ตอนที่ 778 สังหารเชสนี่

-A A +A

ตอนที่ 778 สังหารเชสนี่

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 778 สังหารเชสนี่

ยิ่งเชสนี่ไม่อยากให้แบล็ครีเบลเลี่ยนเข้ามามีส่วนร่วมกับการต่อสู้ในครั้งนี้มากเท่าไหร่ เซี่ยเฟยก็ยิ่งต้องการที่จะดึงดูดอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นเข้ามามากยิ่งขึ้นเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นสไตล์การต่อสู้ของเขามาเป็นเวลานานแล้ว เพราะเขาจะไม่มีทางปล่อยให้ศัตรูทำตามแผนที่อีกฝ่ายได้วางเอาไว้ได้เป็นอันขาด

ท้ายที่สุดเขาก็รู้ดีว่าการเปลี่ยนร่างขนอุยให้กลายเป็นร่างแยกของเขา สามารถที่จะสร้างความสับสนให้กับศัตรูได้เพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เมื่อเวลาผ่านพ้นไปกลอุบายของเขาย่อมจะต้องถูกเปิดเผยออกไปอย่างแน่นอน 

ดังนั้นถ้าหากว่าเขาต้องการที่จะเอาชนะศัตรู เขาก็จำเป็นจะต้องทำให้สนามรบแห่งนี้วุ่นวายจนถึงขีดสุด ชนิดที่ว่ามันจะต้องเกิดความวุ่นวายเกินกว่าที่เชสนี่จะสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้

เซี่ยเฟยยังคงเคลื่อนไหวไปมาภายในหมอกขาวเพื่อหลบหลีกการโจมตีของเชสนี่ ขณะที่ชิ้นส่วนร่างกายนับหมื่นชิ้นของแบล็ครีเบลเลี่ยนก็เริ่มพุ่งโจมตีเข้ามาในหมอกขาวด้วยเช่นกัน มันจึงทำให้สถานการณ์กลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างสามฝ่ายอย่างแท้จริง

เมื่อแบล็ครีเบลเลี่ยนเข้าร่วมการต่อสู้ เชสนี่ก็รู้สึกเกลียดเซี่ยเฟยไปจนถึงก้นบึ้งของจิตใจ ระหว่างนั้นเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในหมอกและหอบหายใจออกมาอย่างแรง

ทุกอย่างในจักรวาลต่างก็ล้วนแล้วแต่มีข้อดีข้อเสียเป็นของตัวเอง แม้แต่กฎแห่งหมอกของตระกูลดาร์กมิสท์ก็ไม่ใช่พลังที่สมบูรณ์แบบ เพราะถึงแม้ว่าผู้ใช้จะสามารถหลบซ่อนตัวอยู่ภายในหมอกขาวเพื่อหลบหลีกจากวิสัยทัศน์ของศัตรูได้ แต่นั่นก็หมายความว่าหมอกในระยะจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเชสนี่ด้วยเช่นกัน

หรือมันก็หมายความว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เหตุการณ์ภายในหมอกเกิดความวุ่นวาย ถึงขั้นที่เขาไม่สามารถควบคุมหมอกขาวได้ เมื่อนั้นกฎแห่งหมอกก็จะสูญสลายไปทำให้เขาไม่สามารถซ่อนตัวได้เช่นเดิม

ร่างกายอันใหญ่โตของแบล็ครีเบลเลี่ยนเป็นสิ่งที่สามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับหมอกขาวได้เป็นอย่างดี การเข้าร่วมการต่อสู้ของอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้จึงทำให้เชสนี่ต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิมเพื่อที่จะคงสภาพของกฎแห่งหมอกไว้

ในเวลาเดียวกันเมื่อกฎแห่งหมอกถูกรบกวน เชสนี่ก็ไม่เหลือพลังงานไปใช้สำหรับการโจมตีอีกต่อไป มันจึงทำให้เซี่ยเฟยได้มีเวลากลับมาตั้งหลักอีกครั้ง

แน่นอนว่าเซี่ยเฟยย่อมไม่รู้ถึงข้อจำกัดของกฎแห่งหมอก แต่สิ่งที่เขาต้องการจะทำคือการพยายามทำยังไงก็ได้ให้สถานการณ์ไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของศัตรู 

อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ของการพยายามเรียกแบล็ครีเบลเลี่ยนมาเข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ มันก็ดีเกินกว่าสิ่งที่เขาจินตนาการไปไกล เพราะมันทำให้เชสนี่ต้องใช้พลังงานทั้งหมดในการพยายามรักษาหมอกขาวเอาไว้เพื่อไม่ให้ตำแหน่งของตัวเองถูกเปิดเผยออกมา

ท้ายที่สุดนักรบของตระกูลดาร์กมิสท์ก็ไม่ได้มีความเร็วเหมือนกับเซี่ยเฟย ที่สามารถหลบหลีกการโจมตีของแบล็ครีเบลเลี่ยนได้อย่างง่ายดาย สิ่งเดียวที่เชสนี่พอจะทำในสถานการณ์ครั้งนี้ได้ คือการใช้หมอกขาวเพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ศัตรูค้นหาตัวของเขาเจอ

“ฮ่า ๆ ๆ นายทำได้ดีมาก ทำไมฉันถึงคิดไม่ได้นะว่าเจ้าตัวเบิ้มนี่มันสามารถเอามาใช้สร้างความปั่นป่วนให้กับกฎแห่งหมอกได้” โอโร่ส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างมีความสุข

ในทางกลับกันเซี่ยเฟยก็ไม่ได้มีเวลามาดีใจเหมือนกับโอโร่เท่าไหร่นัก เพราะเขากำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากอสูรศักดิ์สิทธิ์และเชสนี่ในเวลาเดียวกัน และถึงแม้ว่านักรบจากตระกูลดาร์กมิสท์จะใช้พลังงานส่วนใหญ่ไปกับการควบคุมหมอกขาวเอาไว้ แต่เชสนี่ก็ยังคงพยายามหาโอกาสจู่โจมเข้าใส่เซี่ยเฟยอยู่เรื่อย ๆ มันจึงทำให้ชายหนุ่มยังไม่ได้ถือว่าอยู่ในสถานะปลอดภัยในขณะนี้มากนัก

ฟิ้ว!

แสงสีดำอันน่าสะพรึงกลัวส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับการโจมตีอันรุนแรงที่พุ่งเข้าใส่ร่างของเซี่ยเฟยด้วยความเร็ว 1 ล้านเมตรต่อวินาที

กฎแห่งหมอกและกฎแห่งแสงทมิฬต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นกฎย่อยของกฎแห่งความมืด โดยกฎแห่งหมอกคือการควบคุมอนุภาคความมืดให้กลายเป็นหมอกดำครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งบริเวณ ขณะที่กฎแห่งแสงทมิฬคือการควบคุมอนุภาคแห่งความมืดให้พุ่งโจมตีออกไปด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

กฎแห่งความโกลาหล!

เมื่อถูกบีบบังคับให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เซี่ยเฟยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องโต้กลับอย่างเต็มกำลัง โดยการใช้กฎแห่งความโกลาหลเพื่อต่อต้านการรุกรานของกฎแห่งความมืด

ตูม!

การปะทะระหว่างพลังทั้งสองก่อให้เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ กฎแห่งแสงทมิฬบางส่วนถูกกฎแห่งความโกลาหลลบล้างออกไป ขณะที่พลังบางส่วนถูกสะท้อนกลับไปอย่างฉับพลัน

เมื่อเซี่ยเฟยมีความเข้าใจกฎแห่งความโกลาหลมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็สามารถที่จะใช้พลังของกฎนี้ในการพลิกแพลงสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน โดยในตอนนี้เขาไม่เพียงแต่จะใช้กฎแห่งความโกลาหลในการลบล้างพลังของฝ่ายตรงข้ามได้เท่านั้น แต่ในบางครั้งเขายังสามารถสะท้อนพลังของฝ่ายตรงข้ามกลับไปหาศัตรูได้อีกด้วย

“หา!”

