ตอนที่ 869 มรดกชุดสุดท้าย
ตอนที่ 869 มรดกชุดสุดท้าย
ในอดีตโอโร่มักจะพูดให้เซี่ยเฟยสังหารเขาซ้ำ ๆ แต่เมื่อมันมีคำสั่งดึงตัวชายหนุ่มขึ้นสู่เผ่าเทพจริง ๆ อดีตจอมมารคนนี้กลับดูเงียบขรึมมากกว่าปกติ
“เลือกได้หรือยังว่าคุณอยากตายยังไง?” เซี่ยเฟยถามด้วยรอยยิ้ม ซึ่งความโกรธในก่อนหน้านี้ได้เลือนหายไปแล้ว เพราะข่าวเรื่องการถูกดึงตัวขึ้นสู่เผ่าเทพทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
“ตราบใดก็ตามที่นายไม่ใช้บลัดบิวเทียส นายจะฆ่าฉันด้วยวิธีไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ” โอโร่ตอบ
“ผมล่ะเสียดายร่างกายของคุณจริง ๆ ผมพอจะใช้บลัดบิวเทียสดูดพลังงานมาจากคุณสักครึ่งหนึ่งแล้วค่อยฆ่าคุณทีหลังได้ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างน่ากลัว
ตอนแรกโอโร่ค่อนข้างสงบ แต่เมื่อเขาได้ยินวิธีการจากเซี่ยเฟยเขาก็แทบที่จะกระโดดออกมาจากโลงน้ำแข็ง
“นายจะใจร้ายเกินไปแล้ว! นี่นายคิดแม้กระทั่งจะดูดพลังงานไปจากฉันเชียวเหรอ?!” โอโร่อุทานขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก
“ใจเย็น ๆ ผมแค่ล้อเล่น แต่ก่อนหน้านั้นผมขอไปจัดการเรื่องในธนาคารก่อน แล้วหลังจากนั้นผมค่อยหาวิธีฆ่าคุณก็แล้วกัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
โอโร่เผยรอยยิ้มออกมาอย่างยินดี เพราะหลังจากนี้อีกเพียงแค่ไม่กี่วันเขาก็จะได้รับอิสรภาพที่รอคอยมาอย่างยาวนานแล้ว
—
ประตูมิติถูกเปิดออกก่อนที่เซี่ยเฟยจะนำพาเซียวรั่วหยูเข้ามาในคฤหาสน์ฮาฟมูนวิลล่า
“ฉันก็ว่าทำไมนายถึงทำตัวเฉไฉตอนที่ฉันพูดถึงนิโคล ที่แท้นายก็ซ่อนสาวน้อยแสนสวยแบบนี้เอาไว้นี่เอง” แอวริลหรี่ตามองคนรักอย่างชั่วร้าย หลังจากที่เธอได้เห็นเซียวรั่วหยูเดินทางมาพร้อมกับชายหนุ่ม
เซียวรั่วหยูถูกลักพาตัวจากดาวโลกตั้งแต่อายุยังน้อย และเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่มีเพียงแต่หญิงสาว เมื่อเธอได้ยินแอวริลแซวขึ้นมาแบบนี้ ใบหน้าของเธอจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เธอจะก้มศีรษะลงโดยไม่พูดอะไร
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย เธอคือเซียวรั่วหยูน้องสาวของพวกเราเอง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับรีบเข้าไปกอดคนรักเอาไว้
เมื่อได้ยินว่าหญิงสาวคนนี้ชื่อเซียวรั่วหยู ท่าทางของแอวริลก็เปลี่ยนไปในทันที เพราะเซี่ยเฟยเคยเล่าเรื่องเด็กสาวคนนี้ให้เธอฟังมากกว่า 1 ครั้ง เธอจึงรู้ดีว่าเรื่องของเซียวรั่วหยูคือเรื่องใหญ่สำหรับเซี่ยเฟยมากแค่ไหน
“น้องเสี่ยวหยู ฉันขอโทษ” แอวริลจับมือเซียวรั่วหยูไว้พร้อมกับกล่าวขอโทษออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เซียวรั่วหยูถูกลักพาตัวไปตั้งแต่อายุยังน้อย แสดงว่าเธอจะต้องทนกับความทุกข์ทรมานมาเป็นเวลานานอย่างแน่นอน แอวริลจึงแสดงความเอาใจใส่หญิงสาวคนนี้เป็นอย่างมาก ก่อนที่จะชวนเซียวรั่วหยูพูดคุยอย่างเป็นกันเอง
“พวกเรากลับโลกกันก่อนเถอะ เธอคงจะต้องคิดถึงครอบครัวของเธอมากแน่ ๆ” เซี่ยเฟยกล่าว
“นั่นสิ พวกเราไปส่งน้องเสี่ยวหยูกลับบ้านกันเถอะ” แอวริลกล่าวอย่างเร่งรีบ
