chapter 1 ซันเดิล เมืองแห่งเทคโนโลยี

คาร์น ดินแดนเวทมนตร์

-A A +A

chapter 1 ซันเดิล เมืองแห่งเทคโนโลยี

        เวทมนตร์ คือ ความรู้และพลัง

 

        “ลมเย็นจัง” 

        เสียงพูดเบาๆของสาวผมทองได้ดังออกมาเมื่อร่างกายกระทบเข้ากับลมเย็น ท่ามกลางป่าหนาทึบสองข้างทางบนถนนที่เงียบสงบและไร้ผู้คนสัญจรผ่าน ซึ่งตัวเธอนั้นเป็นนักผจญภัยแรงค์โกลด์ที่กำลังออกเดินทางทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีคนแนะนำให้ลองมาที่เมืองซันเดิลดู โดยเมืองที่กล่าวมานั้นเป็นหนึ่งในสามเมืองที่ใหญ่ที่สุดบนทวีปคาร์น แต่ที่แปลกคือเมืองเมืองนั้นเป็นเมืองของนักประดิษฐ์เทคโนโลยีซะมากกว่า ซึ่งนักผจญภัยอย่างเธอจะไปที่แห่งนั้นทำไมก็ไม่มีใครทราบ

 

        กึก กึก กึก 

        เสียงล้อเกวียนกระทบกับถนนได้ดังขึ้นไม่ไกลมากจากทางด้านหลัง ก่อนจะใช้เวลาไม่นานที่มันจะเคลื่อนที่ผ่านเธอไปโดยไม่สนใจว่ามีคนโบกมือขอร่วมทาง แต่ท้ายที่สุดก็ได้มีเกวียนจอดรับโดยเป็นชายแก่และเกวียนคันเก่า

หญิงสาวนั่งลงที่ท้ายเกวียนก่อนที่ชายแก่จะกระตุกเชือก ระหว่างทางทั้งสองได้นั่งคุยกันเพื่อฆ่าเวลาโดยที่สายตาก็ยังคงสอดส่องป่าที่เริ่มบางตาลง ซึ่งบทสนทนาส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องทั่วๆไป จนเมื่อถึงคำถามหนึ่งที่เธอได้บังเอิญถามออกไป

        “พอดีฉันไปหาตัวเจ้าลูกชายน่ะ มันไม่ได้ติดต่อกลับมาหลายเดือนแล้ว อย่างน้อยขอเห็นหน้าว่ามันสบายดีฉันก็ดีใจแล้ว” เป็นคำตอบที่รู้สึกว่าเป็นอย่างที่หวังก็ดีสิ  

        “ก็อบลิน!!!” เสียงตะโกนจากทางด้านหน้าทำให้หญิงสาวต้องลุกขึ้น ก่อนจะพุ่งตัวไปดูว่าเกิดอะไร

ก็อบลินจำนวน 6 ตัวกำลังยืนขวางทางพร้อมกับหอกในมือ แต่ดูไปแล้วไม่น่าจะมีเพียงเท่านี้เพราะมันดูง่ายเกินไปจนผิดสังเกต เนื่องจากพวกก็อบลินนั้นถึงแม้จะตัวเล็กและแรงน้อยกว่ามอนสเตอร์ชนิดอื่น แต่สิ่งที่พวกมันมีมากกว่าคือการวางแผนอย่างมนุษย์ และการใช้ตัวล่อที่ดูแล้วมันกำลังทำอยู่

        บูส

        เวทย์เสริมกำลังถูกใช้งานก่อนที่ตัวเธอจะกระโดดลงจากเกวียน พร้อมกับชักดาบข้างเอวพุ่งเข้าหาก็อบลิน โดยที่ยังคงระวังว่าจะมีอะไรพุ่งออกมาจากป่าข้างทางรึเปล่า และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆเพราะไม่ทันที่จะได้แกว่งดาบ ลูกธนูจำนวนหนึ่งก็ได้พุ่งตรงเข้ามา แต่ก็ถูกสกัดเอาไว้ได้ด้วยเวทย์ป้องกันที่เป็นรูปร่างม่านโปร่งใสสีเหลือง ก่อนที่เธอจะวิ่งเข้าไปจัดการก็อบลินทั้ง 6 ที่เหมือนกำลังตกใจอยู่ว่าเธอรอดมาได้ยังไง

ทักษะฝีมือของนักผจญภัยแรงค์โกลด์เป็นของจริง จึงทำให้จัดการก็อบลินทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย โดยตลอดการต่อสู้ก็ยังคงใช้เวทย์ชิลด์หรือเวทย์ป้องกันเพื่อสกัดลูกธนูที่จะเข้าถึงตัว จนเมื่อจัดการหกตัวตรงหน้าเสร็จเธอก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปด้านในป่าเพื่อจัดการตัวที่ใช้ธนู 

เวลาผ่านได้ไปพักใหญ่ก่อนที่หญิงสาวผมทองจะออกมาด้วยคราบเลือดเปื้อนหน้า พร้อมกับโบกมือให้ชายแก่ที่กำลังนั่งรออยู่ ก่อนจะลงมือตัดใบหูพวกมันออกเพื่อนำไปขึ้นเงินที่กิลด์ โดยพอตัดเสร็จก็ทำการลากศพทั้งหมดเข้าไปข้างในป่า ทิ้งให้พวกสัตว์มาจัดการไปเองตามธรรมชาติ และเมื่อทำทุกอย่างเสร็จเป็นที่เรียบร้อยก็ได้เวลาออกเดินทางต่อ ซึ่งเวลาก็ผ่านไปไม่นานก็มาถึงทางเข้าเมืองซันเดิล ที่ตอนนี้กำลังมีเกวียนหลายคันกำลังจอดรอเข้าอยู่

