Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri] Chapter 20

Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri]

-A A +A

Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri] Chapter 20

หมวดหนังสือ: 

Chapter 20: กำลังใจจากเพื่อนสนิท และความหวังดีของวาฟเฟิล

 

(ซินนามอนบรรยาย)

 

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันนี้เป็นวันจันทร์สัปดาห์สุดท้ายในการเรียนการสอนของเทิม แน่นอนอาทิตย์หน้าคือสัปดาห์สอบปลายภาคค่ะ

 

สิ่งที่ฉันมักจะทำเมื่อกลับบ้านหลังเลิกเรียนนอกจากสะสางงานที่จะต้องส่งแล้วยังต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบอาทิตย์หน้าด้วย ทำให้ช่วงเย็นที่เคยว่าง ไถโทรศัพท์ดูอะไรเล่นไปเรื่อยเปื่อยนั้นเปลี่ยนไปกลายเป็นว่ามีอะไรให้ทำขึ้นมาทันที และนอกจากจะต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ การแสดงที่กำลังจะมาถึงในอีก 3 วันข้างหน้า

 

“ไงซินนามอน เรื่องการแสดงวันพฤหัสนี้พร้อมหรือยัง?” ช็อกโกล่าเอ่ยถามขึ้นในช่วงพักกลางวัน วันนี้ฉันไม่ได้ขึ้นไปโรงยิมเหมือนเคยเพราะพาเฟ่ต์มีสอบเก็บคะแนน เมื่อคนที่เป็นเป้าหมายไม่อยู่จะขึ้นไปนั่งดูคนอื่นเล่นก็ทำให้ฉันรู้สึกหมดสนุก จึงตัดสินใจไม่เดินขึ้นบันได 4 ชั้นให้เหนื่อยเปล่าๆ

 

“นี่ ซินนามอน ฟังฉันอยู่หรือเปล่าเนี่ย?” ฉันสะดุ้ง หันมองข้างตัวก็เห็นดวงตากลมสีดำจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว

 

“ฮะช็อกโกล่า” เรียกชื่อคนมองอย่างไม่มั่นใจนัก “มีอะไรเหรอ?

 

“เฮ่อเธอนี่นะ เหม่อไม่เข้าเรื่อง” ช็อกโกล่าพึมพำ “ฉันถามว่าการแสดงวันพฤหัสนี้เป็นยังไงบ้าง แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าจะได้คำตอบแล้วล่ะ”

 

คำพูดของเพื่อนสนิทผมดำทำให้ฉันขมวดคิ้ว “คำตอบ อะไรเหรอ?

 

“เหม่อขนาดนี้ แสดงว่ายังไม่พร้อม ใช่ไหม?

 

ฉันหันกลับมามองหน้าช็อกโกล่า สมองที่มึนเบลอเมื่อครู่กลับมาทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง นึกถึงคำถามของเพื่อนสนิทก็ทำให้พยักหน้าขึ้นลงช้าๆ ด้วยความจำนนต่อเหตุผล

 

“ก็นะ” คำพูดของฉันเหมือนเสียงกระซิบที่เบาหวิวราวกับสายลม ช็อกโกล่าขยับเข้ามานั่งข้างๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า

 

“ใจเย็นๆ นะ” ว่าพลางยื่นมือแตะแขนฉันเบาๆ เรียกสติ “ฉันกับมาการงเองก็ต้องออกนอกสถานที่ คงอยู่คอยให้กำลังใจเธอไม่ได้เหมือนครั้งก่อน”

 

จริงสินะฉันคิดตามคำพูดของช็อกโกล่า เหลือเวลาอีกเพียง 2 วัน ผู้เข้าแข่งขันประกวดวาดภาพต้องเดินทางไปโรงเรียนที่จัดงานซึ่งอยู่ในจังหวัดติดทะเล ไกลออกไปจากที่นี่พอสมควร

 

