บทที่๑๓

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A
อ่านต่อ

บทที่๑๓

คุณนภาลัย ปราภพ และพรรณนิภาไปทำบุญ ส่วนปาณัทกับภูริชไปทำงาน แต่เขมนันท์กับประภาขึ้นบนห้องนอน กำลังปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดทีเดียว

“เราต้องกำจัดไอ้ป้องนะคุณเขม ไม่อย่างนั้นมันจะได้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูล” ประภาว่า

“ใช่! เราต้องกำจัดมัน” เขมนันท์เห็นด้วย “แต่เราจะกำจัดมันด้วยวิธีไหนล่ะ มันไม่ง่ายเลยนะ ไอ้ป้องมันฉลาดจะตายคุณก็รู้”

“คุณพอจะรู้จักนักฆ่ามืออาชีพสักคนไหมคะคุณเขม จะเสียเงินสักเท่าไหร่ฉันไม่สน ขอเพียงแค่ให้ฆ่าไอ้ป้องได้สำเร็จก็พอ ฉันพร้อมจ่ายไม่อั้น” คนอย่างเธอทำได้ทุกอย่างเพื่อทรัพย์สมบัติ และเลือดเย็น จิตใจโหดเหี้ยม ทำได้แม้กระทั่งกับหลานแท้ๆ ของตัวเอง อีกทั้งมีสามีที่คอยยุยงเธอยิ่งได้ใจ ยิ่งกล้าทำ

“ผมรู้จักอยู่คนหนึ่งครับ คนนี้เป็นนักกีฬายิงปืนทีมชาติ ยิงไม่เคยพลาดเป้า คุณไว้ใจเขาได้เลย เขาเคยรับจ้างฆ่าคน และเขาไม่เคยทิ้งร่องรอยให้ตำรวจจับได้” เขมนันท์บอก

ประภาจึงถามว่า

“แล้วคุณมีเบอร์โทรเขาไหมคะ”

“ไม่มีครับ” เขาสั่นศีรษะ “แต่ผมพอจะรู้จักที่อยู่ของเขา เดี๋ยวผมจะไปติดต่อเขาให้เอง”

“ไปตอนนี้เลยค่ะ”

“หา! ตอนนี้เลยเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ ฉันอยากจะกำจัดมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เวลามันไม่เคยรอใคร” เธอบอก “ส่วนเรื่องเงินให้เขามาเอาที่ฉัน ถ้าทำงานสำเร็จ”

“โธ่! คุณภา ถ้าไม่ให้เงินเขาก่อนเขาก็ไม่ทำงานให้เราสิ”

“คุณรู้ได้ยังไง”

“เอ้อ ผมก็เดาเอานั่นแหละ”

“นึกว่าคุณจะรู้จริงๆ ซะอีก คุณรีบไปติดต่อเขาเลย ด่วนที่สุด”

“ได้!” เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกไป

เมื่ออยู่คนเดียวประภาก็ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่โหดเหี้ยม

“มันช่วยไม่ได้นะตาป้องหลานรัก ฉันไม่ยอมให้อยู่เป็นเสี้ยนหนามของฉันหรอก ทรัพย์สมบัติของตระกูลต้องตกเป็นของตาภูทั้งหมด”

 

คุณนภาลัย ปราภพกับพรรณนิภามาทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง เมื่อทำบุญถวายสังฆทานเสร็จก็ไปปล่อยปลาลงคลอง จากนั้นก็พากันไปไหว้ขอพรองค์พระประธานในอุโบสถต่อ ด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่ ที่หวังว่าจะได้พบฝาแฝดอีกคนที่ถูกพลัดพรากไป

ต่างคนต่างขอพรในใจ

โดยคุณนภาลัยขอพรว่า

“องค์พระประธานคะ ขอให้ดิฉันได้พบหลานชายฝาแฝดอีกคนที่ถูกพลัดพรากไปเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วด้วยเถอะค่ะ ตอนนี้ยังตามหาตัวเขาไม่พบ แต่ดิฉันหวังเขาจะยังมีชีวิตอยู่นะคะ”

ส่วนพรรณนิภาก็ได้ขอพรว่า

“ถ้าดิฉันกับลูกชายฝาแฝดอีกคนยังมีบุญวาสนาต่อกัน ก็ขอให้ดิฉันได้พบเขาเร็วๆ ด้วยเถอะค่ะ ดิฉันรอคอยเขามานาน อยากกอดเขา อยากให้เขากลับมาค่ะ”

และปราภพก็ขอพรอีกแบบ

“ไม่ว่าลูกชายฝาแฝดของผมอีกคนจะอยู่หนแห่งใดก็ขอให้นักสืบที่ผมจ้าง ตามหาตัวเขาเจอเถอะครับ ทั้งคุณแม่ของผม ทั้งภรรยาของผม และตัวของผมเองก็หวังว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ และตามหาตัวเขาพบในเร็วๆ นี้ ขอบุญที่ผมเคยทำมาทั้งหมดส่งผลให้ผมสมหวังด้วยเถอะครับ”