        “ขอบคุณมากค่ะ” หญิงสาวได้กล่าวลาก่อนจะเดินไปต่อแถวแยกสำหรับคนที่ไม่มีเกวียน 

 

        ‘ควรซื้อเสื้อกันหนาวไปด้วยนะ’ 

        ความทรงจำบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวพร้อมกับนึกย้อนไปก่อนจะมาที่นี่ ว่ามีคนแนะนำให้เธอซื้อเสื้อกันหนาวไปเผื่อสักหน่อยเพราะอากาศที่เมืองนี้เย็น แถมตอนกลางคืนก็ยิ่งอุณหภูมิลดต่ำลงไปอีก การมีเสื้อกันหนาวติดตัวสักตัวคงจะไม่เป็นอะไรมาก แต่เจ้าตัวก็ไม่นึกว่ามันจะหนาวขนาดที่เธอจะต้องกายบริหารตลอดเวลาเข้าแถว จนกระทั่งก็มาถึงคิวที่จะต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าเมือง

        “120 กูซ”

        “100 ไม่ใช่หรอ?” เธอแย้งเนื่องจากเมืองอื่นราคาเท่านี้

        “ก็ที่เมืองนี้ 120 ถ้าไม่จ่ายก็ออกจากแถวไป” ทหารยามยังคงยืนยันราคาค่าเข้าเมือง

        หญิงสาวเริ่มโกรธเล็กน้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงใช้บัตรผจญภัยเพื่อเป็นส่วนลด และด้วยบัตรแรงค์โกลด์ก็ทำให้ลดค่าใช้จ่ายไปได้ 20 กูซ ก่อนจะเดินเข้าไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ (หลังจากจ่ายค่าผ่านทางจะได้ตราปั๊มบนบัตร ซึ่งตราปั๊มจะหายไปในเวลา 1 เดือน โดยตลอดเวลา 1 เดือนจะสามารถเข้าออกเมืองได้โดยไม่เสียเงิน)

        ทันทีที่ก้าวผ่านประตูเมืองสายตาของเธอก็ได้พยายามสอดส่องว่าทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าเป็นอะไรบ้าง ทั้งผู้คนที่มีอุปกรณ์แปลกๆอย่างเช่นแว่นตาขยายที่น่าจะซูมเห็นยันรูขุมขน รถจักรไอน้ำที่รูปทรงแปลกตา อาวุธปืนขนาดใหญ่ที่น่าจะยิงลูกปืนขนาดไม่ต่างจากกระบอก ซึ่งพอมองดูไปแล้วทุกอย่างก็แปลกประหลาดตั้งแต่กำแพงเมือง ที่เป็นแผ่นเหล็กหนาขึ้นสนิมแทนที่จะเป็นอิฐหรือปูน แต่ที่แปลกและไม่เคยเห็นที่เมืองไหนก็น่าจะเป็นสิ่งที่ลอยอยู่บนฟ้า โดยดูแล้วน่าจะไม่ใช้เวทมนตร์ลอยตัวแน่ๆ ลักษณะเหมือนกับลูกอะไรบางอย่างที่ลอยได้ด้วยไฟที่ดันมันขึ้นไป(บอลลูน)

        “เมืองนี้สุดยอดไปเลย” เจ้าตัวยืนนิ่งอยู่สักพักท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไป

ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องทำอะไรเพราะลมเย็นที่พัดผ่านไป และก็ไม่รอช้าที่จะตระเวนหาร้านเสื้อผ้าซึ่งหมดเงินไปกับมันเล็กน้อยทั้งเสื้อกันหนาวและถุงมือ โดยก่อนจะได้ตรงไปที่กิลด์เธอก็ไม่ลืมแวะหาอะไรทานเพราะนี่ก็เข้าช่วงบ่ายของวันแล้ว ซึ่งก็เป็นเนื้อย่างที่น้ำมันไหลเยิ้มจนใครเห็นก็อยากทาน 

        จ่ายเงินเสร็จก็ไม่ได้ลืมที่จะถามไถ่เรื่องที่ตั้งของกิลด์ แต่การเดินทานเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะเท่าไหร่เธอจึงหาที่นั่งและเพลิดเพลินไปกับเนื้อย่าง 5 ไม้ที่ซื้อมา โดยช่วงเวลาสั้นๆก็ได้ไล่มองผู้คนที่ผ่านไปมาว่าทำอะไรกันบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ดูเหมือนทุกคนจะเป็นนักผจญภัยไม่ก็ชาวบ้านธรรมดา แต่เหมือนจะมีอีกกลุ่มก็คือพวกนักประดิษฐ์ ที่มักจะมีของแปลกตาติดตัวเอาไว้ตลอดซึ่งสังเกตได้ง่ายมาก

        ช่วงเวลาของความสุขมักจะสั้นเสมอก่อนที่เธอจะลุกเพื่อไปหาที่ทิ้งขยะ แต่ในจังหวะที่ลุกขึ้นนั้นก็ได้มีเด็กคนหนึ่งวิ่งมาชนซึ่งก็ทำให้ทั้งคู่ล้มลง ก่อนที่เด็กคนนั้นจะรีบลุกขึ้นพร้อมกับวิ่งหนีไปโดยไม่หันมาพูดอะไรสักคำ 

        “เจ็บนะเนี่ย” เธอลุกขึ้นมาช้าๆเพราะถนนลื่น พร้อมกับปัดฝุ่นที่ติดอยู่ตามเสื้อกันหนาวจนกระทั่งได้รู้บางอย่าง “กระเป๋าเงิน!”