“จริงด้วย ถ้าเธอไม่พูดเรื่องนี้ฉันคงลืมไปแล้ว” ฉันพูดขึ้น ช็อกโกล่าพยักหน้า สายตากวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะกลับมาหยุดอยู่ที่หน้าฉันอีกครั้ง

 

“การแสดงครั้งนี้คือบททดสอบที่สำคัญของเธอ และการแข่งครั้งนี้ก็เป็นบททดสอบที่สำคัญของฉันเหมือนกัน พวกเราทั้งสามคนมีหน้าที่ต้องทำ ฉันเข้าใจว่ามันก็หนักหนาอยู่พอควร ขนาดวันที่พวกเราเดินกลับบ้านด้วยกันยังไม่บ่อยเท่าเมื่อก่อนเลย” ประโยคสุดท้ายเหมือนจะเป็นการบ่นกับตัวเองมากกว่าคุยกับฉันแต่มันก็คือความจริง ช่วงนี้ ฉัน มาการงและช็อกโกล่าไม่ได้เดินกลับบ้านด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน เพราะแต่ละคนต่างมีภารกิจที่ต้องทำหลังเลิกเรียนทำให้เวลาเลิกไม่ตรงกันเลย

 

“ที่เธอพูดมาก็จริง” ฉันพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะพูดต่อ “ฉันยอมรับว่าการแสดงครั้งนี้เป็นอะไรที่กดดันพอสมควร เพราะฉันได้ยืนในตำแหน่งเซนเตอร์ครั้งแรก ฉันไม่มั่นใจเลยว่าจะแสดงได้ดีเหมือนที่ซ้อมไว้หรือเปล่า” ฉันตัดสินใจบอกความรู้สึกของตัวเองให้ช็อกโกล่ารับรู้อย่างไม่ปิดบัง เพื่อนผมดำพยักหน้าเข้าใจก่อนจะพูดว่า

 

“เหนื่อยหน่อยนะช่วงนี้” รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนริมฝีปากก่อนเอ่ยต่อ “แต่ถ้าเธอผ่านมันไปได้ เธอก็จะสบายขึ้น ทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ขอแค่เธอทำหน้าที่ของเธอให้ดีที่สุด แม้ว่าจะทำพลาดหรือทำออกมาได้ไม่ดี แต่เธอก็จะไม่เสียใจทีหลังเพราะเธอทำมันอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว”

 

“ขอบคุณนะ ช็อกโกล่า” ฉันเอ่ยขอบคุณเพื่อนสนิทจากใจจริง มีหลายครั้งที่คำพูดของเธอทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะสู้ต่อแม้จะไม่มั่นใจว่าเมื่อถึงวันจริงจะแสดงออกมาได้ดีขนาดไหน แต่ช็อกโกล่านับเป็นคนหนึ่งที่มีวิธีการพูดให้กำลังใจคน แม้ว่าท่าทางที่เจ้าตัวแสดงออกจะขึงขังมั่นใจ แต่ความเป็นห่วงและแคร์คนอื่นโดยเฉพาะเพื่อนสนิทก็เป็นสิ่งที่ฉันสัมผัสและรับรู้ได้

 

ไม่นาน มาการงที่หายไปเข้าห้องน้ำก็เดินมานั่งลงข้างๆ พวกเรา ฉันและช็อกโกล่าลุกจากเก้าอี้เพื่อไปซื้อข้าว ไม่นานก็กลับมานั่งที่เดิม

 

“จะว่าไป นี่ก็เหลืออีกแค่ 2 วันพวกเราก็ต้องไปแข่งแล้วนะ ฉันยังรู้สึกไม่พร้อมเลย” มาการงเปิดประเด็นขึ้น

 

“เธอไม่พร้อมแข่ง แต่ฉันรู้สึกว่าเธอจะพร้อมอย่างอื่นมากกว่านะ” ช็อกโกล่าสวนขึ้นมาแทบจะทันที เพื่อนผมม่วงหันไปค้อนให้ก่อนเอ่ยว่า

 

“อย่ามาทำเป็นรู้ใจฉันหน่อยเลย หรือจริงๆ แล้วเธอไม่อยากไปเที่ยวทะเลน่ะ หืม?

