ตอนที่ 811 ปลดปล่อยจิตอสูร

-A A +A

ตอนที่ 811 ปลดปล่อยจิตอสูร

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 811 ปลดปล่อยจิตอสูร

“เซี่ยเฟย ฉันคิดว่าเขากำลังพยายามปลุกจิตอสูรภายในตัวของนายออกมา” โอโร่กล่าวพร้อมกับกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่

ก่อนที่ชายหนุ่มจะมีเวลาทำความเข้าใจว่าโอโร่กำลังพยายามจะสื่อสารอะไร ปีศาจเสมือนนับหมื่นตัวก็เริ่มจู่โจมเข้าใส่เขาในทันที

เซี่ยเฟยส่งเสียงร้องคำรามกระโจนเข้าไปท่ามกลางดงของศัตรู ซึ่งในระหว่างนั้นเขาก็พยายามถักทออักขระกฎขึ้นมาในระหว่างการต่อสู้ด้วยเช่นกัน

“ทำไมพวกมันถึงเป็นแบบนี้?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตกตะลึง เพราะรูปร่างภายนอกของพวกมันไม่เพียงแต่จะดูเหมือนปีศาจเท่านั้น แต่การกระทำของพวกมันยังมีความเลือดเย็นชนิดที่เขาไม่เคยจินตนาการถึงอีกด้วย

พวกปีศาจมักจะรวมกลุ่มกันโจมตีและใช้ซากศพของพวกพ้องเป็นที่กำบัง ซึ่งวิธีการแบบนี้หาพบได้ยากมาก โดยเฉพาะในการเผชิญหน้ากับกลุ่มนักรบของเผ่าพันธุ์ที่มีอารยธรรม

เพื่อจัดการกับปีศาจบ้า ๆ พวกนี้ เซี่ยเฟยไม่มีทางเลือกนอกเสียจากจะต้องทำตัวบ้ามากกว่าและโหดร้ายมากกว่าเท่านั้น ก่อนที่เขาจะเริ่มเปิดการสังหารโดยไม่เลือกหน้าและทำให้ทั่วทั้งพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยเลือด

ภายในสนามรบที่เต็มไปด้วยซากศพเช่นนี้ มันก็จะมีเพียงแต่นักรบที่มีจิตใจอันแน่วแน่เท่านั้นที่จะสามารถทนยืนอยู่ได้ เพราะหากนักรบคนใดมีจิตใจไม่แน่วแน่มากพอ พวกเขาก็อาจจะอาเจียนและหวาดกลัวภาพอันโหดร้ายเช่นนี้ได้ทุกเวลา การฝึกภายใต้สภาพแวดล้อมอันโหดร้ายเช่นนี้จึงถือว่าเป็นการฝึกฝนด้วยวิธีการบ้า ๆ อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตามภาพที่น่ากลัวพวกนี้กลับไม่สามารถบั่นทอนจิตใจของเซี่ยเฟยได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นว่าบริเวณมุมปากของเขายังได้ยกรอยยิ้มขึ้นมา ราวกับว่าการที่เขายิ่งสังหารศัตรูมากเท่าไหร่เขายิ่งรู้สึกพอใจมากเท่านั้น

“มันเป็นอย่างที่ฉันคิดเอาไว้เลย เซี่ยเฟยคือนักรบที่คลานออกมาจากขุมนรก จิตอสูรภายในร่างของเขาคือจิตอสูรชั้นยอดที่มีความบ้าคลั่งไม่น้อยไปกว่าจิตอสูรของฉันเลย” เซี่ยเทียนกล่าวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

เซี่ยเฟยค่อย ๆ ทำความเข้าใจได้ว่าวิธีการฝึกของสกายวิงคือการเพิ่มความระมัดระวังในระหว่างการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง เพราะมันมีเพียงผู้ที่ระแวดระวังในทุก ๆ ช่วงเวลาของสนามรบเท่านั้น จึงจะสามารถมีชีวิตรอดภายใต้สนามรบอันโหดร้ายเช่นนี้ได้

เมื่อฝึกมาจะถึงตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมสกายวิงถึงเลือกเซี่ยเทียนมาเป็นครูฝึกให้กับเขา เพราะถึงแม้ชายชราผู้สวมแว่นคนนี้จะไม่ใช่นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูล แต่เขาก็คือคนที่มีสภาวะจิตบ้าคลั่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงขนาดที่เขาจะต้องฝึกทำสมาธิเพื่อชะลอความรุนแรงสภาวะจิตที่บ้าคลั่งของเขาเอาไว้ด้วยซ้ำ