—
โลกไม่ได้เป็นเพียงแค่บ้านเกิดของเซียวรั่วหยูเท่านั้น แต่มันยังเป็นบ้านเกิดของเซี่ยเฟยอีกด้วย แม้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มจะกลายเป็นสมาชิกของตระกูลสกายวิงแล้ว แต่บ้านเพียงแห่งเดียวภายในใจของเขาก็คือดาวโลกที่เขาเติบโตขึ้นมา
เหตุผลแรกที่ชายหนุ่มกลับมายังโลกคือพาเซียวรั่วหยูมาส่งบ้าน ส่วนประการที่ 2 คือเขาคิดถึงบ้านหลังนี้ของเขามาก เพราะเขาจากโลกไปเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็มีเวลากลับมาเยี่ยมบ้านเกิดอย่างสบายใจสักที
การเดินทางด้วยประตูมิติเป็นการเดินทางที่เร็วมาก ในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตาทั้งสามก็เดินทางมาถึงโลกแล้ว
เซียวรั่วหยูยังคงรู้สึกกังวลใจอยู่เล็กน้อย เพราะโลกในปัจจุบันแตกต่างจากโลกที่เธอรู้จักอย่างลิบลับ ถนนหนทางถูกขยายออกอย่างกว้างขวาง แม้แต่ภายในเมืองก็ถูกประดับประดาไปด้วยต้นไม้สีเขียวขจี ส่วนบรรยากาศภายในเมืองก็สดชื่นปราศจากร่องรอยของมลพิษ
ครั้งหนึ่งดาวโลกเคยล้าหลังดาวดวงอื่น ๆ ภายในพันธมิตรมาก แต่หลังจากเซี่ยเฟยมีคำสั่งให้ปรับปรุงดาวโลกครั้งใหญ่ ในทุกวันนี้ดาวโลกก็กลายเป็นดวงดาวที่แม้แต่คนในกลุ่มดาวนครหลวงก็ยังต้องมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา เพราะแม้แต่ดาวหลักของกลุ่มดาวนครหลวงก็ยังมีความสวยงามน้อยกว่าดาวโลก
ยิ่งไปกว่านั้นบ้านของเซียวรั่วที่หยู่ในเมืองหางโจวยังถูกตกแต่งเป็นอย่างดี จนทำให้คฤหาสน์หลังนี้ให้ความรู้สึกราวกับสวนในเทพนิยาย
เซียวรั่วหยูกล่าวขอบคุณเซี่ยเฟยซ้ำ ๆ ที่เขาคอยดูแลครอบครัวของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมา แล้วเธอก็บอกกับเขาว่าเธอจะอยู่คฤหาสน์ฮาฟมูนวิลล่าหลังจากได้พักอยู่ที่บ้านสักพักหนึ่ง
เซี่ยเฟยรู้ดีว่าเซียวรั่วหยูต้องการที่จะคอยอยู่ปกป้องแอวริลแทนเขา แต่เขาก็ไม่ได้มีความคิดจะคัดค้านในเรื่องนี้ แล้วแอวริลกับเซียวรั่วหยูก็ดูจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ส่วนใหญ่เขายังมักจะเดินทางไปข้างนอก การที่เซียวรั่วหยูมาอยู่กับแอวริลมันก็จะยิ่งทำให้เขารู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น
—
ช่วงเวลาดี ๆ มักจะผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ในพริบตาวันเวลาก็ได้ผ่านพ้นไปนานถึงสามวันแล้ว นอกจากที่เซี่ยเฟยคอยพาแอวริลไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ เขายังได้เดินทางไปยังดินแดนลับเพื่อสอบถามเรื่องการวิจัยของอันธและโซฟีอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไปแจ้งโซฟีว่าเขากำลังจะเดินทางไปยังเผ่าเทพและจะพยายามสืบหาข่าวของลินนิจให้ได้มากที่สุด
ณ ธนาคารฟารซี
หลังจากตรวจสอบคำสั่งดึงตัวของเซี่ยเฟยแล้ว เจ้าหน้าที่ธนาคารก็รู้สึกตกตะลึงจนพูดไม่ออก เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้เห็นคำสั่งดึงตัวโดยตรงจากราชวังราชันย์เทพ
ภายในห้องรับรองซุปเปอร์วีไอพี พนักงานได้นำกล่องเล็ก ๆ เข้ามามอบให้เซี่ยเฟยด้วยความเคารพ ก่อนที่เขาจะเดินจากไปอย่างนอบน้อม