แล้วทั้งสามคนก็กราบองค์พระประธาน ก่อนจะพากันเดินออกไปจากอุโบสถทัน

เมื่อเดินออกมาข้างนอกแล้วคุณนภาลัยก็พูดกับลูกชายและลูกสะใภ้ว่า

“แม่ยังมีความหวังนะ แม่เชื่อว่าตาปิติกรเขาจะยังมีชีวิตอยู่ เขาต้องอยู่ที่ใดสักแห่ง”

“ผมจะต้องตามหาตัวเขาให้พบ ไม่ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินหาผมก็จะทำ” ปราภพบอกอย่างแน่วแน่

พรรณนิภาจึงถามผู้เป็นสามีว่า

“แล้วนักสืบที่คุณจ้างล่ะคะ เขายังไม่มีวี่แววอะไรเลยเหรอคะ”

“ตอนนี้ยังครับ แต่อีกไม่นานคงมี”

“ฉันหวังเหลือเกินว่าจะเจอเขาเร็วๆ” เธอพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ ก่อนจะหันไปบอกผู้เป็นแม่สามี “เอ้อ จริงสิคะคุณแม่ ดิฉันยังไม่ได้เล่าความฝันให้คุณแม่ฟังเลยค่ะ”

“ฝันว่าอะไร” คุณนภาลัยถามอย่างอยากรู้

“ก็ดิฉันฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ป่าค่ะคุณแม่ เขาแต่งตัวบ้านๆ เหมือนอยู่ในสลัม เขายืนหันหลังให้ดิฉัน แต่มองดูด้านหลังเหมือนตาป้องมากค่ะ สูงเท่ากันอีก เขาหันหน้ามาข้างๆ ดิฉันเห็นหน้าเขาแค่เสี่ยวหนึ่ง ตอนแรกดิฉันคิดว่าเป็นตาป้อง แต่ไม่ใช่แน่นอนค่ะ เขารีบเดินเข้าไปในป่า ดิฉันก็ตะโกนเรียกเขา ดิฉันคิดว่าเขาต้องเป็นตาปิติกรแน่เลยค่ะคุณแม่ ต้องเป็นฝาแฝดอีกคนแน่ๆ เลยค่ะ”

“ไม่มีอะไรหรอกมั้ง ก็แค่ความฝันน่ะ” ท่านบอก “กลับบ้านกันเถอะนะ”

“ครับ คุณแม่” ปราภพพยักหน้า

แล้วทั้งสามคนก็เดินไปที่รถที่จอดอยู่ข้างนอกวัดทันที

 

วันนี้ปาณัทได้เรียกให้ผู้เป็นพ่อให้ไปพบที่ห้องทำงานของบริษัทเพราะมีธุระจะคุยด้วย ธุระที่ว่าคือเรื่องโครงการที่จะสร้างร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยในเครือบริษัทบวรเทพ จิวเวลรี่ นั่นเอง!

“พ่อว่าทำไมเราไม่ซื้อต่อร้านทองที่เขากำลังจะขายล่ะลูก มันจะได้ไม่ต้องลงทุนเยอะ เราแค่ปรับปรุงร้านให้ดูดีนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง” ปราภพออกความคิดเห็น

“เป็นความคิดที่ดีครับคุณพ่อ” ชายหนุ่มเห็นด้วยกับผู้เป็นพ่อ “ว่าแต่ร้านทองแถวไหนที่เขาจะขายล่ะครับ”

“มีคนบอกพ่อมาว่าร้านทองแถวปทุมธานีเขากำลังจะเจ๊ง เจ้าของร้านก็เลยจะขายทอดตลาด เขาขายในราคาสองล้าน พ่อก็ว่าไม่แพงนะ เพราะร้านทองร้านนี้ใหญ่มาก อ้อ มีคนส่งรูปมาให้พ่อดูด้วย” เขาหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาและเปิดรูปภาพให้ลูกชายดู

ปาณัทรับแท็บเล็ตมาดูรูปภาพ เขาเลื่อนดูไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่าร้านทองในรูปนั้นใหญ่มาก และคนที่ลงทุนเปิดร้านคงจะเป็นระดับเศรษฐีพันล้าน แต่เพราะอะไรทำไมร้านกำลังจะเจ๊ง หรือเพราะขาดทุน เขาก็ได้แต่เดาเท่านั้น

“ร้านทองนี้ใหญ่จริงๆ นะครับคุณพ่อ ใหญ่เท่าห้างสรรพสินค้า แสดงว่าคนที่ลงทุนเปิดร้านคงจะเป็นระดับเศรษฐีพันล้านแน่ๆ แต่เพราะอะไรเขาถึงคิดจะขายร้านทองล่ะครับคุณพ่อ” เขาแปลกใจ

ปราภพจึงบอกผู้เป็นลูกชายว่า

“ได้ข่าวที่เจ้าของร้านทองเขาคิดจะขายร้านก็เพราะว่าขาดทุนหลายล้านเลยทีเดียว เขาไม่อยากทำธุรกิจนี้ต่อ แต่ถ้าเราไปซื้อร้านนี้ต่อจากเขามันอาจจะส่งผลดีกับเรา เราจะได้ไม่ต้องลงทุนสร้างร้านใหม่ ซึ่งมันคงจะหมดเยอะกว่าที่เราซื้อร้านต่อจากเขา”

“โอเคครับคุณพ่อ ติดต่อทำสัญญาซื้อขายกับเจ้าของร้านนี้เลยครับ”