เชสนี่ที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกหนาอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง เพราะเขาคิดมาตลอดว่าเซี่ยเฟยเป็นเพียงนักรบที่รวดเร็ว เขาจึงไม่เคยคิดมาก่อนว่าเซี่ยเฟยจะมีพลังมากพอในการทำลายหรือแม้กระทั่งสะท้อนการโจมตีของเขากลับมาได้

คำกล่าวที่ว่าตระกูลดาร์กมิสท์คือศัตรูตามธรรมชาติของตระกูลสกายวิง คำนี้ก็สามารถที่จะใช้ได้กับนักรบความเร็วสูงธรรมดาเท่านั้น 

แต่ในกรณีของเซี่ยเฟยถือได้ว่าเขาคือนักรบสกายวิงที่แตกต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจน เพราะพลังที่เขาได้ครอบครองอยู่นั้นมันไม่ได้มีเพียงแต่พลังสายความเร็ว แต่มันยังมีมีพลังของกฎแห่งความโกลาหลที่ทั่วทั้งจักรวาลมีผู้ที่ได้เรียนรู้กฎอันลึกลับกฎนี้ไปเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

สถานการณ์อันน่าอึดอัดยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งเซี่ยเฟยไม่เพียงแต่จะต้องคอยหลบหลีกการจู่โจมของเชสนี่เท่านั้น แต่เขายังต้องคอยป้องกันการโจมตีอันโหดร้ายของแบล็ครีเบลเลี่ยนอีกด้วย

การดึงดูดแบล็ครีเบลเลี่ยนให้เข้าร่วมการต่อสู้เปรียบเสมือนกับการใช้ดาบสองคม เพราะอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นภัยคุกคามเชสนี่เพียงฝ่ายเดียว แต่มันยังเป็นภัยคุกคามตัวเขาอีกด้วย อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในปัจจุบันมันก็พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้สร้างความลำบากให้กับนักรบตระกูลดาร์กมิสท์มากกว่านักรบจากตระกูลสกายวิง

ทันใดนั่นเองมันก็ได้มีเงาดำ 2-3 ร่างแอบย่องเข้ามาภายในถ้ำ และเมื่อเซี่ยเฟยได้พิจารณาร่างเหล่านั้น เขาก็ได้พบว่าอีกฝ่ายเป็นพวกนักรบที่ยังคงรอดชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน

ดูเหมือนว่าเสียงการต่อสู้อันอึกทึกครึกโครมที่เขาได้สร้างขึ้นมา มันไม่เพียงแต่จะดึงดูดแบล็ครีเบลเลี่ยนเข้ามาได้เท่านั้น แต่มันยังดึงดูดนักรบคนอื่น ๆ ให้มุดดินลงมายังถ้ำใต้ดินแห่งนี้อีกด้วย

เมื่อได้เห็นภาพการต่อสู้อันน่าสยดสยอง พวกนักรบที่เพิ่งปรากฏตัวก็นึกเสียใจที่ตัวเองได้ขุดดินลงมายังรังของสัตว์อสูรร่างยักษ์ตัวนี้ 

แต่ในเวลาเดียวกันเซี่ยเฟยก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เพราะนับตั้งแต่ที่เขาเดินทางมายังสนามรบโบราณเขายังไม่มีเวลาได้ใช้บลัดบิวเทียสในการดูดเลือดจากศัตรูเข้าไปมากเท่าไหร่เลย ในเมื่อนักรบพวกนี้อุตส่าห์ขุดดินลงมาหาเขาถึงที่ เซี่ยเฟยจึงยินดีที่จะใช้อีกฝ่ายในการเป็นเครื่องสังเวย

ฟุบ!

เซี่ยเฟย 2 คนพุ่งตัวไปข้างหน้าราวกับสายฟ้า โดยคนหนึ่งคือตัวเขาเองและอีกคนหนึ่งก็คือขนอุยที่ยังคงมีร่างกายเหมือนเขาอยู่

หงส์ครามในแขนขวาตวัดออกไปมัดร่างของหนึ่งในศัตรูเอาไว้อย่างฉับพลัน ก่อนที่เซี่ยเฟยจะใช้บลัดบิวเทียสในการแทงเข้าไปที่หัวใจของศัตรู

พลังงานมหาศาลถูกดูดซับเข้าไปในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาในทันที แม้แต่บลัดบิวเทียสก็กำลังเรืองแสงสีแดงออกมาอย่างมีความสุข

หากเปรียบเทียบกับการดูดซับพลังงานจากคริสตัลต้นกำเนิด เซี่ยเฟยก็ชอบวิธีดูดซับพลังงานจากคู่ต่อสู้ด้วยบลัดบิวเทียสเช่นนี้มากกว่า เพราะเม็ดพลังงานสีรุ้งที่เกิดขึ้นมาในสมองของเขา ไม่เพียงแต่จะนำมาใช้ในการพัฒนาพลังได้เท่านั้น แต่เขายังสามารถระเบิดพลังออกมาในช่วงเวลาวิกฤตได้อีกด้วย