ในที่สุดการฝึกฝนในวันแรกก็จบลงด้วยการนองเลือด เซี่ยเฟยจึงค่อย ๆ เดินข้ามกองภูเขาซากศพเข้าไปหาเซี่ยเทียนด้วยแววตาที่เย็นชา

“วันแรกนายทำได้ดีมาก ตอนนี้นายเข้าใจแล้วหรือยังว่าทำไมนายถึงต้องฝึกฝนในสภาวะแบบนี้?” เซี่ยเทียนกล่าวถาม

“สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างก็มีปีศาจอยู่ภายในจิตใจของตัวเอง ผมคิดว่าวิธีการฝึกของสกายวิงคือการพยายามให้ผมปลดปล่อยปีศาจภายในใจของตัวเองออกมา เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการต่อสู้ให้ดีกว่าเดิม” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ

“นายพูดถูกแค่ครึ่งเดียว ใช่แล้ว ในจิตใจของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างก็ล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่เรียกว่าจิตอสูรอยู่ภายในจิตใจเป็นเรื่องปกติ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดเอาตัวรอดจากธรรมชาติอันโหดร้าย”

“แต่เมื่อมนุษย์พัฒนาความเจริญขึ้นมา จิตอสูรภายในใจของมนุษย์ทุกคนก็ถูกกักเก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ผู้คนจึงเริ่มสูญเสียสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดของตัวเองไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันก็ไม่เพียงแต่จะทำให้ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกเขาลดลงเท่านั้น แต่มันยังทำให้ผู้คนสูญเสียความมุ่งมั่นในระหว่างที่ต้องเผชิญหน้ากับสภาวะวิกฤตด้วย”

“การฝึกของสกายวิงคือการพยายามฟื้นฟูจิตอสูรภายในใจของทุกคนกลับมา แต่เป้าหมายของพวกเรามันไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่เท่านั้น เพราะพวกเราจำเป็นจะต้องเรียนรู้วิธีการปลดปล่อยจิตอสูรของตัวเองออกมาด้วย” 

“เป้าหมายของการฝึกฝนคือนายจะต้องสามารถควบคุมจิตอสูรของตัวเองได้ว่านายควรจะปลดปล่อยจิตอสูรออกมาเมื่อไหร่ และควรจะปิดกั้นจิตอสูรยังไงตอนที่นายไม่ต้องการจะใช้สัญชาตญาณดิบของตัวเองแล้ว”

“ฉันยอมรับว่าฉันค่อนข้างจะประหลาดใจมากที่ได้เห็นจิตอสูรภายในใจของนายในวันนี้ จิตอสูรของนายไม่ได้เป็นเพียงแค่จิตอสูรธรรมดา แต่มันคือจิตอสูรชั้นยอดที่มีความกระหายเลือดอย่างมาก นับตั้งแต่วันนี้ไปฉันจะช่วยให้นายดึงพลังของจิตอสูรออกมาให้ได้อย่างอิสระ และนายก็จำเป็นจะต้องเรียนรู้วิธีการควบคุมจิตอสูรของตัวเองด้วย”

“ไม่ว่ายังไงจิตอสูรก็เป็นทั้งสิ่งที่ทรงพลังและอันตรายในเวลาเดียวกัน หากนายสูญเสียการควบคุมตัวเองไป มันก็จะทำให้นายไม่สามารถใช้พลังของจิตอสูรออกมาได้อย่างเต็มที่ วิธีเดียวที่จะทำให้นายแสดงพลังออกมาได้แข็งแกร่งที่สุด คือนายต้องทั้งเรียกจิตอสูรออกมาและควบคุมสติสัมปชัญญะเอาไว้ให้ได้ในเวลาเดียวกัน” เซี่ยเทียนอธิบาย

คำอธิบายของเซี่ยเทียนมีความลึกซึ้งมากและมันก็เริ่มทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมตระกูลสกายวิงถึงมีฉายาเต็ม ๆ ว่าดาบคลั่งที่ถูกปิดผนึก เพราะท้ายที่สุดนักรบสกายวิงทุกคนต่างก็คงจะสามารถปลดปล่อยจิตอสูรออกมาได้ตลอดเวลา ซึ่งมันก็จะช่วยเพิ่มความบ้าคลั่งในระหว่างการต่อสู้ของทุกคนได้มากกว่าเดิม