“ได้สิลูก เอ๊ะ หรือว่าเราจะไปติดต่อเขาที่นั่นด้วยตัวเอง จะได้คุยรายละเอียดการซื้อขายด้วย”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับคุณพ่อ ว่าแต่เราจะไปวันไหนดีครับ”

“พรุ่งนี้ก็ได้” ผู้เป็นพ่อบอก ก่อนจะเปลี่ยนจากเรื่องงานเป็นเรื่องอื่นแทน “พ่อได้ข่าวว่าลูกกับหนูรินเจอกันหลายครั้งแล้วใช่ไหม”

“อ้อ ใช่ครับ” ปาณัทพยักหน้ายิ้มๆ “ก็เวลาผมคุยกับน้องรินผมก็สบายใจทุกครั้งครับคุณพ่อ น้องรินเขาให้กำลังใจผม ตอนที่ผมเลิกกับลิต้าใหม่ๆ น้องรินบอกว่าผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลก คนหล่ออย่างผมหาใหม่ได้” ประโยคท้ายถึงกับหัวเราะ

ปราภพพยักหน้า

“อืมม์ ที่หนูรินพูดมันก็ถูก”

“ครับ...คุณพ่อ พอน้องรินให้ข้อคิดผมก็ปลงได้แล้วครับ อะไรที่ไม่ใช่ของเรายังไงก็ไม่ใช่ของเรา รั้งให้ตายเขาก็ไปอยู่ดี”

“เมื่อลูกคิดได้และทำใจได้พ่อก็ดีใจ แต่ต่อไปลูกอย่าไปมีเรื่องกับนายภูอีกนะ ถ้ารู้ไปถึงหูคุณย่า เดี๋ยวคุณย่าจะไม่สบายใจและอาการของท่านจะกำเริบอีก” ผู้เป็นพ่อบอก

ปาณัทจึงบอกว่า

“สำหรับผมผมรับปากได้ครับ แต่นายภูผมไม่แน่ใจว่ามันจะทำได้ไหม”

“นายภูมันจะทำได้หรือไม่ได้ก็ช่างมัน ขอให้ลูกของพ่อทำได้ก็พอ”

“ครับคุณพ่อ” ชายหนุ่มยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ

 

 

“นักยิงปืนแม่นๆ ที่ฉันให้คุณติดต่อ เป็นยังไงบ้างคะ เขาตกลงจะรับงานไหม” ประภาถามผู้เป็นสามีขณะอยู่ในห้องนอน

เขมนันท์จึงตอบว่า

“เขารับงานอยู่ ส่วนเรื่องค่าจ้างเขาจะบอกอีกที เขาบอกว่าถ้าจะให้เขาลงมือเมื่อไหร่ก็บอกเขาว่างเสมอ อ้อ เขาให้เบอร์โทรมาด้วย” เขายื่นกระดาษเล็กๆ ที่เขียนเบอร์โทรศัพท์ให้ผู้เป็นภรรยา

อีกฝ่ายรับมาดูและยิ้มร้าย

“เสร็จฉันแน่ไอ้ป้อง แกไม่มีทางรอดแน่”

“คุณนี่ร้ายได้ใจผมจริงๆ”

“คุณหลอกด่าฉันเหรอ”

“เอ้อ เปล่า ผมไม่ได้หลอกด่า”

‘แต่ผมด่าคุณจริงๆ เลยละ’ เขาไม่พูดออกไป

“แล้วไปค่ะ” เธอพยักหน้า “ถ้างานนี้สำเร็จ...ฉันจะให้รางวัลคุณอย่างงามค่ะคุณเขม”

“จริงเหรอครับคุณภา”

“จริงสิคะ คุณเคยเห็นฉันพูดเล่นด้วยเหรอคะ”

“คุณนี่น่ารักเสมอนะคุณภา” เขมนันท์จับแก้มผู้เป็นภรรยาจับเบาๆ

“ฉันใจดีกับคุณขนาดนี้ คุณก็อย่าคิดนอกใจฉันนะ” เธอบอก

อีกฝ่ายจึงพูดว่า

“โธ่! ผมไม่คิดนอกใจคุณหรอกน่ะ ผมรักคุณจะตาย”

“ให้มันจริงเถอะค่ะ”

“จริงแท้แน่นอน”

สองสามีภรรยาคู่นี้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เหมือนผีเน่ากับโลงผุ สมแล้วที่อยู่ด้วยกันมานานหลายปี

 

 

ปราภพกับพรรณนิภาเข้าห้องนอน ขณะนี้เป็นเวลาสามทุ่มแต่ทั้งสองคนยังนอนไม่หลับ กำลังนั่งพูดคุยกันเรื่องทั่วไป แต่ไม่ใช่เรื่องเครียด

“พรุ่งนี้ผมกับลูกจะไปดูร้านทองแถวปทุมธานีที่เขาประกาศว่าจะขาย เพราะกำลังจะเจ๊ง ไปติดต่อทำสัญญาซื้อขายด้วยเลย” เขาบอกผู้เป็นภรรยา

“ไปกับลูกสองคนเหรอคะ” เธอถามยิ้มแย้ม

ผู้เป็นสามีพยักหน้า

“ใช่! ผมจะไปกับลูกสองคน”