“เซี่ยเฟย ฉันว่าตอนนี้นายดูจะกระหายเลือดมากขึ้นกว่าเดิมนะ” โอโร่กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง เพราะหลังจากที่ดูดซับพลังงานของคู่ต่อสู้เข้าไป เซี่ยเฟยก็เริ่มเลียริมฝีปากราวกับว่าเขาเป็นนักรบโรคจิต ซึ่งท่าทางที่ชายหนุ่มได้แสดงออกมามันก็ยังทำให้แม้แต่โอโร่ก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ผมไม่ได้กระหายเลือด แต่ผมต้องการพลังงาน” เซี่ยเฟยตอบกลับพร้อมกับใช้บลัดบิวเทียสดูดกลืนโลหิตจะนักรบเข้าไปอีกคน

สถานการณ์ในปัจจุบันกลายเป็นสถานการณ์ที่วุ่นวายมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมันมีหลาย ๆ ฝ่ายเดินทางมาเข้าร่วมการต่อสู้ แน่นอนว่าผู้ที่มีความเร็วสูงสุดในสถานการณ์ปัจจุบันย่อมเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ และถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำอันตรายแบล็ครีเบลเลี่ยนได้ แต่อย่างน้อยอสูรศักดิ์สิทธิ์ร่างยักษ์ก็ไม่สามารถที่จะทำร้ายเขาได้ด้วยเช่นกัน

แต่สถานการณ์ของทางฝั่งนักรบที่เพิ่งเดินทางเข้ามาร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่โชคดีมากนัก เพราะพวกเขาไม่เพียงแต่จะต้องคอยระวังการอาละวาดของอสูรร่างยักษ์เท่านั้น แต่พวกเขายังจะต้องคอยระวังการลอบโจมตีของเซี่ยเฟยด้วย

หลังจากการลอบโจมตีอันรวดเร็วอีกหลายครั้ง ผู้บุกรุกคนสุดท้ายก็กลายเป็นเพียงโครงกระดูกอันแห้งเหี่ยว ขณะที่เซี่ยเฟยได้ฟื้นฟูพละกำลังกลับมาอย่างมีชีวิตชีวา แต่ด้วยการดูดกลืนพลังงานเข้าไปเป็นจำนวนมาก มันจึงทำให้ลูกบอลพลังงานภายในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาเริ่มเกิดความไม่เสถียร และมันก็พร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน

ข่าวดีอีกอย่างสำหรับชายหนุ่มคือกฎแห่งหมอกของเชสนี่กำลังอ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ ซึ่งมันก็หมายความว่าพลังงานของนักรบจากตระกูลดาร์กมิสท์คนนี้ใกล้ที่จะมาจนถึงขีดจำกัดแล้ว

“ตอนนี้ล่ะ” เซี่ยเฟยส่งเสียงร้องคำรามพร้อมกับจิตสังหารที่แพร่กระจายไปทั่วทุกที่

“เดี๋ยวก่อน นั่นมันอันตรายมากนะ!” โอโร่อุทานขึ้นมาอย่างกังวล และมันก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขาอยู่กับชายหนุ่มคนนี้มานานเกินไป เขาจึงเริ่มคุ้นชินกับนิสัยของเซี่ยเฟยมากขึ้นเรื่อย ๆ ทันทีที่ชายหนุ่มตัดสินใจโอโร่จึงสามารถทำความเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้ในทันที

เพล้ง!

เม็ดพลังงานภายในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของชายหนุ่มถูกระเบิดออกอย่างฉับพลัน พร้อมกับพลังงานปริมาณมหาศาลที่ไหลพลุกพล่านไปทั่วทั้งร่างกาย

ในเวลาเดียวกันชายหนุ่มก็ได้ใช้พลังงานปริมาณมหาศาลเหล่านั้น เพื่อทำการปลดปล่อยกฎแห่งความโกลาหลออกไปในหมอกหนา

พริบตาต่อมามันก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เพราะทันทีที่กฎแห่งความโกลาหลของเซี่ยเฟยสัมผัสเข้ากับกฎแห่งหมอกของเชสนี่ หมอกดำที่อีกฝ่ายใช้ในการซ่อนตัวมาโดยตลอดก็ถูกบังคับให้สลายไปในทันที เนื่องมาจากว่าอีกฝ่ายไม่สามารถฝืนทนควบคุมพลังแห่งหมอกได้อีกต่อไป

นี่คือพลังของกฎแห่งความโกลาหล!