ความเป็นจริงในอดีตเซี่ยเฟยก็เคยปลดปล่อยจิตอสูรของตัวเองออกมาด้วยเช่นกัน แต่เขาก็ไม่เคยที่จะควบคุมจิตอสูรของตัวเองได้เลย จิตอสูรของเขาจะออกมาช่วงเวลาสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่เขาถูกศัตรูบีบบังคับให้จนมุม และมันก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเขาขึ้นจากเดิมอีก 2-3 เท่าเลยทีเดียว

“สมแล้วที่นี่คือการฝึกฝนของสกายวิง เพราะเพียงแค่ขั้นตอนแรกในการฝึกฝนเขาก็ต้องการที่จะให้นายควบคุมจิตอสูรของตัวเองแล้ว” โอโร่กล่าวขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม

สิ่งที่โอโร่พูดออกมานั้นไม่ต่างไปจากความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะการฝึกฝนเริ่มปลุกจิตอสูรของเซี่ยเฟยมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้การต่อสู้ของชายหนุ่มดูมีความกระหายเลือดมากขึ้นกว่าเดิม

ภายในห้องฝึกดังขึ้นมาด้วยเสียงคำรามของเซี่ยเฟยตลอดเวลา ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปเสียงร้องคำรามนั้นก็ยิ่งดูดุร้ายกระหายเลือดมากยิ่งขึ้น คล้ายกับว่าเสียงร้องของชายหนุ่มดังขึ้นมาจากส่วนลึกของนรก

“ยังไม่พอ! ปลดปล่อยมันออกมาอีก!!” เซี่ยเทียนหยุดการฝึกของเซี่ยเฟยเอาไว้ก่อน จากนั้นเขาก็ถอดแว่นตาของตัวเองออก

เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยสะดุ้งขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขาเคยเห็นเซี่ยเทียนถอดแว่นตามาแล้วครั้งหนึ่งและเหตุการณ์ในวันนั้นย่อมเป็นสิ่งที่เขาจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต

“ความโหดร้ายคือสิ่งที่ช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เราปลดปล่อยสัญชาติตญาณของตัวเองออกมา ทั่วทั้งจักรวาลนี้มันก็จะไม่มีใครสามารถมาหยุดยั้งพวกเราได้” เซี่ยเทียนตะโกนด้วยน้ำเสียงที่ดุเดือด

เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่กลืนน้ำลายและเฝ้าดูความบ้าคลั่งของชายชราอย่างเงียบ ๆ ถึงแม้ว่าเซี่ยเทียนจะไม่ใช่จักรพรรดิกฎที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูล แต่แรงกดดันที่เขาปลดปล่อยออกมานั้นถือว่าเป็นอันดับ 1 ในตระกูลอย่างแน่นอน

“นี่คือพลังของจิตอสูร! ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนักรบตระกูลสกายวิงของเรา ในจิตใจของนายมันยังมีปีศาจที่ทรงพลังซ่อนตัวอยู่ นายจะต้องบังคับปีศาจตัวนั้นให้หลุดพ้นออกมาจากพันธนาการให้ได้!!” เซี่ยเทียนร้องคำรามด้วยดวงตาสีแดงก่ำ

เมื่อเสียงร้องคำรามแห่งความบ้าคลั่งดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เซี่ยอู๋เย่กับเซี่ยจงไห่ที่เฝ้าดูอยู่นอกห้องฝึกก็ทำได้เพียงแต่ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อพร้อมกัน

“ทำไมบรรพบุรุษถึงเลือกผู้อาวุโสเซี่ยเทียนมาเป็นครูฝึกให้กับเซี่ยเฟยกันนะ ทุกคนก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าจิตอสูรของผู้อาวุโสทรงพลังที่สุดภายในตระกูลของเรา ผมยังลืมอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันนั้นไม่ได้เลย” เซี่ยจงไห่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ

เหตุการณ์ที่เซี่ยจงไห่พูดถึงคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ในวันนั้นมันก็เป็นการฝึกเพื่อปลดปล่อยจิตอสูรของเซี่ยเทียนคล้ายกับเหตุการณ์ในวันนี้ แต่ในระหว่างการฝึกมันกลับมีอุบัติเหตุทำให้เซี่ยเทียนไม่สามารถควบคุมจิตอสูรของตัวเองได้ และเขาก็เกือบที่จะสังหารพี่น้องร่วมตระกูลไปหลายคน 

โชคดีที่เซี่ยบูหยุนเข้ามายับยั้งอุบัติเหตุได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นความบ้าคลั่งของเซี่ยเทียนคงจะก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นมาภายในตระกูล

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเซี่ยเทียนก็ถูกบังคับให้ต้องฝึกสมาธิในทุก ๆ วัน และการฝึกฝนนั้นก็กินเวลาต่อเนื่องยาวนานมาถึง 20 ปีแล้ว

เซี่ยเฟยไม่มีทางรู้เลยว่าวิธีการฝึกปลดปล่อยจิตอสูรเป็นวิธีการที่อันตรายมาก เพราะถ้าหากว่ามันเกิดข้อผิดพลาดในระหว่างการฝึกฝน ผู้ฝึกก็อาจจะเสียสติและไม่อาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป

“ไม่ต้องห่วง บรรพบุรุษได้เตรียมการทุกอย่างเอาไว้แล้ว อีกอย่างฉันก็ยังคงอยู่อยู่ที่นี่มันไม่มีทางเกิดอุบัติเหตุอย่างวันนั้นขึ้นมาอย่างเด็ดขาด” เซี่ยอู๋เย่กล่าวอย่างใจเย็น

ทุกคนต่างก็รู้ดีว่านักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลขณะนี้ไม่ใช่ผู้นำตระกูลอย่างเซี่ยบูหยุน แต่เป็นพ่อบ้านชราอย่างเซี่ยอู๋เย่ต่างหาก

แม้ว่าเซี่ยอู๋เย่จะไม่ใช่สมาชิกของสกายวิงตั้งแต่แรก แต่ในปัจจุบันเขาก็ได้รับความไว้วางใจจากทุกคนไม่ต่างไปจากว่าเขาคือสมาชิกของสกายวิงคนหนึ่ง พ่อบ้านชราจึงสาบานกับตัวเองภายในใจว่าเขาจะจงรักภักดีต่อสกายวิงไปตลอดชีวิต ด้วยเหตุนี้เองเมื่อไหร่ก็ตามที่เซี่ยเฟยเริ่มฝึกฝน เขาก็จะคอยเฝ้าดูการฝึกฝนของชายหนุ่มอยู่ที่ประตูอย่างเงียบ ๆ เสมอ

“ผมไม่เข้าใจเลย บรรพบุรุษต้องการที่จะให้เซี่ยเฟยปลดปล่อยจิตอสูรออกมาจนถึงระดับไหน? ในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้จิตอสูรของเขามีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าในตอนสุดท้ายจิตอสูรของเขาจะถูกปลดปล่อยออกมาจนถึงระดับไหนกันแน่?” เซี่ยจงไห่กล่าวพร้อมกับส่ายหัว

“ฉันก็ไม่รู้ว่าจิตอสูรของเซี่ยเฟยจะไปไกลได้ถึงไหนเหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันมั่นใจคือจิตอสูรของเซี่ยเฟยมีความแข็งแกร่งมากกว่าจิตอสูรของเซี่ยเทียน” เซี่ยอู๋เย่กล่าว

“อะไรนะ?! คุณตากำลังจะบอกว่าจิตอสูรของเซี่ยเฟยแข็งแกร่งกว่าจิตอสูรของผู้อาวุโสเซี่ยเทียนงั้นเหรอ? มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง! จิตอสูรของผู้อาวุโสเซี่ยเทียนคือจิตอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 1,000 ปีเชียวนะ แม้แต่ตัวผู้อาวุโสเองก็แทบที่จะควบคุมจิตอสูรของตัวเองไม่ได้ 

“แต่คุณตายังคงยืนยันว่าจิตอสูรของเซี่ยเฟยแข็งแกร่งกว่าขิตอสูรของผู้อาวุโสอีกงั้นเหรอ?!” เซี่ยจงไห่อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ หลังจากได้ยินข้อสันนิษฐานของเซี่ยอู๋เย่