 

ช็อกโกล่ายิ้มแหย ก่อนจะพูดเสียงอ่อย “มันก็ถูกของเธอ”

 

มาการงยิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ ฉันหัวเราะเบาๆ กับการหยอกล้อของทั้งสองคน ก่อนจะพูดขึ้นว่า

 

“พวกเธอน่ะโชคดี ได้ไปทะเลก่อนสอบด้วย  ได้ทั้งแข่งทั้งเที่ยวในทริปเดียวแบบนี้กำไรสองต่อชัดๆ เลย ฉันละอิจฉาจริงๆ”

 

“ไม่ต้องอิจฉาหรอกน่าซินนามอน เธอได้อยู่ที่โรงเรียนยังดีกว่าตั้งเยอะ มีเวลาอ่านหนังสือเยอะกว่าพวกฉันด้วย แค่แสดงวันพฤหัสวันเดียวเองก็สบายแล้ว ได้อ่านหนังสือแบบไม่มีอะไรต้องกังวลอีกน้า ฉันน่ะแข่งวันพฤหัสเสร็จแล้วก็ต้องค้างต่อ กว่าจะได้กลับมาก็วันศุกร์ ดีไม่ดีถ้ารถติดอาจจะกลับมาถึงเย็นเลยด้วยซ้ำ คิดแล้วก็เหนื่อยขึ้นมาทันทีเลยล่ะ” มาการงอธิบายยาวเหยียด ฉันคิดตามก็เห็นจริงตามที่เธอพูด ความรู้สึกอิจฉาเมื่อครู่เริ่มเปลี่ยนเป็นความเห็นใจขึ้นมาบ้าง

 

“ฉันเคยบอกหลายครั้งแล้วนี่ว่าถ้าเธอไม่อยากเหนื่อยก็ให้อ่านไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ทำตัวเป็นอัจฉริยะข้ามคืนก็ไม่ใช่ว่าจะดีนะ ถึงเธอจะเดาถูกจนได้ที่หนึ่งของห้องก็เถอะ” ช็อกโกล่าพูดเนือยๆ แต่มาการงเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดนั้น เธอก้มลงตักข้าวเข้าปาก ฉันเองก็หันกลับไปสนใจชามข้าวที่เริ่มเย็นชืดของตัวเองบ้าง

 

เวลาผ่านไปจนเลิกเรียน ฉันแยกกับเพื่อนสนิททั้งสองที่หน้าตึกเรียนแล้วรีบตรงไปที่ห้องดนตรีเพื่อซ้อมการแสดง เมื่อเห็นว่าเริ่มจะสายแล้วจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกชื่อฉันดังแว่วมา ฉันหันซ้ายหันขวามองตามเสียงแต่ก็ยังไม่เห็นใคร

 

“ซินนามอนนนน!!” เสียงนั้นดังใกล้เข้ามา ไม่นานเจ้าของร่างเพรียวของใครคนหนึ่งก็วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า

 

“แฮ่กๆ เจอจนได้” ฉันมองคนที่ยืนหอบอยู่ตรงหน้าก็เห็นว่าไม่ใช่ใครที่ไหน ฝาแฝดวาฟเฟิลกับพาเฟ่ต์นั่นเอง

 

“อ้าว ทั้งสองคนเอ๊ะ พาเฟ่ต์ วันนี้ไม่มีซ้อมเหรอ?