หลังจากใช้ความพยายามและแผนการต่าง ๆ อยู่หลายครั้ง ในที่สุดเซี่ยเฟยก็สามารถทำลายกฎแห่งหมอกที่สร้างความได้เปรียบให้กับเชสนี่ได้เรียบร้อยแล้ว

นักรบร่างอ้วนเผยสีหน้าออกมาอย่างตกตะลึง ก่อนที่เขาจะเริ่มเปิดฉากการโจมตีเข้าใส่เซี่ยเฟยอย่างสิ้นหวัง

เมื่อไม่มีหมอกดำปกปิดร่างกายเขาก็ไม่มีทางต้านทานการโจมตีจากแบล็ครีเบลเลี่ยนได้อย่างแน่นอน ดังนั้นก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเขาจึงตั้งใจที่จะลากเซี่ยเฟยให้ลงนรกไปพร้อมกับเขาด้วย

ตูม!

อย่างไรก็ตามในคราวนี้เซี่ยเฟยก็ไม่ได้มีความคิดที่จะหลบหนีเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาได้ใช้พลังของกฎแห่งความโกลาหลในการเผชิญหน้ากับกฎแห่งแสงทมิฬของเชสนี่โดยตรง

ดวงตาของเชสนี่กลายเป็นสีแดงเลือดด้วยความโกรธแค้น เพราะเขาอุตส่าห์ใช้ความพยายามอย่างหนักในการขโมยแหวนมิติที่อาจจะมีความลับเรื่องกฎของเวลาที่ซ่อนอยู่ด้านใน แต่แผนการทุกอย่างกลับพังทลายโดยการปรากฏตัวของเซี่ยเฟยเพียงคนเดียว

เมื่อการโจมตีของอีกฝ่ายถูกทำลายและร่างกายของศัตรูถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มขึ้นมาที่มุมปากก่อนที่เขาจะพุ่งตัวเข้าใส่เชสนี่อย่างรวดเร็ว

ฉึก!

บลัดบิวเทียสแทงทะลุกระดูกซี่โครงเข้าสู่หัวใจของเชสนี่อย่างฉับพลัน พร้อมกับพลังงานปริมาณมหาศาลที่ไหลทะลักเข้ามาภายในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเซี่ยเฟยอย่างต่อเนื่อง

ฝ่ามือข้างขวาของชายหนุ่มเคลื่อนไหวออกไปคว้าแหวนมิติออกมาจากนิ้วมือของเชสนี่ทั้งสองวง แต่ในระหว่างที่เขากำลังคิดว่าตัวเองกำลังบรรลุเป้าหมายอยู่นั่นเอง มันก็ได้มีเหตุการณ์อันไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างกะทันหันอีกครั้ง

พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขากำลังสั่นขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่ชิ้นส่วนร่างกายนับหมื่นชิ้นของแบล็ครีเบลเลี่ยนกำลังหมุนวนราวกับพายุ

วินาทีต่อมาศีรษะอันใหญ่โตก็พุ่งทะลุขึ้นมาจากพื้นดิน โดยมีลูกแก้วอสูรอันเจิดจ้าส่องแสงสว่างออกมาจากบนหน้าผากของอสูรที่มีหน้าตาอันบิดเบี้ยว

“หัวของมันปรากฏออกมาแล้ว! ที่แท้มันก็เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ร่างเต็มวัย นายจะต้องเอาลูกแก้วอสูรบนหัวของมันมาให้ได้ ของชิ้นนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับนายมาก” โอโร่ส่งเสียงตะโกนเมื่อได้เห็นลูกแก้วอสูรบนหน้าผากของแบล็ครีเบลเลี่ยน

***************

หรือว่าลูกแก้วอสูรจะเป็นตัวช่วยให้พี่เฟยพัฒนากลายเป็นจักรพรรดิกฎ?! เลื่อนที 9 ระดับไปเลยยยย

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.