“ฉันอยากรู้ว่าร้านทองที่ว่าจะขายนั่นมันใหญ่ไหมคะคุณ”

“ใหญ่สิคุณ เดี๋ยวผมจะเอารูปให้คุณดู” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นไปหยิบแท็บเล็ตที่วางอยู่บนลิ้นชักตรงหัวเตียงนอน แล้วเอามาเปิดรูปร้านทองที่ว่าเจ้าของจะขาย

พรรณนิภารับมาดู เธอเลื่อนดูรูปภาพไปเรื่อยๆ แล้วเบิกตากว้าง

“ว้าว! ร้านทองอะไรใหญ่จังคะคุณ ราวกับห้างสรรพสินค้าเลยทีเดียวค่ะ”

“คุณก็พูดเหมือนลูกอีกละ ใหญ่เหมือนห้างสรรพสินค้า”

“ก็มันใหญ่เหมือนห้างสรรพสินค้าจริงๆ นี่คะ” เธอว่า “ฉันว่าคนที่ลงทุนทำร้านทองใหญ่ๆ แบบนี้ เขาต้องเป็นระดับเศรษฐีพันล้านแน่เลยค่ะ แต่เอ...ทำไมเขาถึงตัดสินใจที่จะขายร้านล่ะคะ”

“เพราะมันขาดทุนย่อยยับ” ปราภพบอก “ผมได้ข่าวว่าเจ้าของร้านทองนี้เขาขาดทุนหลายล้านเลยทีเดียว เขาถึงตัดสินใจปิดกิจการและจะไปทำธุรกิจอื่นแทน”

ผู้เป็นภรรยาพยักหน้าเข้าใจ

“อ้อ มันเป็นแบบนี้เอง”

“แล้วอีกอย่าง ข้อดีของการซื้อร้านทองที่เจ้าของเขาจะขายมันก็ดีกว่าเราไปลงทุนทำร้านทองเอง เพราะมันอาจจะหมดเยอะกว่าที่เราซื้อเขา”

“ก็จริงนะคะ” พรรณนิภาเห็นด้วยกับผู้เป็นสามี “แล้วเขาขายในราคาเท่าไหร่คะคุณ”

“สามล้านบาท”

“แค่นี้ฉันว่าไม่แพงเลยค่ะ”

“ผมก็ว่าไม่แพง ผมถึงไปคุยกับลูก แล้วลูกก็เห็นด้วยกับผม เลยตกลงกันว่าจะไปติดต่อเจ้าของร้านทองนี้เพื่อที่จะซื้อต่อในวันพรุ่งนี้” ปราภพบอกยิ้มๆ

“ค่ะ ฉันขอให้คุณกับลูกติดต่อซื้อขายร้านนี้สำเร็จนะคะ”

“ครับ เรานอนกันเถอะครับ” เขาบอก ก่อนจะล้มตัวนอนลง ส่วนพรรณนิภาก็ลุกเดินไปปิดไฟและกลับมานอน

 

 

เช้าวันใหม่ ปราภพกับปาณัทกำลังเตรียมตัวไปดูร้านทองที่ประกาศจะขายแถวปทุมธานี ทั้งสองกำลังจะเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าคฤหาสน์ แต่เสียงโทรศัพท์มือถือของปาณัทดังขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มกดรับสาย

“สวัสดีครับคุณสุ มีอะไรเหรอครับ วันนี้ผมมีธุระจะไปทำครับ ฮะ! มีเอกสารด่วนจะให้ผมเซ็น ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะให้คุณพ่อไปเซ็นแทนครับ” แล้วก็วางสายไป ก่อนจะหันไปบอกผู้เป็นพ่อ “คุณพ่อครับ คุณพ่อไม่ต้องไปกับผมก็ได้ครับ ผมไปคนเดียวได้ เดี๋ยวคุณพ่อเข้าไปที่บริษัทนะครับ มีเอกสารด่วนที่จะต้องเซ็นครับ ผมวานให้คุณพ่อเซ็นแทนผมที”

“แต่พ่อเป็นแค่รองประธานนะ” ปราภพว่า

“เซ็นได้ครับ” ชายหนุ่มยืนยัน

ผู้เป็นพ่อจึงถามว่า

“ลูกแน่ใจนะว่าจะไปคนเดียว”

“ผมแน่ใจครับ” เขาพยักหน้ายิ้มๆ

“แม่เป็นห่วงลูกจัง” พรรณนิภาว่า

ปาณัทจึงจับมือผู้เป็นแม่ขึ้นมาและบอกว่า

“คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ ผมดูแลตัวเองได้ ผมโตแล้วครับ”

“ถึงลูกจะโตแล้ว แต่ในสายตาของแม่ลูกยังเป็นเด็กน้อยเสมอ แต่ยังไงลูกก็อย่าประมาทนะ”

“ครับคุณแม่” เขายิ้มให้แม่ “ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“จ้ะลูก” พรรณนิภาพยักหน้า

แล้วปาณัทก็เดินออกไปทันที

ตอนนี้จึงเหลือเพียงปราภพกับพรรณนิภา แล้วปราภพก็บอกกับผู้เป็นภรรยาว่า

“ผมขอตัวก่อนนะคุณ ต้องไปเซ็นเอกสารสำคัญแทนลูก”

“ค่ะคุณ”