 

“มี” เสียงนิ่งๆ ของพาเฟ่ต์ตอบสั้นๆ ก่อนจะขยายความต่อ “วันนี้ซ้อมที่หอประชุม เหมือนแสดงจริง แล้วพรุ่งนี้ก็เปลี่ยนที่ซ้อมแล้วนะ ไม่ต้องไปห้องดนตรีแล้ว”

 

“อะไรนะ! ทำไมไม่เห็นมีใครบอกในกลุ่มเลย”

 

“เขาเพิ่งตกลงกันเสร็จเมื่อกี้ รีบไปเร็ว เดี๋ยวจะสาย”

 

เมื่อพวกเรา 3 คนเดินเข้ามาในหอประชุมที่เย็นเฉียบ ก็เห็นว่ามีคนอยู่ในห้องเต็มไปหมด ทั้งเพื่อนชมรมดนตรี ชมรมขับร้องและชมรมอื่นๆ ซึ่งฉันไม่รู้จักและไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นอยู่ชมรมอะไรบ้าง

 

“เอาละ ในเมื่อมากันครบหมดแล้ว เราจะเริ่มซ้อมกันเลยนะ” เสียงของคุณครูคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ฉันถูกพาขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับคนอื่นๆ พวกเราจัดแถวด้วยความรวดเร็ว เมื่อมองสำรวจรอบๆ ก็เห็นว่าตัวเองยืนอยู่ในตำแหน่งเซนเตอร์ ซึ่งตำแหน่งนี้จะดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าถ้าใครมองขึ้นมาเพื่อดูคนร้องนำก็จะเห็นฉันเป็นคนแรก ฉันรู้สึกเขินเล็กน้อย หันมองข้างหลังก็เห็นพาเฟ่ต์ยืนอยู่ใกล้ๆ ฝ่ายนั้นพยักพเยิดเหมือนรับรู้ ก่อนจะขยับปากจับใจความได้ว่า เธอยืนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้มันดีๆ ไม่ต้องสนใจคนอื่นฉันได้แต่ยิ้มรับทั้งที่รู้สึกไม่มั่นใจเท่าไรนัก การซ้อมครั้งนี้จะต้องทำอะไรบ้างยังไม่รู้เลย เพลงที่ซ้อมไว้จะได้ร้องตอนไหนก็ไม่อาจรู้ได้ ทางที่ดีต้องมีสติเพื่อเตรียมพร้อมไว้ตลอดซะแล้วสิ

 

การซ้อมครั้งนี้เป็นการซ้อมที่ไม่เหมือนครั้งก่อนที่เคยซ้อมมา เพราะมีการแสดงละครจริงๆ บทพูดที่เพื่อนชมรมการแสดงจำมาเป๊ะมากเหมือนทุกคนซ้อมมาอย่างดี จนฉันรู้สึกว่าการแสดงครั้งนี้เป็นการแสดงละครประกอบเพลงในกิจกรรมวันสำคัญอะไรสักอย่างมากกว่าการอำลารุ่นพี่ด้วยซ้ำ

 

ละครเริ่มแล้ว พร้อมกับเสียงเปียโนที่คุ้นเคย ฉันกระชับไมโครโฟนในมือให้มั่น สมองก็นึกถึงเนื้อเพลงที่จะต้องร้องขึ้นมา จังหวะเร็วและทำนองสนุกสนานคือสิ่งที่ฉันคิดว่าน่าจะดึงความสนใจของผู้ชมได้ไม่ยาก ถ้าได้แสดงกันที่สนามคงจะสนุกน่าดู

 

เสียงประสานของฉันและพวกพาเฟ่ต์เข้ากันได้อย่างลงตัว ฉันปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับเสียงดนตรี ปล่อยอารมณ์ออกมาให้เต็มที่เหมือนที่เคยร้องมา เมื่อเพลงจบก็รู้สึกว่าการร้องเพลงนี้ไม่ยากเพราะร้องบ่อยจนชินไปแล้ว รอดูเพลงต่อไปดีกว่าว่าจะมาในช่วงไหนของการแสดงกันนะ

 

เนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ แต่จิตใจของฉันล่องลอยไม่ได้จดจ่อกับเนื้อเรื่องเลย เมื่อรู้ตัวอีกทีก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์แล้ว เสียงไวโอลินเล่นคลอเบาๆ ตามมาด้วยเสียงเปียโนและเครื่องดนตรีอื่นๆ ใช่แล้ว เพลงที่ร้องยากที่สุดอยู่ในเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดนี่เอง