หญิงสาวไม่รอช้าหันไปมองหาเด็กที่ชนกันเมื่อครู่ แต่ก่อนที่จะรู้ตัวก็สายไปแล้วเพราะเด็กคนนั้นได้กลืนไปกับฝูงชนที่เดินไปมา ทิ้งให้เธอต้องยืนเคว้งกับสิ่งที่เจอ

 

        ณ กิลด์ไกเทอร์โร่แห่งเมืองซันเดิล

         “นี่เกรซ...” ชายหัวยุ่งผู้มีผมสีดำพร้อมกระเป๋าอุปกรณ์คาดเอวได้พุ่งตรงไปยังเคาน์เตอร์ของกิลด์ ก่อนจะสอบถามบางอย่าง “ไม่มีงานแล้วจริงๆหรอ” ซึ่งพนักงานสาวต้อนรับผู้มีผมสีน้ำตาลอ่อนที่มีชื่อว่า เกรซ ไดอัส ก็ได้ส่ายหน้าพร้อมยิ้มไปให้หนึ่งที ก่อนจะก้มลงไปทำงานต่อทิ้งให้ชายหนุ่มหงุดหงิด ที่วันนี้ไม่มีงาน และเมื่อไม่มีงานก็ไม่มีเงิน

เมื่อถามจนคนขี้เกียจตอบแล้ว ชายหนุ่มจึงได้เดินไปดูที่บอร์ดภารกิจที่จะแปะใบภารกิจทุกๆวัน ซึ่งมันก็ยังคงมีแต่อะไรที่ดูยังไงก็ไม่เหมาะกับความสามารถของเขาเลย 

        “มีอะไรให้ช่วยหรอคะ” เกรซได้เอ่ยต้อนรับกับผู้ที่มาใหม่

        “เออ...จะตั้งค่าหัวค่ะ” คนคนนี้ก็คือสาวผมทองผู้ซึ่งถูกขโมยกระเป๋าเงินไปนั้นเอง โดยตอนนี้เธอมีอาการเหนื่อยหอบจากการวิ่งมาที่กิลด์

        “ค่าใช้จ่ายในการตั้งค่าหัว 500 กูซค่ะ”  

        เมื่อได้ยินค่าใช้จ่ายที่ราคาถึง 500 กูซ แถมตอนนี้ก็มีแค่หูก็อบลินที่น่าจะขายได้แค่ 300 กูซอีก นั้นจึงทำให้เธอต้องคิดหนักว่าจะเอายังไงต่อดี ก่อนจะหันไปเห็นบอร์ดภารกิจ

        “ขอเวลาคิดซักครู่นะคะ” เธอขอตัวเดินไปดูบอร์ดภารกิจเพื่อหางานที่ให้เงินเยอะๆ แต่ดูไปดูมาก็ดันมีแต่ภารกิจล่าก็อบลินแปะอยู่เต็มไปหมด

หลายนาทีผ่านไปเธอก็ยังคงยืนอยู่หน้าบอร์ด พร้อมกับควานหางานที่เงินดีๆที่อาจจะถูกทับจากใบอื่นๆ จนกระทั่งภารกิจที่น่าสนใจอย่างเช่นจัดการออร์ค ที่มีรางวัลถึง 4000 กูซ และยังเป็นแรงค์โกลด์พอดีอีกก็ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า ซึ่งก่อนจะมีใครแย่งไปเธอก็ไม่รอช้ารีบคว้าแผ่นภารกิจนั้นออกมาทันที ก่อนจะตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่มีชายคนหนึ่งยืนคุยกับพนักงานอยู่ และยื่นใบภารกิจให้กับพนักงานสาวอีกคน

        ‘ไอ้หมอนี่จะยืนคุยอะไรนานนักหนา’ ในจังหวะที่ทุกอย่างกำลังจะไปด้วยดีนั้นก็ดันมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น

        “ต้องขอโทษด้วยนะค่ะ พอดีภารกิจใบนี้มันคือภารกิจที่สำเร็จไปแล้ว ทางเราต้องขอโทษด้วยจริงๆ” เหมือนกับฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ 

        เกรซที่ได้ยินว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงหันไปสนใจก่อนจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และพยายามหาภารกิจอื่นให้แทน แต่ก็มีแค่ภารกิจจัดการก็อบลินซึ่งนี่ก็เป็นช่วงเย็นแล้วด้วย การจะออกไปทำภารกิจตอนกลางคืนก็อันตรายเป็นเท่าตัว เธอจึงจำใจต้องพูดกับอีกฝ่ายตรงๆ ซึ่งพอคุยไปคุยมาก็ได้รู้ว่าเธอถูกขโมยกระเป๋าเงินไป 

        ทั้งคู่ได้มานั่งคุยกันที่โต๊ะยาวกลางกิลด์ โดยหญิงสาวก็ได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้กับเกรซฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างอย่างละเอียด ซึ่งทางออกก็คือหาเด็กคนนั้นและเอาเงินกลับมา แต่จะหายังไงล่ะเมื่อเมืองนี้ใหญ่โตไม่แพ้เมืองอื่นๆ จนปัญหาทั้งหมดก็ได้มาจบที่ชายหัวยุ่งที่กำลังนั่งเซ็งข้างๆเกรซเพราะวันนี้ไม่มีงาน

