ตอนที่ 26 บุตรชายตระกูลเย่ (1)

สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)

-A A +A

ตอนที่ 26 บุตรชายตระกูลเย่ (1)

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 26 บุตรชายตระกูลเย่ (1)

 

“นายท่าน! นายหญิง!..... นายน้อย พวกเราเห็นนายน้อย!”

 

เป็นสองบุคคลแต่งกายด้วยเครื่องแบบคนใช้ของตระกูลวิ่งหอบหายใจเข้ามา เพียงก้าวผ่านขอบประตูพวกมันก็ตะโกนสุดลิ้นปี่ เสียงของพวกมันได้ยินไปไกลในคฤหาสน์ตระกูลเย่ แม้กระทั่งพวกยามที่มักยืนนิ่งเป็นก้อนหินยังหันมามองหน้ากันอย่างตกตะลึง และเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา หลังจากหายตัวไปปีกว่า ทุกคนในตระกูลล้วนปักใจเชื่อว่าเขาถูกสังหารไปแล้ว หรือว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อมาตลอดจะผิด?

 

ร่างแกร่งกร้าวพุ่งเข้ามาจากหลังสวนและเดินตรงไปอยู่เบื้องหน้าบุรุษทั้งสองอย่างรวดเร็ว เขายกพวกมันขึ้นกลางอากาศ มองพวกมันแล้วถามอย่างเดือดดาล “เจ้ากล่าวว่าอะไร? พูดออกมาอีกทีสิ ถ้าเจ้ากล้าปั่นหัวข้า รับรองได้เลยว่าข้าจะบั่นหัวพวกเจ้าทิ้งในคราเดียว”

 

บุรุษผู้นี้อายุราว 40 ปี คิ้วของเขาคมเข้มดุจกระบี่ ดวงตาเปล่งประกายดุจดารา สีหน้าดูซีดอยู่บ้าง สามารถบอกได้ว่ายามที่เขายังหนุ่มต้องเป็นบุรุษรูปงาม เขาจับปกเสื้อชายทั้งสองยกขึ้นอย่างง่ายดาย ดูไม่เหมือนว่าเขากำลังยกร่างผู้คนอยู่ แต่กลับดูคล้ายกำลังหิ้วไก่สองตัวขึ้นเสียมากกว่า ทั่วร่างเขามีปราณไหลวนอยู่รอบ ปลดปล่อยกลิ่นอายกระหายเลือด กลิ่นอายนี้ย่อมไม่ใช่มีมาแต่กำเนิด หากแต่เพียงมีได้จากการต่อสู้หลากสมรภูมิ เข่นฆ่าผู้คนจนมือชุ่มโชกไปด้วยโลหิตมากมาย ยามนี้เขาปลดปล่อยปราณอย่างไม่รู้ตัว แฝงกลิ่นคาวเลือดออกมาเจือจาง บุรุษทั้งสองใบหน้าพลันคล้ำลง กระทั่งลมหายใจยังไม่กล้าระบายออกมาโดยแรง

 

“เป็นนายน้อย... พวกเราอยู่ที่ถนนเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา และพวกเราเห็นคนผู้หนึ่งรูปร่างหน้าตาเหมือนนายน้อยไม่มีผิดเพี้ยน...บางที....บางทีนายน้อยอาจจะกลับมาแล้ว” ชายที่อยู่ด้านซ้ายกล่าวติดๆขัดๆ ในฐานะที่เป็นคนรับใช้ของตระกูลเย่ เขาย่อมรู้ดีถึงพลังน่าหวาดหวั่นของท่านขุนพล และตั้งแต่ที่บุตรชายของเขาหายตัวไป เขากลายเป็นคนฉุนเฉียวและก้าวร้าว เวลานี้ชายด้านซ้ายเงียบเสียงลงและไม่กล้าเอ่ยคำใดอีก

 

 สักพักมีบุคคลในตระกูลอีก 2 คน วิ่งมาหาเย่เว่ย ผู้ที่นำหน้ามาเป็นสตรีอายุราว 30 กว่าปี นางเป็นภรรยาของเย่เว่ย ชื่อหวังเวิ่นชู ด้านหลังนางเป็นชายชราท่าทางสง่างาม ผมของเขาเป็นสีเทา ทั่วร่างปลดปล่อยกลิ่นอายของของโลหะกับโลหิต หากเขากระแทกเท้าย่ำลงบนพื้น ทั่วทั้งเมืองเทียนหลงย่อมสั่นสะเทือนไปสามระลอก เขาคือขุนพลตระกูลเย่ เย่หนู่

 

“บอกมาเร็วเข้า เขาอยู่ที่ไหน!” หวังเวิ่นชูรีบถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ภายใต้ความตื่นเต้นนางกลับไม่ทราบว่าสมควรวางมือไว้ที่ไหน

 

ชายคนนั้นรีบกล่าวตอบ “นายหญิง... ตอนนี้เขาอยู่ใกล้ๆบ้านหมอกฝัน”

 

กล่าวไม่ทันสิ้นเสียง หวังเวิ่นชูก็วิ่งไปที่ประตูทางออก สายไปเสียแล้วที่จะกล่าวคำใดเพิ่มเติม เย่เว่ยวางชายทั้งสองลงแล้วมองไปที่บิดาของเขา เย่หนู่มีสีหน้าเคร่งขรึม เขากล่าวพร้อมถอนหายใจ “จะเป็นคนเดียวกันจริงๆหรือ?”