แล้วปราภพก็เดินออกไปจากตรงนี้

พรรณนิภาจะหันกลับเดินไปที่ห้องโถงก็เจอประภายืนขวางทาง พร้อมกับถามว่า

“นั่นพี่ปราภพกับตาป้องไปไหนคะพี่พรรณ”

“คุณปราภพไปที่บริษัท ส่วนตาป้องไปดูร้านทองที่เจ้าของจะขายแถวปทุมธานีน่ะ ว่าแต่เธอถามทำไม”

“เปล่าค่ะ” เธอสั่นศีรษะ

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พี่ขอตัวก่อนนะ” พูดจบเธอก็เดินออกไปทันที

เมื่อพี่สะใภ้ไปแล้วประภาก็ยิ้มดีใจ เธอรีบเดินออกจากคฤหาสน์ไปหาที่เงียบๆ เพื่อโทรหาคนที่เธอจะจ้างให้ฆ่าปาณัท เมื่อหาที่ปลอดคนได้แล้วเธอก็กดต่อสาย ไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย

“ฮัลโหลค่ะ นั่นใช่นักกีฬายิงปืนทีมชาติใช่ไหมคะ อ้อ ใช่เหรอคะ...ฉันเป็นภรรยาของคนที่ไปติดต่อให้คุณยิงคนให้เมื่อวานน่ะค่ะ จำได้แล้วใช่ไหมคะ ฉันให้คุณลงมือวันนี้เลยค่ะ วันนี้คนที่ฉันจะให้คุณยิงมันไปทำธุระแถวปทุมธานี คุณไปจัดการยิงมันได้เลยค่ะ อย่าให้พลาดนะคะ เรื่องเงินฉันจ่ายไม่อั้นเมื่องานสำเร็จ แค่นี้นะคะ เดี๋ยวฉันจะส่งรูปไปให้ดู”

หลังจากวางสายเธอก็ยิ้มโหดเหี้ยม

“ไอ้ป้อง แกไม่รอดแน่ เดี๋ยวฉันจะเตรียมชุดดำไว้ใส่ไปงานศพแก” พูดจบเธอก็หัวเราะสะใจ

 

 

ปาณัทขับรถมาถึงร้านทองแถวปทุมธานีที่ว่าเจ้าของจะขายเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า เขาเคยเห็นแต่ในรูปภาพ แต่วันนี้เขาได้มาเห็นของจริงก็ถึงกับอึ้งเลยทีเดียว เพราะร้านทองนี้ใหญ่มาก ใหญ่เท่ากับห้างสรรพสินค้าเหมือนอย่างที่เขาว่า มองทะลุกระจกใสเข้าไปด้านในเห็นความกว้างขวางมาก เหมาะกับการตั้งเครื่องประดับเพชรพลอยขายหลายชิ้นหลายอย่างเลยทีเดียว แถมบริเวณนี้ก็ทำเลดีมาก ร้านติดกับถนนใหญ่ ซื้อขายสะดวก

ทันใดนั้นเองก็มีรถเก๋งหรูคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดหน้าร้าน แล้วประตูรถก็เปิดออก เจ้าของก้าวลงมาจากรถ เป็นผู้ชายวัยกลางคน ลักษณะการแต่งตัวดูดีทีเดียว แล้วเขาก็เดินมาหาปาณัท พร้อมกับถามว่า

“อ้าว! ไอ้หนุ่มมายืนด้อมๆ มองๆ ร้านทำไม จะมาซื้อต่อเหรอ”

“สวัสดีครับ พี่รู้จักเจ้าของร้านนี้ไหมครับ” ชายหนุ่มประนมมือไหว้อีกฝ่าย

ชายผู้นั้นจึงตอบว่า

“รู้จักสิ ก็พี่นี่แหละที่เป็นเจ้าของร้าน”

“ถึงว่าละ พี่แต่งตัวดูดีเชียว” เขาชมจากใจจริง

“ขอบใจนะ ว่าแต่นายยังไม่ตอบคำถามพี่เลย นายจะมาซื้อร้านนี้เหรอ”

“อ๋อ ใช่ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า “คือผมได้ข่าวว่าพี่จะขายร้านนี้ผมก็เลยมาดู และเห็นราคาที่พี่จะขายก็ไม่แพง ผมเป็นเจ้าของบริษัทบวรเทพ จิวเวลรี่ เป็นบริษัทผลิตเครื่องประดับเพชรพลอยส่งออกทั้งในประเทศและต่างประเทศครับ ตอนนี้ผมกำลังคิดโครงการจะทำร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยในเครือของบริษัท พอดีผมเห็นพี่ประกาศว่าจะขายร้านนี้ก็เลยจะซื้อเอาไว้ อีกอย่าง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำร้านใหม่ครับ”

“อ้อ แบบนี้เอง” ชายผู้เป็นเจ้าของร้านพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะอธิบายว่า “พี่ลงทุนเปิดร้านทองนี้มานานหลายปี ตอนเปิดร้านใหม่ๆ คนไม่ค่อยรู้จักร้านของพี่ก็เลยไม่มีใครมา แต่นานๆ ไปพอคนรู้จักก็มีคนหลั่งไหลเข้ามาซื้อเป็นจำนวนมาก แต่พักหลังๆ มานี้ไม่มีคนเข้าร้านตั้งสองเดือน ทำให้ไม่มีคนซื้อทองของพี่ แล้วพี่ก็ขาดทุน พี่ก็เลยปรึกษากับเมียของพี่ว่าจะขายร้านนี้เพื่อจะไปทำธุรกิจอื่น พอตกลงกันได้ก็ประกาศขายอย่างที่น้องเห็นนั่นแหละ”