        “คนนี้เขาชื่อลุค เขาจะช่วยหาเด็กที่ขโมยเงินไปน่ะ” เกรซแนะนำชายหัวยุ่งที่ชื่อ ลุค บราวให้หญิงสาวรู้จัก

        “ลูเทียร์ ลูดัส ค่ะ” หญิงสาวแนะนำตัว พร้อมมองไปยังชายที่ดูท่าทางไม่น่าจะหวังพึ่งได้

        “มีเงินจ่ายแน่นะ” ลุคหันไปถามเกรซ แต่ก็ถูกตอบกลับด้วยสีหน้าโกรธๆ “อะไร ก็ถามเพื่อความแน่ใจ ค่าเสียเวลายังไง ถึงฉันจะเก่งที่สุดในเมืองแต่เมืองใหญ่ขนาดนี้ใช่ว่าจะหาเจอตลอด” ลุคอธิบายเหตุผล

        “เดี๋ยวฉันจ่ายให้เองถ้าหาไม่เจอ” เกรซพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ใครฟังก็รู้ว่าอารมณ์ไม่ดี

        “ก็ได้ๆ ขอโทษ” ลุคขอโทษเกรซทันที ก่อนที่อยู่ๆพนักงานที่เคาน์เตอร์จะตะโกนเรียกเขาไปคุย ซึ่งก็ได้เรื่องมาว่ามีคนต้องการจ้างตามหาคนหาย และก็เป็นจังหวะเหมาะเจาะพอดีที่ลุคกำลังต้องการเงิน เขาจึงรีบตอบรับงานทันที โดยให้พนักงานสาวคนนั้นตอบกลับไปทางโทรศัพท์ว่าเขาจะเข้าไปหาในอีกครึ่งชั่วโมง

        “ฉันรับงานของเธฮ แต่ขอไปทำงานหนึ่งก่อน พอดีคนจ้างเขารีบ” ลูเทียร์ไม่ได้ว่าอะไรมากเท่าไหร่ แต่ในใจกับร้อนรนเพราะว่าถ้าไม่ได้เงินคืนภายในวันนี้ เธออาจต้องนอนข้างถนนหรือห้องพักซอมซ่อในเมืองที่อากาศเย็นอย่างนี้แน่ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกจากกิลด์ไปโดยมีเกรซโบกมือลา 

 

        “เอาล่ะครับ ท่านทูรัน ลูกชายท่านได้พูดอะไรก่อนจะออกไปรึเปล่าครับ” 

        หลังจากเข้ามาในคฤหาสน์ ขุนนางผู้เป็นคนจ้างลุคก็ได้เชิญให้ทั้งคู่นั่งก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเรื่องก็มีอยู่ว่าลูกชายของขุนนางท่านนี้ที่มีชื่อว่า เลเซอร์ ทอร์ช ได้หายตัวไปออกจากบ้านเป็นเวลา 3 วันแล้ว โดยตอนแรกก็นึกว่าออกไปเที่ยวเดี๋ยวตอนเช้าก็กลับมา แต่นี่กลับหายไปทั้งคนใช้และลูกชาย เขาจึงได้สั่งคนให้ตระเวนหาทุกที่ที่ลูกชายอาจจะไปแต่ก็พบเพียงรถม้าที่จอดทิ้งไว้ คนเป็นพ่อที่เป็นห่วงลูกแต่ไม่รู้จะไปหาที่ไหนจึงได้จ้างลุคซึ่งเป็นคนเดียวที่รับงานแบบนี้ภายในกิลด์นักผจญภัย

        “เอาล่ะผมว่าผมน่าจะรู้ความเป็นมาแล้วล่ะ งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ” ก่อนที่เจ้าตัวจะลุคขึ้นจากโซฟาและโค้งคำนับ พร้อมกับลูเทียร์ที่อ้ำอึ้งอยู่แต่ก็โค้งตามไปด้วย

        “เดี๋ยว! ถ้าเจ้าสามารถหาเขาเจอภายในวันนี้ ข้าจะจ่ายเพิ่มอีก 3000 กูซ” ทูรันที่กังวลเกี่ยวกับลูกได้ยื่นรางวัลเพิ่มให้กับลุค เผื่อเขาจะมีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น

        ‘รวมก็ 10,000 พอดี สบายเลยงานนี้’

        “รับทราบครับ” แล้วทั้งคู่ก็ได้เดินออกจากคฤหาสน์ไป

        ทันทีที่ออกจากตัวคฤหาสน์ ลูเทียร์ก็ได้สอบถามเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองซึ่งลุคก็ได้แต่ตอบกลับมาว่าเอาไว้ก่อน

        “นายทำงานแบบนี้มากี่ปีแล้ว” ระหว่างที่เดินลูเทียร์ไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไร เธอจึงถามอะไรไปเรื่อย

        “ไม่นาน” ลุคตอบพร้อมกับก้มหน้าอ่านบันทึกในสมุดจดของตัวเองที่เกี่ยวกับงานเมื่อครู่ ก่อนจะเริ่มมองหาอะไรบางอย่างและได้เลี้ยวไปยัง ซอยซอยหนึ่งที่มีร้านบางอย่างอยู่ ส่วนลูเทียร์ก็ได้รีบเดินตามไปอย่างใกล้ชิดกลัวอีกฝ่ายจะหนีหายไป