 

ฉันหายใจเข้าลึกๆ เมื่อจบท่อนอินโทรแล้วก็เริ่มร้องท่อนของตัวเองทันที และด้วยความที่เพลงนี้ต้องร้องประสานกันทั้งเพลง เวลาฟังต้องมีสมาธิมากเป็นพิเศษ

 

การร้องเพลงดูเหมือนจะราบรื่นดี แต่เมื่อมาถึงท่อนบริดจ์ดนตรีก็เริ่มเบาลงจนหยุดไปพร้อมกับเสียงของคุณครูคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดัง

 

“ร้องให้ดังกว่านี้หน่อยสิเซนเตอร์!

 

ฉันสะดุ้ง ดูเหมือนคุณครูคนนั้นจะพุ่งเป้ามาที่ฉันโดยตรง ฉันพยายามนึกย้อนกลับไปก่อนที่ดนตรีจะหยุดลงว่าตัวเองทำอะไรลงไป ก็รู้สึกว่าเสียงของตัวเองเริ่มเบาลงเรื่อยๆ เหมือนที่คุณครูคนนั้นบอกจริงๆ

 

“เอาละ ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวลองร้องใหม่อีกรอบนะ” คุณครูคนนั้นพูดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะให้สัญญาณเริ่มซ้อมต่อ ดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงเมื่อครู่อีกครั้ง หัวใจของฉันเต้นแรง ดูเหมือนความตื่นเต้นที่สุดในการซ้อมครั้งนี้จะขึ้นอยู่กับเพลงนี้ เพลงที่แต่ละคนต้องร้องพาร์ทของตัวเองและประสานกันไปเรื่อยๆ ตลอดเพลง และแน่นอน ฉันเป็นเสียงหลักของเพลง ถ้าเสียงหลักร้องได้ไม่ดีเสียงประสานก็อาจจะพลอยแย่ไปด้วย

 

การซ้อมที่เหลือผ่านไปอย่างกระท่อนกระแท่น มีจุดผิดพลาดบ้างในบางครั้ง เนื่องจากทุกคนยังไม่ชินกับการซ้อมเสมือนแสดงจริง คุณครูประกาศใส่ไมโครโฟนว่าเมื่อถึงวันจริงทุกขั้นตอนต้องมีจุดผิดพลาดให้ได้น้อยที่สุด จนเพลงสุดท้ายที่มีความยาวถึง 6 นาทีมาถึง ฉันมองหน้าพาเฟ่ต์เล็กน้อย เธอหันมาสบตากับฉัน พวกเรายิ้มให้กันก่อนที่ท่อนโซโล่ของฉันจะเริ่มขึ้นเป็นคนแรก ตามมาด้วยรุ่นพี่ที่ยืนอยู่หลังสุด และร้องท่อนฮุกพร้อมกัน

 

เวลาที่ฉันรอคอยมาถึงเมื่อดนตรีเริ่มบรรเลงท่อนที่ 2 ซึ่งท่อนนี้พาเฟ่ต์ต้องร้องคนเดียวทั้งท่อน ฉันรอฟังว่าเธอจะร้องออกมาได้ดีเหมือนกับที่ซ้อมไว้หรือไม่ แต่เมื่อเธอร้องออกมาก็ทำให้ฉันนึกชื่นชมอยู่ในใจ เสียงของพาเฟ่ต์หวานกังวานกว่าที่คิด เสียงนุ่มๆ ร้องคลอไปกับเสียงเปียโนและกลองที่คอยให้จังหวะ เมื่อจบท่อนโซโล่เธอก็หันกลับมาทำหน้านิ่งตามเดิม

 

ดนตรีบรรเลงยาวเป็นพิเศษเมื่อจบท่อนที่พาเฟ่ต์โซโล่ พวกเรายืนรอเสียงดนตรีที่จะเริ่มเข้าท่อนบริดจ์ ซึ่งในส่วนนี้ฉันกับพี่เชอร์ต้องร้องพร้อมกัน และทุกคนก็จะร้องท่อนฮุกสุดท้าย เป็นอันจบเพลง