“ในที่สุดฉันก็จะได้รับมรดกชุดสุดท้ายจากชาวแอตแลนติสสักที” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มันจะต้องเป็นสมบัติชิ้นใหญ่มากแน่ ๆ เพราะสมบัติชุดนี้คือสมบัติชุดสุดท้ายที่ตระกูลนั้นได้ฝากเอาไว้ในธนาคารแล้ว” โอโร่กล่าว
กล่องที่เขาได้รับมาเป็นกล่องเล็ก ๆ ที่มีขนาดเพียงแค่ครึ่งตารางเมตร เซี่ยเฟยจึงกดปุ่มเพื่อเปิดกล่อง ก่อนที่จะได้เห็นว่าด้านในมีของอยู่เพียงแค่ 3 สิ่งคือแหวน, หนังสือโบราณและม้วนคัมภีร์
เซี่ยเฟยเลือกหยิบหนังสือโบราณเล่มหนาขึ้นมาตรวจสอบก่อน โดยหนังสือเล่มนี้ได้ครอบครองพื้นที่กว่า 90% ของกล่องทั้งหมด
เมื่อได้เห็นตัวอักษรบนหนังสือ ชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เพราะของสิ่งนี้ไม่ใช่ของอะไรอื่นนอกเสียจากบันทึกวิชา 3 ขั้นสุดท้ายของวิชามนตราอสูรที่เขาพยายามตามหามาเป็นเวลานานแล้ว
วิชามนตราอสูรเป็นหนึ่งในไพ่ลับที่ช่วยค้ำจุนเขามาเป็นเวลานานมาก เพราะถ้าหากว่าไม่มีวิชานี้ เขาย่อมไม่สามารถทำให้ขนอุยมาทำพันธสัญญากับเขาได้
“ในที่สุดฉันก็หามันเจอสักที” เซี่ยเฟยยกหนังสือขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะเก็บมันไว้ในแหวนมิติอย่างทะนุถนอม ไม่ว่ายังไงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ฝึกซ้อม มันคงจะไม่ได้สายเกินไปถ้าหากว่าเขาจะเริ่มเรียนรู้วิชาส่วนที่เหลือหลังจากที่เขาได้ขึ้นไปยังเผ่าเทพ
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็หยิบแหวนมิติขึ้นมาตรวจสอบ ก่อนที่เขาจะได้พบว่าด้านในแหวนมิติเต็มไปด้วยคริสตัลสีฟ้า
“คริสตัลต้นกำเนิดระดับ 6!!” เซี่ยเฟยสะดุ้งขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก่อนที่เขาจะเริ่มนับจำนวนคริสตัลอย่างรวดเร็ว
“100,000!! 100,000 คริสตัลฟ้าตอนนี้ฉันรวยแล้ว!” เซี่ยเฟยตะโกนออกมาอย่างดีใจ
“เงินพวกนี้มาได้ทันเวลาดีจริง ๆ อย่างน้อยหลังจากขึ้นไปในเผ่าเทพนายก็จะมีเงินคอยจับจ่ายใช้สอยได้อย่างไม่ลำบากมากนัก”
“พวกชาวแอตแลนติสค่อนข้างที่จะใจกว้างจริง ๆ ที่ทิ้งมรดกชิ้นใหญ่ขนาดนี้เอาไว้ให้กับผู้สืบทอดของตัวเอง น่าเสียดายที่พวกเขาคงจะไม่รู้ว่าท้ายที่สุดมรดกทั้งหมดจะได้มาตกอยู่ในมือของนาย” โอโร่กล่าวพร้อมกับพยักหน้า
เซี่ยเฟยทำการโอนย้ายคริสตัลต้นกำเนิดระดับ 6 ทั้งหมดมาไว้ในแหวนมิติของเขา เพราะแหวนมิติของชาวแอตแลนติกมีขนาดเล็กมาก ดังนั้นนอกเหนือจากคริสตัลต้นกำเนิดภายในแหวนแล้ว ตัวแหวนก็ไม่ได้มีค่าใด ๆ สำหรับเขาเลย
“ลองดูม้วนคัมภีร์อันนั้นเถอะ ฉันรู้สึกว่าในบรรดาของทั้งหมดม้วนคัมภีร์นี้น่าจะสำคัญที่สุด” โอโร่กล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับ ก่อนที่เขาจะหยิบม้วนคัมภีร์ขึ้นมาเปิดบนโต๊ะ
ภาพที่เขาเห็นคือม้วนคัมภีร์ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนหนึ่งคือข้อความและอีกส่วนหนึ่งคือแผนที่
ทั้งเซี่ยเฟยและโอโร่อ่านเนื้อหาทั้งหมดในเวลาเพียงแค่ไม่นาน ก่อนที่พวกเขาจะถอนหายใจออกมาพร้อม ๆ กัน