        ทันทีที่เข้ามาด้านในร้านเหล้า สายตาหลายสิบคู่ก็ได้จ้องมองมายังผู้มาใหม่ก่อนที่จะหันกลับไป ทางด้านของลุคที่เข้ามาด้านในก็ได้ตรงไปยังเคาน์เตอร์ก่อนจะสั่งน้ำเย็นมาดื่ม พร้อมกับลูเทียร์ที่เดินมานั่งข้างๆและสั่งน้ำมาดื่มเหมือนกัน

        ทั้งคู่ได้นั่งอยู่กับที่เป็นเวลาหลายนาทีก่อนที่ลุคจะวางเงินไว้ โดยหลังจากพักเสร็จก็ได้ตรงไปหาชายแก่คนหนึ่งที่กำลังนั่งดื่มเบียร์อยู่ ซึ่งลูเทียร์ก็ตามมานั่งด้วย

        “ว่ายังไง” ชายแก่ได้หันไปมองลุคที่เพิ่งมานั่งตรงข้ามก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว

        “ฉันกำลังตามหา เลเซอร์ ทอร์ช หายตัวไปสามวันได้”

         ชายแก่ไม่พูดอะไรก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะ ในขณะเดียวกันลูเทียร์ก็สงสัยว่ากำลังทำอะไรกันอยู่

        “เลิกเล่นได้แล้วอลัน” ลุคได้ทำเสียงเข้มเหมือนว่าจะหมดความอดทน ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้ชายตามองขึ้นมาครั้งหนึ่งก่อนจะดันตััวเองลุกขึ้นนั่งดีๆ พร้อมกับรูปร่างภายนอกที่เปลี่ยนไป

        ชายผมเงินพร้อมใบหน้าอันหล่อเหลาได้ปรากฏขึ้นมาแทนที่ชายแก่ขี้เมา และชื่อของเขาก็คือ อลัน ฟิส ชายหนุ่มผู้ชอบเที่ยวกลางคืนพร้อมกับโปรยเสน่ห์สาวๆไปทั่ว ซึ่งหลังจากตั้งสติได้บางส่วนอลันก็ได้มองไปยังลูเทียร์ที่กำลังเหม่อมองออกไปด้านนอกร้าน

        “ว้าว นี่แฟนใหม่หรอ ไม่ได้เจอกันแปปเดียวมีคนใหม่ก็ไม่บอกนะเนี่ย ความเป็นเพื่อนของเราคงจบลงแล้วสินะ” พูดจบก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ก่อนที่ลุคจะหยิบขวดเหล้าปาไปแต่ก็ถูกจับเอาไว้ได้ก่อนจะโดนหน้า

        “โว้ว! เล่นแรงนะเนี่ย” อลันวางขวดลงก่อนจะหันไปมองลูเทียร์แบบตาไม่กระพริบ

        “เพื่อนนายเป็นอะไรรึเปล่า” ลูเทียร์ที่แปลกใจก็ได้หันไปถามลุค ก่อนที่อีกฝ่ายจะบอกว่าให้ไปนั่งที่เคาน์เตอร์ก่อน ถ้าเสร็จธุระแล้วเขาจะไปเรียก ซึ่งเธอก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร

        “เอาล่ะเข้าเรื่องกันดีกว่า รู้อะไรก็คลายออกมาทั้งหมด จะได้จบเรื่องเร็วๆ” ลุคเร่งอลันให้คลายข้อมูลมาเพราะไม่อยากเสียเวลามาก

        “ก็ได้ๆ ทำหน้าดุไปได้” พูดจบเขาก็ได้บอกข้อมูลว่ามีคนเห็นว่ามีชายสวมผ้าคุลมสองคนได้เข้าไปยังหอนางโรม ซึ่งก็เป็นที่ที่ลุคนั้นรู้จักเป็นอย่างดี แต่อลันก็เตือนอีกด้วยว่าข่าวที่ได้มานั้นไม่มั่นใจสักเท่าไหร่เพราะคนที่ให้ข่าวมามองหน้าไม่ชัด ซึ่งจะใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่ทราบ และเมื่อได้ข้อมูลเป็นที่เรียบร้อยก็ไม่รอช้าที่จะออกจากร้าน แต่ก่อนที่จะได้เดินไปไหนไกลจากโต๊ะ ก็ได้ถูกแขนของอลันจับเอาไว้ก่อน 

        “ค่าข่าว” มือนึงจับแขน อีกมือแบรอเงิน

        “ทอนมา” ลุคล้วงมือหยิบแบงค์ 1000 ออกจากกระเป๋าตังค์ ก่อนจะวางลงที่โต๊ะ

        “ทอนไม่กี่ร้อย ไม่ต้องก็ได้มั้ง ยังไงนายก็มาใช้งานฉันบ่อยอยู่แล้ว คิดซะว่าติดเอาไว้ครั้งน่าจะได้จ่ายน้อยๆ และก็ขอให้รอดจากที่นั้นด้วยละกัน เพราะยัยนั้นไม่ยอมปล่อยนายไปแน่ๆ” อลันพูดจบก็ได้ใช้เวทย์กลับเป็นชายแก่ดังเดิม ซึ่งลุคก็ไม่ได้จะเรื่องมากหรอกกับเงินแค่ไม่กี่ร้อย แต่กับไอ้เรื่องคำเตือนมันทำให้เขานึกอะไรขึ้นมาได้ และเหมือนจะทำให้ขนลุกขึ้นมาหน่อยๆ ก่อนจะสลัดความคิดนั้นไปและเดินไปหาลูเทียร์ แล้วทั้งคู่ก็ได้ออกจากร้านไปโดยมีอลันมองอยู่