 

เขาถอนหายใจหากแต่ทุกคนสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นในน้ำเสียง แม้กระทั่งลูกชายเขาก็กำลังกดระงับความตื่นเต้นเอาไว้ เพราะยิ่งคาดหวังมากก็ยิ่งผิดหวังรุนแรง หากพวกเขาเข้าใจผิดและนั่นไม่ใช่เขา ความรู้สึกปิติยินดีจะกลับกลายเป็นความขื่นระทม

 

เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังเข้ามา เป็นชายหนุ่มอายุราว 20 ปี สีหน้าดวงตานิ่งสงบ เบื้องหลังเขามีคนแต่งกายเหมือนคนรับใช้ตามมาอีกคน ชายหนุ่มยังไม่ทันเข้ามาถึงก็เอ่ยตะโกนมาแต่ไกล “ท่านปู่ ท่านพ่อบุญธรรม ข้าได้ยินว่าน้องหวูเฉินกลับมาแล้ว เป็นความจริงหรือ?”

 

เย่หนู่ส่ายศีรษะ “อาจเป็นใครบางคนที่ดูเหมือนเขาก็ได้ ไม่เช่นนั้น ทำไมเขาถึงไม่กลับมาบ้าน?... หยุนเอ๋อร์ เจ้าจะไปดูหน่อยไหม?”

 

ปู่เย่เดินออกจากคฤหาสน์ตระกูล ในอดีตเขาเคยสุขุมและหนักแน่น แม้ยามเผชิญหน้าศัตรูนับล้าน เขาก็ยังคงสุขุมเยือกเย็น แต่ในยามนี้อารมณ์ของเขากวัดแกว่ง แม้ความหวังจะเลือนลาง หากแต่ก็ยังคงเป็นความหวัง ขณะที่พวกเขาไม่สามารถหาบุตรชายตระกูลเย่พบ พวกเขาก็ไม่ได้เจอซากร่างของเขาเช่นกัน

 

บุตรชายตระกูลเย่มีนามว่าเย่หวูเฉิน เพราะในวันที่เขาถือกำเนิด พระจันทร์เต็มดวงได้ฉายแสงเต็มท้องฟ้า ทำให้ไม่ปรากฎดวงดารา ด้วยความยินดีที่ได้หลานชาย ปู่เย่รื่นรมณ์ปรีดาและตั้งชื่อเขาตามบทกลอนว่าหวูเฉิน  (โน๊ต: หวูเฉิน แปลว่า ไร้ดาว)

 

ยามนี้หากปู่เย่มีโอกาสตั้งชื่อให้เขาใหม่อีกครั้ง เขาจะตั้งชื่อให้ว่า “หวูปิง หรือ หวูจี้ หรือแม้กระทั่ง หวูเชว  (โน๊ต: หวูปิง = ไร้โรคภัย , หวูจี้ = ไร้ความเจ็บป่วย , หวูเชว = ไร้ความไม่มี = สมบูรณ์)

 

………………………………………….

 

กลับมาที่เวลาปัจจุบัน ณ เบื้องหน้าของบ้านหมอกฝัน บรรยากาศคุกรุ่นก่อนหน้าลดทอนลงเกินกว่าครึ่ง ชายหนุ่มที่ก่อนหน้าคร่ากุมองค์หญิงขณะนี้กำลังกอดเด็กหญิงผมขาวไว้ที่เอว อีกมือหนึ่งกุมจับลำคอขององค์หญิงขณะคุยจ้อกัน เขายังคงถามคำถามและองค์หญิงน้อยก็ตอบอย่างเชื่อฟัง นางดูราวกับเด็กสาวผู้มีความประพฤติดี เพราะถูกกระบี่ลากกรีดลำคอ นางร้องไห้อย่างเจ็บปวด แล้วจะไม่ให้นางกลัวได้อย่างไร? แต่ว่าในยามนี้ความหวาดกลัวของนางได้สงบระงับลงมากแล้ว

 

