดและเข้าใจในสิ่งที่พวกมันต้องการ ไม่ว่าสัตว์อสูรตนนั้นจะมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหนก็ตาม
“ทรงพลังมาก! ไม่น่าเชื่อเลยว่าแค่วิชามนตราอสูรฉบับดั้งเดิมขั้นแรก มันก็แข็งแกร่งกว่าวิชาดัดแปลงทั้งหกขั้นที่ฉันเคยเรียนมาในก่อนหน้านี้ นี่สินะการทำลายแล้วสร้างใหม่พวกเรามาเริ่มฝึกกันต่อไปเลยดีกว่า!” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“นายไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก วันหนึ่งนายย่อมบรรลุวิชาระดับที่ 3 ได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้พวกคณะกรรมการพูดคุยรายละเอียดกันจะจบแล้ว นายควรเตรียมตัวก่อนที่พวกคณะกรรมการจะไปหานาย” อัลฟ่าเบรกความฮึกเหิมของชายหนุ่มเอาไว้ก่อน
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะในตอนนี้เขากำลังจะได้รับโอกาสเข้าถึงเป้าหมายแล้ว เขาจึงควรไปเตรียมตัวเพื่อดำเนินการตามแผนการอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ทำการส่งสัญญาณลับเพื่อให้สมาชิกของตระกูลเดินทางเข้ามาภายในสาขาอิสระ
แวบ!
ประตูมิติเปิดออกอย่างช้า ๆ ก่อนที่เซี่ยกวงไห่จะปรากฏตัวขึ้นมา โดยเขาสวมใส่ชุดเกราะเต็มตัวสีดำและมีขวานขนาดใหญ่สะพายอยู่ด้านหลัง
“ไม่มีใครสังเกตเห็นคุณใช่ไหม?” เซี่ยเฟยถาม
“ไม่ต้องห่วง ฉันใช้เข็มทิศมิติของคนอื่น ถ้าหากพวกมันจะตามเบาะแสคนที่ถูกตามก็ไม่ใช่ฉัน” เซี่ยกวงไห่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนที่เขาจะมอบขนอุยและอาวุธอุปกรณ์ทั้งหมดให้กับเซี่ยกวงไห่รวมถึงบลัดบิวเทียสของเขาด้วย
เพื่อเป็นการตบตาชายหนุ่มได้ใส่เพียงแค่ของที่เขาแลกเปลี่ยนมาภายในแหวนมิติเท่านั้น แล้วแหวนวงนี้ก็เป็นเพียงแค่แหวนธรรมดาที่เขาได้รับมาหลังจากสังหารผู้คนไปมากมาย
ขนอุยคล้ายกับไม่อยากจะจากเจ้านายของมันไป มันจึงหันกลับมามองเซี่ยเฟยด้วยน้ำตา
“ไม่คิดจะเก็บอะไรเอาไว้จริง ๆ เหรอ?” เซี่ยกวงไห่กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ผมกำลังจะเข้าไปในสถานที่ที่ลึกลับที่สุดของบริษัทฟิกส์ ผมไม่อยากให้มันมีอะไรผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย แต่คุณไม่ต้องห่วงผมยังมีหงส์ครามติดตัวผมอยู่ตลอด นอกจากนี้ถึงแม้ผมจะไม่มีอาวุธภายนอกจริง ๆ แต่ตัวผมก็เป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดที่ผมมีอยู่แล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นายนี่สมกับเป็นหมาป่าเดียวดายของตระกูลเราจริง ๆ” เซี่ยกวงไห่กล่าวพร้อมกับหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยในเรื่องรายละเอียดของแผนการ ก่อนที่เซี่ยกวงไห่จะเปิดเข็มทิศมิติและจากไป
“ไม่ต้องห่วง พวกเราจะคอยช่วยนายจัดการกับเรื่องนี้เอง” เซี่ยกวงไห่กล่าวทิ้งท้ายก่อนที่ประตูมิติจะปิดลงไป
ตระกูลสกายวิงให้การสนับสนุนเซี่ยเฟยมาโดยตลอด และมันก็ทำให้เขาเพิ่งตระหนักถึงความสำคัญของคำว่าทีมก็ในตอนที่เขาเข้าร่วมกับตระกูลนี้นี่เอง ซึ่งด้วยแรงสนับสนุนจากผู้คนที่เขาเชื่อใจได้แบบนี้นี่เองไม่ว่าจะให้เขาไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหนเขาก็ไปได้ทั้งนั้น
จากนั้นชายหนุ่มก็ออกไปนั่งเล่นกินของว่างพร้อม ๆ กับพูดคุยรายละเอียดกับฟลินน์ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะอธิบายแผนการออกไปแล้ว ชายชราคนนี้ก็ยังคงแสดงท่าทางออกมาอย่างกังวลและหันไปมองพื้นที่บริเวณโดยรอบเป็นครั้งคราว
ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงกริ่งที่ประตูก็ดังขึ้น ซึ่งมันเป็นสัญญาณว่าพวกเขาจะถูกเชิญชวนไปยังทีมวิจัยลับแล้ว
***************
ทีมวิจัยลับจะเป็นยังไงกันแน่นะ?
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 414
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น