        ลูเทียร์เดินตามลุคไปอย่างติดๆท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างหนาแน่น จนกระทั่งมาถึงหอนางโรมขนาดใหญ่ที่ด้านนอกเป็นอาคารสามชั้น ทางเข้าเป็นประตูไม้เลื่อนซ้ายขวาพร้อมกับพนักงานสาวต้อนรับ ที่เป็นเผ่ากระต่ายและมนุษย์ธรรมดา 

        พนักงานต้อนรับทั้งสองเมื่อเห็นลุคและลูเทียร์จึงได้เปิดประตูก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าไป ซึ่งพอเข้าไปแล้วก็ยังมีพนักงานอีกคนที่ทำหน้าที่แนะนำสินค้าให้ลูกค้า แต่ไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรลุคก็ได้พูดแทรกขึ้นก่อน และเมื่อพูดจบเธอก็ได้ขอตัวขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะลงมาในเวลาไม่นานพร้อมพนักงานสาวเผ่ามนุษย์ที่สวมแว่น

        “เชิญตามมาได้เลยค่ะ” พนักงานสาวสวมแว่นเดินนำทางขึ้นไปชั้นสาม โดยดูจากลักษณะการแต่งตัวที่มิดชิดแล้วดูท่าจะคนที่มีตำแหน่งที่สูง ก่อนจะหยุดลงที่ห้องที่มีชายสองคนเฝ้าอยู่

        ชายสองคนที่ดูแล้วน่าจะมีฝีมือพอตัวตะโกนเข้าไปด้านในห้อง ก่อนที่จะมีเสียงผู้หญิงตอบกลับมา 

ประตูเปิดออกปรากฏภายในด้านในสุดเป็นหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกที่มีเส้นผมสีบลอนด์ พร้อมพลวงหางที่ฟูฟ่อง โดยเธอมีชื่อว่า ลาน่า เบล ก่อนที่จะเอ่ยคำทักทายกับเพื่อนสนิท

        “เมื่อไหร่ลุค เมื่อไหร่ เงินที่ยืมไปน่ะ” เธอพูดพร้อมสูบไปป์ และพ่นควันออกมา

        “พอดีมันยังไม่เสร็จน่ะ ลาน่า แถมมันยังไม่ถึงวันประกวดสิ่งประดิษฐ์เลย ถ้ามันเวิร์คก็จะได้เงินสนับสนุน ฉันไม่ลืมหรอกน่า” ลุคพูดพลางพร้อมกับมองหาออกเผื่อเอาไว้

        “แล้ววันนี้มีอะไร ถึงได้ถ่อมาที่นี่”

        “พอดีชั้นพาคนมาสมัครงาน ได้ยินว่าตอนนี้ต้องการเงินอยู่” และชี้ไปยังลูเทียร์ที่กำลังมองรอบๆห้องอย่างทึ่งๆเพราะความสวยงามอยู่ ก่อนที่ในเวลาต่อมาเธอจะรู้ตัวว่ามีอะไรเริ่มผิดสังเกต ซึ่งขณะเดียวกันลุคก็ได้เดินมากระซิบข้างๆหู “ถ้าฉันเรียกเมื่อไหร่ก็วิ่งได้เลย” ก่อนจะเดินออกจากห้องไป 

        “จับตัวไว้!” ลาน่าตะโกนเสียงดัง ก่อนที่เสียงนอกห้องจะดังเหมือนกับเกิดอะไรขึ้น

        “เธอน่ะเป็นใคร” ลาน่าเดินมาหาลูเทียร์ก่อนจะเดินดูรอบๆตัว

        “ผิวดูดี เส้นผมไม่มีแตกปลาย หน้าตาที่ไม่มีตำหนิ สนใจมาทำงานที่นี่รึเปล่า”

        ตอนนี้คนที่น่าเป็นห่วงดูท่าจะเป็นลูเทียร์มากกว่าลุคที่กำลังทำอะไรอยู่ข้างนอก โดยไม่ว่าจะมองทางไหนก็ไม่มีช่องว่างที่จะให้เธอได้หนีเลยสักนิด แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีอาวุธอยู่ในมือก็ตาม แต่ขึ้นชื่อว่าเผ่ามนุษย์สัตว์นั้นแค่ร่างกายก็เหนือกว่ามนุษย์แล้ว

        หนีเลย!

        เสียงตะโกนที่น่าจะเป็นสัญญาณที่ลุคเคยพูดเอาไว้ได้ดังขึ้น และไม่รอช้าเวทย์เสริมกำลังก็ได้ถูกใช้ก่อนจะรีบก้าวขาออกจากจุดที่ยืนอยู่ทันที แต่มันดูจะช้าไปเพราะลาน่าจับเธอเอาไว้ได้เสียก่อน

        “ฝากให้ลุคด้วย” ทั้งสองจ้องตากันสักครู่หนึ่ง โดยในช่วงเวลานั้นลูเทียร์เหมือนตกอยู่ในภวังค์ เพราะว่าแม้จะเห็นว่าคนตรงหน้าขยับปากพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่ได้ยินเสียงที่ออกจากปากเลย ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวและถูกไล่ให้ออกไปจากห้อง