เย่หวูเฉินแตะสัมผัสร่างอันไม่อาจประเมินค่า แม้ว่านางจะอายุเพียง 13 ปี แต่บุรุษจะแตะต้องนางตามใจชอบได้อย่างไร? เพียงข้อนี้ก็เพียงพอให้เขาตกตายลงแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ เขายังจับตัวนางหรือแม้กระทั่งทำร้ายนาง เมื่อเทียบกันแล้วแค่สัมผัสร่างนางกลับไม่นับเป็นอันใด

 

หลงเจิ้งหยางรู้สึกซับซ้อนในจิตใจอย่างยิ่ง เขาเค้นสมองทุกส่วนคิดหาวิธีคลี่คลายปัญหา การกระทำอย่างอื่นล้วนแก้ไขง่าย หากแต่การถือกระบี่เฉือนลำคอขององค์หญิง ที่ทุกคนต่างเห็นชัดเจนด้วยตาตนเอง หากพระบิดาทราบเรื่องเข้า กระทั่งเขาที่อยากแก้อาชญาให้ยังไม่มีอำนาจจะกระทำ

 

หวู่ชางก้าวมาที่ด้านหลังหลงเจิ้งหยาง สายตาเขาจับจ้องที่เย่หวูเฉินก่อนจะกล่าวแผ่วเบา “ฝ่าบาท องค์ชายรัชทายาท”

 

หลงเจิ้งหยางโบกมือและก้าวตรงไปยังเกี้ยวหงส์ เขาปั้นหน้ายิ้มและกล่าวอย่างกล้ำกลืน  “น้องเย่ เจ้าทำให้ข้าเสียหน้าแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าจะทำเป็นเพียงลักพาองค์หญิง แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะลงมือทำร้ายน้องสาวของข้าจริงๆ แล้วจะให้ข้าทนมองได้อย่างไร?”

 

“โอ้ จริงหรือ?” เย่หวูเฉินยิ้มแล้วกล่าวราบเรียบ “ข้าเพียงแค่ล้อเล่นกับน้องสาวฮวงเอ๋อร์ น้องสาวฮวงเอ๋อร์น่ารักถึงเพียงนี้ ข้าจะทำร้ายนางได้อย่างไร?”

 

“เจ้าบัดซบ!” หวู่ชางขนคิ้วชี้ตั้งด้วยความโกรธ หากว่าองค์หญิงน้อยไม่ได้อยู่ในมือมัน เขาจะต้องชักกระบี่ตัดมันเป็นสองซีกไปแล้วเรียบร้อย “ก่อนนี้เจ้าขัดขืนคำสั่งพวกเรา ทั้งยังจับกุมองค์หญิง ต่อมายังกล้าเสือกไสกระบี่ทำร้ายนาง มาตอนนี้ยังกลับกล้าปฏิเสธ!”

 

“เป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ?” เย่หวูเฉินแค่นเสียงชาจ้องไปที่เขา ฝ่ามือเขากุมลำคอระหงษ์ขององค์หญิงน้อยและลูบเบาๆ ภาพตรงหน้ายิ่งขัดตาเมื่อน้องของหลงเจิ้งหยาง ร่างกายคล้ายพลันอ่อนยวบยาบอย่างน่าประหลาด “เช่นนั้นก็บอกมา ว่าองค์หญิงตัวน้อยของข้า ได้รับบาดเจ็บตรงส่วนไหน?”

 

หวู่ชางกล่าวเสียงเย็นชา “เจ้าลากกระบี่กรีดลำคอขององค์หญิงและทุกคนก็เห็นชัดเจน ถึงแม้จะเป็นแผลเล็กน้อย แต่ร่างกายขององค์หญิงไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน หากเจ้าอยู่ในกำมือข้าแล้วละก็ ข้าจะต้องสับเจ้าเป็นหมื่นชิ้น! ฮึ่ม.... ดูจากหน่วยก้านและพรสวรรค์ของเจ้า แม้ว่าเจ้าจะไม่ธรรมดาอยู่บ้าง แต่ก็ยังถือว่าไม่ได้เรื่อง”

 

หลงเจิ้งหยางเองก็ขมวดคิ้วมุ่น น้ำเสียงเขามืดมน “เจ้าหมายความว่าเช่นใด? ทั้งๆที่เจ้าทำร้ายน้องสาวต่อหน้าข้า เจ้าก็ยังยืนกรานจะโกหก เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!”

 

เย่หวูเฉินเหลือบมองเขาหนหนึ่ง แต่จากนั้น เขาก็กลับมามองที่หน้าของหวู่ชาง ขณะที่เผยรอยยิ้มลึกลับและกล่าว “แล้วจะเป็นอย่างไรหากที่คอขององค์หญิงไม่มีบาดแผล?”

 

“ข้าจะควักลูกตาตัวเองออกมา” หวู่ชางตะโกนอย่างเดือดดาล

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.