 

ละครที่แสดงมาถึงจุดคลี่คลายปมของเรื่อง ฉันเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าทำไมเพลงสุดท้ายถึงยาว 6 นาที ถ้าฟังดีๆ ตัวละครจะมีบทพูดสุดท้ายในช่วงที่ดนตรีบรรเลงยาวที่สุด ซึ่งถ้าดูนาฬิกาไปด้วยก็จะเห็นว่าตรงส่วนนั้นใช้เวลาเกือบนาทีเลยทีเดียว นับว่าผู้กำกับคิดมาดีมากที่เลือกเพลงนี้มาเป็นเพลงจบ เพราะด้วยเนื้อหาของเพลงที่กินใจและเกี่ยวกับพิธีจบการศึกษาแล้ว ทำให้เพลงนี้ดูมีมนตร์เสน่ห์ที่ดึงดูดคนฟัง แม้แต่ฉันที่เป็นคนร้องเองยังเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเพลงก็เมื่อตอนที่ร้องพร้อมกันกับทุกคนเมื่อกี้นี้เองค่ะ

 

แต่การซ้อมแค่ครั้งเดียวย่อมมีจุดที่ผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา คุณครูจึงเรียกซ้อมอีกครั้งในวันพรุ่งนี้หลังเลิกเรียน และให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านได้เพราะเมื่อดูเวลาก็เห็นว่าตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้ว

 

“เฮ่อเกือบไปแล้วสิเรา นึกว่าเพลงนั้นจะล่มซะแล้ว” ฉันพูดกับพาเฟ่ต์ขณะที่เดินออกจากหอประชุม วาฟเฟิลที่เป็นคนออกแบบชุดก็มานั่งดูด้วย พวกเรา 3 คนเลยเดินออกมาด้วยกัน

 

“แต่ซินนามอนก็ร้องดีน้า ถึงตอนแรกจะเบาไปหน่อยก็เถอะ” วาฟเฟิลออกความเห็น ฉันยิ้มอายๆ ก่อนพูดเบาๆ

 

“เป็นเซนเตอร์ครั้งแรกนี่มันยากกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะเนี่ย”

 

“ไม่เป็นไรน่า ซ้อมจริงครั้งแรกก็แบบนี้แหละ เมื่อเทิมที่แล้วเธอก็ตื่นเต้นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?

 

“แต่ฉันรู้สึกว่าเทิมนี้ดีขึ้นกว่าเทิมที่แล้วน้า ตอนนั้นเสียงฉันหายไปเลย แต่ตอนนี้เสียงแค่เบาลงน่ะ”

 

“น่าๆ เปลี่ยนที่ซ้อมด้วยนี่ อาจจะไม่ชิน แต่ถ้าซ้อมจริงครั้งแรกยังทำดีขนาดนี้ พอถึงวันจริงฉันคิดว่าต้องแสดงออกมาดีแน่นอนจ้ะ พวกชมรมการแสดงเองก็ทำเต็มที่เหมือนกันน้า อ้อ จริงสิ ซินนามอน” วาฟเฟิลพูดเรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็เรียกชื่อฉัน ฉันครางในลำคอเบาๆ ก่อนที่เธอจะพูดต่อ

 

“เรื่องชุดน่ะ เรียบร้อยแล้ว ของพาเฟ่ต์ด้วยนะ เดี๋ยววันจริงก็เห็น แต่เรื่องเครื่องประดับ” เธอหยิบที่คาดผมลายดอกไม้ 2 อันออกมาจากกระเป๋า ฉันมองอย่างพินิจก่อนจะถามว่า

 

“ให้ฉันเลือกเหรอ?” เธอพยักหน้า ฉันมองที่คาดผมในมือของวาฟเฟิลสลับกัน อืมมันก็สวยทั้ง 2 อันจนฉันเลือกไม่ถูกเลย วาฟเฟิลเห็นฉันยืนเงียบไม่ยอมตัดสินใจสักที จึงหันไปทางพาเฟ่ต์