        พอออกจากห้องเสร็จก็ไม่รอช้าที่จะวิ่งลงมายังชั้นแรกอย่างรวดเร็ว โดยพอมาถึงก็เห็นว่าลุคกำลังวิ่งหนีไปมาอยู่ที่ชั้นสองพร้อมกับแบกใครอยู่ จนกระทั้งลงมายังชั้นแรกพร้อมเสียงตะโกนที่ดังมาแต่ไกลให้รีบวิ่งออกไปทันที

 

        ทิ้งห่างจากหอนางโรมได้ระยะหนึ่งทั้งคู่ก็ได้หยุดพัก ก่อนที่ลูเทียร์จะเริ่มซักถามเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะทำไมต้องให้เธอเป็นตัวล่อด้วย และอีกอย่างก็คือชายที่ลุคกำลังแบกอยู่ตอนนี้คือใคร

        “ก็ตามที่ได้ยินน่ะ ว่าติดเงินยัยนั้นอยู่ ส่วนคนที่แบกอยู่ก็งานที่รับมาและ อุก!”  ในขณะที่กำลังพูดอยู่ลูเทียร์ก็ได้ต่อยเข้าที่ท้องของลุค ก่อนจะเริ่มปล่อยหมัดต่อเนื่องโดยเขาก็พอจะหลบได้บ้างแม้จะแบกคนอยู่ จนกระทั่งลูเทียร์เริ่มได้สติ

        “ยัยนั้นฝากของมาด้วยสินะ เอาซะจุกเลย” ดูเหมือนว่าลูเทียร์จะโดนสะกดจิตให้มาต่อยลุค 

        เมื่อหายจุกลุคก็ไม่รอช้าที่จะพาเลเซอร์ ทอร์ช ไปส่งบ้าน ซึ่งพอมาถึงยามเฝ้าประตูก็ได้ไปรีบเรียกพ่อของเลเซอร์ออกมาทันที เพื่อมาดูอาการว่าเป็นยังไงบ้าง แต่พอดูจากหน้าตาก็พอจะรู้ได้ว่ากำลังหลับจากอาการเมาอยู่ ซึ่งพอเรื่องทุกอย่างจบเป็นที่เรียบร้อยเงินก็ตามมา 

        “คนที่ตามหาลักษณะเป็นยังไง” ลุคถามขึ้นขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินออกจากคฤหาสน์พร้อมกับนับเงินที่ได้มา

        ลูเทียร์อธิบายว่าลักษณะเป็นเด็กผู้ชายอายุน่าจะประมาณ 15 หรือ 16 ปี ส่วนสูง 170 เซนติเมตร สวมผ้าพันคอขาวดำ โดยลักษณะที่ว่ามานั้นดูท่าจะมีเกลื่อนเมืองเต็มไปหมดเลยก็ว่าได้ แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาของลุคสักเท่าไหร่เพราะเขาพอจะทราบแหล่งหาคนจำพวกนี้อยู่

        เขาพาลูเทียร์ไปยังแหล่งที่พวกไม่มีที่พักหรือก็คือพวกไร้บ้าน โดยสาเหตุของคนพวกนี้ที่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งนั้นลุคก็ได้อธิบายว่า เนื่องจากหลายปีก่อนตั้งแต่เจ้าเมืองคนใหม่ได้เข้ามาปกครอง ทางเจ้าเมืองได้เรียกคืนพื้นที่บางส่วนที่เป็นพื้นที่ของพลเรือนอาศัยอยู่กลับคืน ด้วยเหตุผลที่ว่าจะพัฒนาให้เมืองมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากการประกอบกิจการใหม่ๆ แต่ก็เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่มีความคืบหน้า แถมพอพลเรือนจะทำการขอพื้นที่คืนก็ได้ถูกทำร้ายและข่มขู่ จนกระทั้งพวกเขาเหล่านั้นต้องมาอาศัยอยู่ในซอยสลัมที่สกปรกและไร้สิ่งอำนวยความสะดวก

        “น่าจะเป็นคน” ลุคชี้ไปยังเด็กคนหนึ่งที่กำลังถือขนมปังก้อนจำนวนมากพร้อมกับแบ่งให้กับคนอื่นๆ โดยคนส่วนใหญ่ที่รับนั้นก็คือคนที่มีอายุและไม่สามารถทำงานได้ รวมถึงเด็กตัวเล็กๆที่ยิ้มแย้มพอได้ขนมปัง 

        สำหรับลูเทียร์แล้วการมีอาหารกินครบสามมื้อนั้นเป็นเรื่องที่เธอคุ้นชิน จนทำให้ลืมไปว่ายังมีคนที่ต้องอดมื้อกินมื้ออยู่ ซึ่งมันก็ทำให้เธอตัดสินใจที่จะไม่ไปขอเงินคืนจากเด็กคนนั้น ก่อนจะเดินจากไปโดยที่ลุคก็พอทราบเหตุผล

        “ได้ยินว่าไม่มีเงิน พอดีชั้นก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรซะด้วย” เขาหยิบเงินแบงค์ออกจากกระเป๋าเงิน ซึ่งก็เป็นแบงค์ 1000