“มันเป็นเพราะอะไรเหรอครับพี่”

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขาสั่นศีรษะ “ตกลงน้องจะซื้อร้านนี้นะ พอดีพี่เอาเอกสารการซื้อขายติดรถมาด้วย”

“ผมก็เตรียมเงินสดมาด้วยเหมือนกันครับ” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ

“รอเดี๋ยวนะ” เจ้าของร้านเดินไปที่รถ สักพักก็กลับพร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาล และยื่นให้ปาณัท “เปิดอ่านดูก่อนได้นะ”

“ครับพี่” เขารับมา ก่อนจะเปิดซองและเอาเอกสารออกมาอ่านดู เมื่ออ่านจบเขาพยักหน้ายิ้มๆ ให้อีกฝ่าย “โอเคเลยครับ”

“พี่ว่าเราเข้าไปข้างในร้านดีกว่า น้องจะได้เดินสำรวจดูร้านก่อนจะซื้อด้วย”

“เดี๋ยวก่อนครับ เดี๋ยวผมไปเอาเงินที่รถก่อนครับ” ปาณัทเดินไปที่รถที่จอดอยู่ใกล้ๆ สักพักก็เดินกลับมาพร้อมกับซองเงินสดและบอกเจ้าของร้านว่า “เข้าไปข้างในกันครับ”

แล้วทั้งสองคนก็เดินเข้าไปข้างในร้าน โดยเจ้าของร้านเป็นคนปลดล็อกกุญแจ

ข้างในร้านนั้นกว้างขวาง มีตู้กระจกสำหรับวางเครื่องประดับเพชรพลอยเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นแหวนเงินแหวนทอง สร้อยคอทองคำ และอีกมากมายหลายชนิด รวมๆ กันแล้วประมาณยี่สิบตู้ เพราะมีเครื่องประดับขายเยอะ และมีภาพประดับอีกหลากหลาย ล้วนแต่เป็นภาพเกี่ยวกับแฟชั่นเครื่องประดับทั้งนั้น ให้คนที่เข้ามาซื้อได้ดู

“ภาพเหล่านี้เป็นภาพเกี่ยวกับแฟชั่นเครื่องประดับทั้งสิ้น ติดไว้เพื่อให้คนที่เข้ามาซื้อเพชรพลอยได้ชมกัน” ผู้เป็นเจ้าของร้านบอก

ปาณัทจึงถามว่า

“ถ้าพี่ขายร้านนี้แล้ว พี่ไม่เก็บรูปภาพพวกนี้ไปด้วยเหรอครับ”

“ไม่หรอก พี่ให้นายเลยฟรีๆ”

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็ไม่รู้ว่าจะเก็บเอาไปทำไม เพราะถึงยังไงพี่ก็ไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับเพชรพลอยอีกแล้ว”

“ก็เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกไงครับ” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

“ไม่ต้องหรอก นายเก็บไว้ให้ลูกค้าดูเถอะ”

“ถ้างั้นผมขอบคุณพี่มากนะครับ”

“อืมม์ ไม่เป็นไร ตามพี่มาทางนี้สิ เราจะได้เซ็นสัญญาซื้อขายกัน” พูดจบเขาก็เดินไปที่ด้านหนึ่งของร้าน ซึ่งมีห้องรับแขกอยู่ เขาเดินเข้าไปในห้องรับแขก ส่วนปาณัทก็เดินตามเข้าไป อีกฝ่ายบอกว่า “นี่คือห้องรับแขก พี่สร้างไว้เพื่อเวลาที่พี่เข้ามาที่ร้านพี่ได้พักผ่อนในห้องนี้ เอาละ นั่งลงก่อนสิ” แล้วเขาก็นั่งลงบนโซฟา

ปาณัทนั่งลงโซฟาอีกตัว ก่อนจะถามว่า

“ร้านนี้ใหญ่จริงๆ นะครับ ใหญ่เท่าห้างสรรพสินค้า ขออนุญาตถามพี่หน่อยนะครับ พี่ลงทุนสร้างร้านหมดไปเท่าไหร่ครับ”

“เยอะอยู่เหมือนกันนะ” อีกฝ่ายว่า “ราคาประมาณแปดล้านบาท เพราะวัสดุก่อสร้างแต่ละอย่างแพงๆ ทั้งนั้น พี่เลือกแต่ของดีๆ แพงๆ เพื่อให้ร้านนี้ออกมาสวยงามและสมบูรณ์แบบที่สุด”

“แต่ว่าพี่ขายในราคาสามล้านบาทมันจะคุ้มเหรอครับ พี่อุตส่าห์ลงทุนสร้างมาตั้งแปดล้านบาท ขาดทุนไปตั้งห้าล้าน”

“คุ้มไม่คุ้มพี่ก็ต้องขาย เพราะถ้าขายเยอะกว่านี้มันจะไม่มีคนซื้อนะ” เจ้าของร้านบอก