 

“พาเฟ่ต์ ช่วยเลือกที่ชอบมาสักอันสิจ๊ะ” พาเฟ่ต์มองแวบเดียวก็เลือกที่คาดผมที่ดูเรียบๆ ไปอันหนึ่ง ส่วนอีกอันที่ดูมีลวดลายเยอะกว่าตกเป็นของฉันไปโดยปริยาย

 

“ซินนามอนลองคาดดูสิจ๊ะ ฉันจะขอดูหน่อยว่าอันนี้เธอสวมแล้วเหมาะหรือเปล่า” ฉันรับที่คาดผมจากมือของวาฟเฟิลแล้วสวมลงบนศีรษะช้าๆ ลายดอกไม้สีสันสดใสสะดุดตาทำให้ฉันที่ไม่ค่อยชอบแต่งหน้าหรือใส่เครื่องประดับรู้สึกเขินเล็กน้อย พาเฟ่ต์มองฉันอย่างไม่วางตา ส่วนวาฟเฟิลก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ

 

“ผ่านจ้ะ เธอใช้อันนี้แล้วน่าจะดูดีกว่าอีกอันหนึ่งน้า อันนั้นมันดูเรียบเกินไป ไม่เหมาะกับเซนเตอร์เลย”

 

“สะใส่แล้วเหมาะจริงๆ เหรอ?

 

“เหมาะมากเลยจ้า เอ้านี่ เก็บไว้น้า แล้ววันจริงอย่าลืมเอามาด้วยล่ะ” ฉันรับที่คาดผมมาจากมือของเพื่อนผมเขียวผู้เป็นแฝดผู้พี่ของพาเฟ่ต์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะถามอย่างไม่แน่ใจนัก

 

“อันนี้มันของเธอนี่ ให้ฉันเก็บไว้จะดีเหรอ?

 

“มันเป็นของฉันก็จริง แต่ฉันให้เธอเก็บไว้ดีกว่า พอถึงวันจริงจะได้หยิบใช้ได้สะดวก ใช้เสร็จค่อยเอามาคืนก็ได้” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะเก็บที่คาดผมเข้ากระเป๋า พวกเราเดินออกจากตรงนั้นแล้วแยกกันที่หน้าประตูโรงเรียน ก่อนที่ฉันจะเดินกลับบ้านซึ่งอยู่คนละทางกับพวกวาฟเฟิล

 

(วาฟเฟิลบรรยาย)

 

กว่า 1 สัปดาห์แล้วที่ฉันกับพาเฟ่ต์เดินกลับบ้านด้วยกันกับซินนามอน และบางทีก็อาจจะมีโรสแมรี่ ผู้เป็นทั้งเพื่อนร่วมชมรมของทั้งสองคน และเพื่อนห้องเดียวกันกับพาเฟ่ต์เดินมาเป็นเพื่อนด้วย ซินนามอนนั้นฉันรู้จักดีอยู่แล้ว ก็แหม พวกเราอยู่ห้องเดียวกันนี่นา ทำงานกลุ่มด้วยกันก็บ่อย แม้จะไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันประจำก็เถอะ แต่เพื่อนผมส้มอีกคนนั้นฉันไม่รู้จริงๆ ว่าสนิทกับซินนามอนขนาดไหน ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ดีหรือไม่ เพราะเมื่อดูดีๆ แล้ว โรสแมรี่กับซินนามอนก็คุยกันปกติเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง แต่กับพาเฟ่ต์นั้น

 

ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้เรียกได้ว่าเหมือนขมิ้นกับปูนก็ไม่ปาน เพราะถ้าใครพูดอะไรไม่เข้าหูเข้าหน่อยก็พร้อมที่จะทะเลาะกันได้ทุกเมื่อ ซินนามอนนั้นห้ามทัพสองคนนี้บ่อยจนชินไปแล้ว ส่วนฉันทีแรกก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่พอมีโรสแมรี่เดินร่วมทางมาบ่อยๆ เข้าก็เริ่มชินไปเอง