        “นี่ค่าที่ช่วยตอนเอาเลซอร์ ทอร์ชออกมา” ลุคชูเงินแบงค์ 1000 ให้ดู “ส่วนค่าจ้างหาคน ก็ 500 กูซ ดังนั้นเงินที่เหลือก็คือ 500 พอดี” เขาหยิบแบงค์ 500 ออกมาก่อนจะเก็บแบงค์ 1000 เข้าในกระเป๋าและยื่นเงิน 500 ให้เธอแล้วเดินจากไป โดยที่ลูเทียร์ก็ได้แต่ยืนงงที่ว่าถึงจะขอบใจที่ให้เงิน แต่ค่าจ้างอะไรตั้งห้าร้อยแถมมันดูเป็นงานง่ายๆซะด้วย แต่ก็เอาเหอะใครจะช่วยทำงานให้ฟรีล่ะ เพราะไม่ใช่งานอาสาสักหน่อยแต่เป็นงานจ้างวาน

        ทุกอย่างจบลงเหมือนจะดี แต่นี่ก็เป็นเวลาเย็นและลูเทียร์ก็ยังไม่มีที่พัก นั้นจึงทำให้เธอต้องออกวิ่งตระเวนหาที่พักราคาถูก แต่ก็เหมือนว่าทุกโรงแรมจะเต็มไปหมดเสียแล้ว

        “บ้าน่า คืนนี้ต้องนอนข้างนอกจริงๆหรอเนี่ย” เจ้าตัวเริ่มสิ้นหวังกับสถานการณ์ ก่อนที่เสียงใครบางคนจะเรียกชื่อเธอจากทางด้านหลัง

        “คุณลูเทียร์มีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ” คนคนนั้นก็คือเกรซที่กำลังจะกลับบ้านนั้นเอง 

        “พอดีหาที่พักไม่ได้เลยค่ะ” 

        “งั้นมาพักด้วยกันก่อนก็ได้นะคะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยหาที่พักอีกที” เกรซชวนลูเทียร์มาพักด้วยเพราะเกรงว่าจะหาที่พักไม่ได้

        “ไม่เป็นอะไรดีกว่าค่ะ ไม่อยากรบกวนมากไปกว่านี้” 

        ลูเทียร์ที่เกรงใจก็ได้ปฎิเสธไป แต่ทางด้านเกรซก็ไม่ยอมง่ายๆจนกระทั่งอยู่ๆเจ้าตัวก็ได้นึกอะไรขึ้นมาได้

        “ที่กิลด์ยังมีห้องพักอยู่นะคะ แต่มันเป็นห้องเก็บอุปกรณ์ที่ไม่ใช้แล้ว สนใจรึเปล่าคะ” 

ดูเหมือนว่าลูเทียร์จะตกลงที่จะพักที่นี่ไปก่อนเพราะไม่อยากจะรบกวนเกรซไปมากกว่านี้ ซึ่งพอมาถึงกิลด์ก็เป็นช่วงที่ปิดอาคารไปแล้ว แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเกรซมีกุญแจสำหรับเปิดประตูอยู่ ก่อนที่เธอจะเดินนำไปยังห้องที่ว่าโดยพอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับฝุ่นที่คลุ้งกระจายไปทั่ว 

        ทั้งสองมองหน้ากันพร้อมกับขำเล็กน้อยเพราะต่างคนก็ต่างเห็นอีกฝ่ายน้ำตาไหลเพราะฝุ่นเข้าตา ก่อนที่ทั้งคู่จะช่วยกันจัดการห้องที่ฝุ่นเต็มไปหมดแม้ว่าลูเทียร์จะบอกแล้วว่าไม่ต้องช่วย แต่อีกฝ่ายก็ยังยืนยันคำเดิมที่จะช่วยจนกระทั่งใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ซึ่งที่นอนนั้นก็เป็นฟูกนอนที่วางกับพื้นและมีผ้าคลุมแถมผ้าห่มอีกสองผืนที่เกรซหยิบมาจากไหนก็ไม่ทราบ 

        “ขอบคุณมากจริงๆค่ะ ถ้าไม่ได้ช่วยไว้คงต้องนอนข้างถนนแน่ๆเลย” ลูเทียร์ซึ่งใจกับน้ำใจครั้งนี้ของเกรซมากๆ

        “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วคุณลูเทียร์ทานอะไรรึยังคะ”

        “เรียกลูเทียร์เฉยๆก็ได้ค่ะ แล้วก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลยค่ะ”

        ได้ยินอย่างนั้นเกรซก็ไม่รอช้าที่จะลากลูเทียร์ไปทานข้าวเย็นด้วยกัน หลังจากทานอาหารเสร็จทั้งคู่ก็ได้แยกกันกลับที่พัก โดยก่อนจะแยกย้ายเกรซก็ไม่ลืมที่จะให้กุญแจกิลด์สำหรับเปิดประตู ซึ่งก็ทำให้ลูเทียร์แปลกใจที่อีกฝ่ายไว้ใจเธอขนาดนี้ ก่อนจะทราบว่าภายในกิลด์มีระบบป้องกันภัยเอาไว้ แถมของทุกชิ้นก็ยังลงอักขระเวทย์เอาไว้อีก ใครที่จะขโมยก็เรียกได้ว่าโง่เต็มที 

         พอกลับมาถึงห้องลูเทียร์เธอก็ไม่รอช้าที่จะถอดชุดเกราะทิ้ง และพุ่งตัวเข้าไปซุกอยู่ในผ้าห่มท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย

        “วันนี้เหนื่อยจัง” ก่อนที่จะเผลอหลับไป

สารบัญ / นำทาง

ความคิดเห็น

รูปภาพของ tor

หอนางโรม = หอนางโลมครับ

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.