“ครับ ถ้างั้นก็เซ็นสัญญาเลยนะครับ” เขาหยิบปากกาที่พกมาในกระเป๋าเสื้อมาเซ็นเอกสารสัญญาซื้อขาย ก่อนจะยื่นเอกสารให้อีกฝ่ายเซ็นต่อ

ชายผู้นั้นเซ็นเสร็จก็ยื่นกลับให้ปาณัท

“เรียบร้อยแล้ว ต่อแต่นี้ไปร้านนี้จะมีชื่อของนายเป็นเจ้าของ ขอให้ค้าขายเฮงๆ นะ เงินทองไหลเข้ามา”

“ขอบคุณมากครับ นี่ครับเงิน พี่นับดูก่อนได้นะครับ” ชายหนุ่มยื่นซองเงินให้อีกฝ่าย

อีกฝ่ายรับไว้และเอาเงินออกมานับดู พอนับเสร็จก็พยักหน้า ก่อนจะยื่นกุญแจให้ผู้เป็นเจ้าของร้านคนใหม่

“นี่กุญแจร้านนะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่ขอตัวกลับก่อน โชคดีนะน้อง”

“ขอบคุณครับพี่ สวัสดีครับ” เขารับกุญแจมา ก่อนจะประนมมือไหว้

แล้วอีกฝ่ายก็เดินออกไป ข้างในร้านจึงเหลือเพียงปาณัท เขาเดินสำรวจไปรอบๆ ก่อนจะกดโทรหาผู้เป็นพ่อ

“ฮัลโหล! พ่อครับ ทำสัญญาซื้อขายเสร็จแล้วนะครับ ร้านนี้เป็นของเราอย่างถูกต้องแล้วครับ”

“เจ้าของร้านเขาเป็นยังไงบ้างล่ะลูก” ปลายสายถามกลับมา

ผู้เป็นลูกชายจึงตอบกลับไปว่า

“เขาคุยสบายมากครับคุณพ่อ เขาคุยกับผมแบบคนกันเอง ไม่ได้เรื่องมากอะไร”

“ร้านใหญ่เหมือนในรูปไหม”

“ใหญ่เหมือนในรูปเลยครับคุณพ่อ ถ้าผมกลับไปถึงเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง อ้อ แล้วเดี๋ยวผมจะถ่ายรูปไปให้คุณพ่อดูด้วยครับ แค่นี้ก่อนนะครับ” แล้วก็วางสายไป ก่อนจะเดินถ่ายรูปตามมุมต่างๆ ของร้าน เมื่อถ่ายรูปเสร็จก็เดินออกไปจากร้านและล็อกกุญแจ ถ่ายรูปนอกร้านอีก และขณะที่ชายหนุ่มถ่ายรูปอยู่นั้นหารู้ไม่ว่ามีคนแอบมองอยู่ไกลๆ แล้วคนที่แอบมองก็คือคนที่ประภาจ้างมาฆ่าปาณัท ผู้ร้ายถือปืนกระบอกยาวหันไปทางชายหนุ่ม เตรียมลั่นไก แต่อยู่ๆ ก็มีถีบเขาล้มลงไปกองกับพื้นจากด้านหลัง ส่วนปืนก็กระเด็นไปอีกทาง

คนร้ายโมโหจึงลุกขึ้นมองคนที่ถีบ

“โธ่เว้ย! ใครมันบังอาจถีบกูวะ” เมื่อเห็นหน้าคนที่ถีบก็ถึงกับอึ้ง “เฮ้ย เป็นไปได้ยังไงวะ” มันหันไปมองปาณัทสลับกับมองผู้ชายตรงหน้าที่ถีบมัน แล้วมันก็รู้สึกมึนศีรษะเพราะคนที่ถีบมันก็คือปิติกรหรือเป็นเอก ฝาแฝดของปาณัทที่ถูกพลัดพรากจากกันตั้งแต่แบเบาะนั่นเอง แล้วเจ้าคนร้ายมันก็หันกระบอกปืนมาทางเป็นเอกแทน

เป็นเอกแย่งปืนกับคนร้ายจนปืนหลุดจากมือ แล้วโยนปืนทิ้งไปไกลๆ ก่อนจะถามคนร้ายว่า

“แกจะฆ่าผู้ชายคนนั้นทำไม” ชายหนุ่มชี้ไปที่ปาณัท แต่ไม่เห็นหน้าอีกฝ่าย เพราะอีกฝ่ายหันหลังให้

“ไม่ใช่เรื่องของแก อย่าแส่” พอมันตอบเสร็จก็จะวิ่งไปหยิบปืน แต่ถูกเป็นเอกกระชากไหล่ไว้ทัน

“เดี๋ยวก่อนสิ ตอบฉันก่อน จะรีบไปไหนล่ะ”

“โธ่เว้ย!” มันโมโหจะชกเป็นเอก แต่เป็นเอกหลบทัน

แล้วต่อมาทั้งสองคนก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด และดูเหมือนว่าเจ้าคนร้ายมันจะชนะ แต่เพียงไม่นานมันก็ล้มลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง คนชนะคือเป็นเอก แต่คนร้ายมันยังมีเรี่ยวแรง มันดีดตัวลุกขึ้นและรีบไปคว้าเอาปืนหลบหนีไปอย่างว่องไว