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะควบคุมจิตอสูรของตัวเองได้ไหม แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันสามารถยืนยันได้คือจิตอสูรของเขาแข็งแกร่งกว่าจิตอสูรของเซี่ยเทียนแน่นอน” เซี่ยอู๋เย่กล่าวอย่างใจเย็น

วันที่ 5 ของการฝึกปลดปล่อยจิตอสูรของเซี่ยเฟย

เสียงที่ดังออกมาจากห้องฝึกไม่เพียงแต่จะน่าขนลุกเท่านั้น เพราะมันยังทำให้แม้แต่เซี่ยอู๋เย่ที่สงบนิ่งอยู่เสมอก็ยังเริ่มกระสับกระส่าย เขาจึงเดินไปเดินมาบริเวณประตูและถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า

ส่วนทางฝั่งของเซี่ยจงไห่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยตั้งแต่เมื่อวาน เพราะใบหน้าของเขากำลังซีดเผือดด้วยความกลัว โดยภายในใจของเขากำลังคิดว่าการให้เซี่ยเฟยปลดปล่อยจิตอสูรออกมาอย่างเต็มกำลัง มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ดูบ้ามากเกินไปหน่อย

อ๊าก!!

เสียงร้องคำรามดังขึ้นมาราวกับฟ้าร้อง ซึ่งมันก็เป็นเสียงที่บ้าคลั่งอย่างที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน และมันก็ทำให้หัวของเซี่ยอู๋เย่กับเซี่ยจงไห่รู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะระเบิด

เสียง ๆ นี้ฟังดูคล้ายกับจะไม่ใช่เสียงของมนุษย์ แต่เป็นเสียงร้องคำรามของปีศาจที่หลุดรอดออกมาจากนรก

เมื่อสถานการณ์ดูผิดปกติ ทั้งเซี่ยอู๋เย่และเซี่ยจงไห่ก็ตัดสินใจที่จะแหกกฎรีบวิ่งเข้าไปในห้องฝึกพร้อม ๆ กัน

ภาพที่พวกเขาเห็นแทบที่จะทำให้พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสายตา ว่าใบหน้าอันดุร้ายตรงหน้ามันจะเป็นใบหน้าของเซี่ยเฟยจริง ๆ

โดยปกติเซี่ยเฟยมักที่จะยิ้มแย้มอยู่เสมอและมีนิสัยเจ้าเล่ห์ซุกซ่อนอยู่ภายในบ้างเล็กน้อย แต่ในตอนนี้ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งไม่ต่างไปจากปีศาจที่หลุดรอดออกมาจากนรก

ชายชราทั้งสองต่างก็รีบเช็ดเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ผุดออกมาจากหน้าผาก พร้อม ๆ กับร่างกายของพวกเขาที่เริ่มรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน

เมื่อนักรบปลดปล่อยจิตอสูร มันก็ไม่เพียงแต่จะทวีความรุนแรงของจิตสังหารขึ้นไปเท่านั้น แต่มันยังช่วยเพิ่มแรงกดดันที่นักรบคนนั้นได้ปลดปล่อยออกมาด้วย

แรงกดดันที่เซี่ยเฟยปลดปล่อยออกมาในปัจจุบันเป็นสิ่งที่น่ากลัวเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ สิ่งเดียวที่พอจะอธิบายได้ใกล้เคียงคือแรงกดดันนี้ดูคล้ายกับกำลังจะพยายามฉีกกระชากร่างของพวกเขาให้ออกจากกันเป็นชิ้น ๆ

“ยินดีด้วยคุณทำสำเร็จแล้ว! ในที่สุดคุณก็สามารถช่วยให้เซี่ยเฟยปลดปล่อยจิตอสูรออกมาได้อย่างเต็มกำลัง” เซี่ยอู๋เย่จ้องมองไปยังภาพตรงหน้าด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง ขณะใช้มืออันสั่นเทายื่นไปจับเซี่ยเทียนเอาไว้แน่น

จิตอสูรของเซี่ยเฟยทรงพลังมากจนทำให้แม้แต่เซี่ยอู๋เย่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ

“ไม่หรอก ฉันคิดว่าเซี่ยเฟยยังปลดปล่อยจิตอสูรออกมาไม่หมด” เซี่ยเทียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม

***************

ไปให้สุดเลยไหม? หรือจะพอแค่นี้?

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.