“ที่แท้วิชามนตราอสูรก็เป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากสมัยโบราณเหมือนกับอาวุธมายาที่ตระกูลแอตแลนติสได้รับมาในระหว่างการผจญภัยนี่เอง” เซี่ยเฟยกล่าว
“ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาครอบครองวิชามนตราอสูร ตระกูลของพวกเขาก็คงไม่ล่มสลายเร็วขนาดนี้ ดูเหมือนว่าจุดประสงค์ของศัตรูคือการแย่งชิงวิชานี้ไปสินะ” โอโร่กล่าว
“แปลกมาก ทำไมชาวแอตแลนติสถึงบอกว่าไม่มีใครสามารถฝึกฝนวิชามนตราอสูร 3 ขั้นสุดท้ายได้ ทั้ง ๆ ที่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันยากขนาดนั้น?” เซี่ยเฟยกล่าว
“ในคัมภีร์ก็บอกเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่าวิชามนตราอสูรที่แท้จริงมีเพียงแค่ 3 ขั้นเท่านั้น วิชา 6 ขั้นแรกที่นายฝึกฝนเป็นเพียงวิชาที่เกิดจากการดัดแปลงวิชาที่แท้จริง หากนายต้องไปฝึกวิชาดั้งเดิมโดยตรง บางทีมันอาจจะมีอุปสรรคมากกว่านี้ก็ได้” โอโร่กล่าว
เซี่ยเฟยก้มหน้าลงโดยไม่พูดอะไร เพราะม้วนคัมภีร์นี้เป็นแค่การบอกเล่าผ่านตัวอักษรเท่านั้น เขาจะค้นพบความจริงได้ก็ต่อเมื่อเขาได้ลองฝึกฝนวิชามนตราอสูรที่แท้จริงด้วยตัวเอง
“สำหรับแผนที่ที่อยู่ในม้วนคัมภีร์คือสถานที่ที่ชาวแอตแลนติสค้นพบวิชามนตราอสูร โดยมันเป็นพื้นที่ที่เรียกว่ามัดดี้ ซึ่งเป็นพื้นที่มิติอันวุ่นวายและมีอันตรายเป็นอย่างมาก”
“ฉันเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมัดดี้มาก่อน มันเป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลจากดินแดนของทั้งสองเผ่าสูงสุดมาก ว่ากันว่ามันคือนรกสำหรับนักผจญภัย นายคงไม่คิดจะเดินทางไปที่มัดดี้อยู่ใช่ไหม?” โอโร่กล่าวถาม
เซี่ยเฟยเป็นคนที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่เสมอ เมื่อได้มีแผนที่มัดดี้อยู่ในมือ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชายหนุ่มคนนี้อยากจะลองไปสำรวจสถานที่แห่งนั้นดู
“ถ้าผมมีโอกาสผมก็คงจะลองไปดู แต่ตอนนี้ผมต้องรีบกลับไปรายงานตัวที่เผ่าเทพ” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พวกเราไปหาที่ที่สงบกันเถอะ ถึงเวลาที่ผมจะต้องฆ่าคุณแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
คำพูดนี้ทำให้โอโร่ตกใจมากและความอิสระที่เขาเฝ้ารอมานาน มันก็ทำให้เขาตื่นเต้นจนแทบจะพูดไม่ออก
“หลังจากวันนี้ไปพวกเราก็คงจะกลายเป็นศัตรูกันสินะ” โอโร่กล่าวขึ้นมาอย่างแผ่วเบา เพราะในช่วงนี้มีข่าวลือเกิดขึ้นอย่างมากมายว่าสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว บางทีเขากับเซี่ยเฟยอาจจะต้องเผชิญหน้ากันในสนามรบก็ได้ และเมื่อนั้นพวกเขาก็ต้องเป็นศัตรูกันโดยไม่มีข้อยกเว้น
“ผมคิดว่าในท้ายที่สุดพวกเราก็ยังคงเป็นสหายที่ดีต่อกันเหมือนเดิม” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้นล่ะ?” โอโร่ถามด้วยความสับสน แต่เมื่อเขาได้เห็นรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่ม มันก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เซี่ยเฟยเผยรอยยิ้มออกมาแบบนี้ มันก็มักจะมีใครบางคนโชคร้ายอยู่เสมอ
***************
คำพูดพี่เฟยหมายความว่ายังไง? หรือรู้อนาคตได้?


แสดงความคิดเห็น