เป็นเอกมองตามอย่างโมโห

“โธ่เว้ย! หนีไปจนได้” เขารีบเดินไปหาปาณัท คนที่เกือบจะโดนคนร้ายฆ่า แต่ยังไม่ทันเดินไปถึงตัวอีกฝ่ายก็ถูกนิชาภัทรมาขวางทาง

“แกจะไปไหนวะ ไอ้เอก” หญิงสาวถามยิ้มๆ

เป็นเอกจึงตอบว่า

“ฉันจะไปหาผู้ชายคนนั้น” เขาชี้ไปที่ปาณัท แต่พอหันไปอีกทีอีกฝ่ายก็หายไปแล้ว “อ้าว หายไปไหนแล้ว” เขาถึงกับงง

“อะไร ใครหายไปไหน” นิชาภัทรถามอย่างสงสัย

อีกฝ่ายจึงบอกว่า

“ก็ผู้ชายคนที่ยืนอยู่ตรงร้านทองนั่นน่ะสิ เขาเกือบจะโดนคนร้ายฆ่า ดีที่ฉันแวะมาทำธุระแถวนี้เห็นเข้าก็เลยช่วยจัดการกับคนร้ายให้”

“อย่าบอกนะว่าที่หน้าแกฟกช้ำแบบนี้ก็เพราะแกต่อสู้กับคนร้าย”

“ใช่!” ชายหนุ่มพยักหน้า

“โถ พ่อซุปเปอร์ฮีโร่” เธอแอบหมั่นไส้เพื่อนเล็กๆ “ไปช่วยคนอื่นจนตัวเองเจ็บตัว”

“หรือว่าแกเห็นคนกำลังจะถูกฆ่าแล้วแกไม่ช่วยล่ะ”

“ช่วย...”

“นั่นไง! แกก็ยังคิดจะช่วยเขาเลย”

“ฉันยังพูดไม่จบ ฉันบอกว่าฉันจะช่วย แต่ฉันจะช่วยด้วยวิธีอื่นที่ไม่เจ็บตัวต่างหาก แต่จะให้คนร้ายเจ็บคนเดียว” พูดจบเธอก็หัวเราะ

เป็นเอกจึงเขกศีรษะผู้เป็นเพื่อนหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้

“นี่แน่ะ แม่คนฉลาด”

“โอ๊ย ฉันเจ็บนะ” เธอจับที่ศีรษะตัวเองอย่างรู้สึกเจ็บๆ “อ้อ ขอบใจแกนะที่ชมฉันเมื่อกี้ แน่นอนย่ะ ฉันฉลาดอยู่แล้ว”

“ฉันประชด” เขาบอก

“ฉันก็หลงดีใจ นึกว่าแกชมฉันจริงๆ ซะอีก” ทำหน้าเซ็งๆ

ชายหนุ่มมองไปที่ร้านทองและพูดว่า

“แกไม่น่ามาขวางทางฉันเลย ฉันอุตส่าห์จะไปหาผู้ชายคนนั้นได้อยู่แล้วเชียว ดูสิ ตอนนี้เขาหายไปไหนแล้ว”

“แกอยากไปหาเขาทำไม หรือว่าแกอยากให้เขาขอบคุณที่แกช่วยเขาไว้”

“ฉันไม่อยากได้คำขอบคุณจากเขา แต่ฉันอยากจะเตือนเขาให้เขาระวังตัวไว้ เพราะคนร้ายมันอาจจะย้อนกลับไปฆ่าเขาอีก เพราะวันนี้มันทำไม่สำเร็จ วันหน้ามันอาจจะลงมือใหม่ก็ได้” เขาว่า

นิชาภัทรจึงถามผู้เป็นเพื่อนอย่างสงสัยว่า

“ทำไมแกดูห่วงใยผู้ชายคนนั้นจัง หรือว่าแกชอบเขา แกชอบผู้ชายด้วยกัน”

“แกจะบ้าเหรอไอ้นิชา ฉันชอบผู้หญิงโว้ย” เป็นเอกบอก “ฉันเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงรู้สึกเป็นห่วงผู้ชายคนนั้น ไม่อยากให้เขาเป็นอะไรไป มันแปลกๆ”

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะเป็นห่วงเป็นใยปาณัท เพราะสายเลือดฝาแฝดเชื่อมโยงถึงกันทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น แต่เขาหารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นพี่น้องฝาแฝดของเขา เพราะเขายังไม่ทันได้เห็นหน้าอีกฝ่ายก็หายไปแล้ว ทำให้พี่น้องฝาแฝดไม่ได้เจอหน้ากัน

“ฉันก็ว่ามันแปลกจริงๆ” นิชาภัทรว่า “แต่ก็ช่างเขาเถอะ เขาคงเอาตัวรอดได้ ฉันว่าเรากลับกันเถอะ”

“อืมม์!” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับผู้เป็นเพื่อน แต่ในใจยังนึกเป็นห่วงปาณัท เขายังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไรถึงเป็นห่วงอีกฝ่าย ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกัน ยังไม่เคยเจอหน้ากัน แต่หากวันหนึ่งเขารู้ความจริงวันนั้นคงให้คำตอบกับตัวเองได้

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.