 

แต่เรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะปล่อยให้ชินจนกลายเป็นเรื่องปกติ

 

เมื่อหลายวันก่อน ฉันสังเกตว่าโรสแมรี่ไม่ได้เดินออกมาจากห้องดนตรีพร้อมกับพวกพาเฟ่ต์ จนวันนี้ก็ด้วย ฉันจึงเอ่ยถามน้องสาวฝาแฝดที่เดินไม่พูดไม่จาอยู่ข้างๆ

 

“นี่พาเฟ่ต์ ตอนเดินออกมาจากห้องซ้อมเห็นโรสเดินออกมาด้วยหรือเปล่า?

 

พาเฟ่ต์หันมองหน้าฉันเล็กน้อย ก่อนตอบ “ไม่เห็นนี่ พี่ถามทำไมเหรอ?

 

“เปล่าหรอกจ้ะ ก่อนหน้านี้โรสก็เดินกลับกับเราตามปกติ พี่เลยสงสัยเฉยๆ น่ะว่าทำไมหมู่นี้ถึงหายไป ไม่เห็นกลับด้วยกันอีกเลย”

 

“อ๋อ ยัยนั่นไม่ได้แสดงงานนี้ด้วย ไม่ต้องมาห้องดนตรีก็ได้ พอเรียนคาบสุดท้ายเสร็จจะไปเล่นที่ไหนก่อนจนกว่าจะหมดเวลาแล้วค่อยกลับก็ยังได้ พี่เลยไม่เห็นไง” พาเฟ่ต์ตอบแบบไม่ใส่ใจนัก ฉันพยักหน้ารับ ทันใดนั้น ความทรงจำที่เคยคิดว่าคงจะลืมไปแล้วก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในสมอง

 

มันเป็นความทรงจำเมื่อเทิมที่แล้ว ช่วงที่ฉันไปให้กำลังใจมาการงที่กำลังจะแข่งวาดภาพ แล้วฉันก็เห็นว่าน้องสาวของฉันเดินไปที่แห่งหนึ่ง

 

บทสนทนาระหว่างพาเฟ่ต์กับเธอคนนั้นเกี่ยวกับเพื่อนผมสีโกโก้ ซึ่งตอนนั้นฉันก็ไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน แต่ท่าทางที่เพื่อนผมส้มพูดถึงซินนามอนนั้นดูแปลกๆ พิกล

 

“พี่ถามหน่อยสิ ระหว่างโรสกับซินนามอนน่ะ” ในที่สุดฉันก็เอ่ยถามน้องสาวออกมาตรงๆ เพราะรู้สึกว่าเริ่มจะเก็บความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว พาเฟ่ต์ดูเหมือนจะคาดเดาสิ่งที่ฉันจะถามต่อได้ เธอจึงตอบว่า

 

“สองคนนั้นน่ะเหรอ ก็สนิทกันดีนะ”

 

“หือ? สนิทกันดีเหรอ?

 

“ฉันหมายถึง คุยกันดี ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกันเลยน่ะ”

 

“งั้นเหรอ” ฉันพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเงียบไปสักพักเพื่อนึกหาคำพูดที่เหมาะจะถามต่อไป เรื่องส่วนตัวของเพื่อนฉันไม่อยากจะยุ่งเลยจริงๆ แต่ความสัมพันธ์ของเพื่อนผมสีโกโก้กับโรสแมรี่เป็นสิ่งที่ฉันอยากรู้มากเหลือเกิน ทั้งที่ฉันเป็นคนนอกแท้ๆ แต่ทำไมในใจถึงรู้สึกไม่ดีต่อเพื่อนผมส้มคนนี้นักนะ

 

“พาเฟ่ต์พอจะรู้หรือเปล่าว่าโรสสนิทกับใครมากที่สุดในชมรม?

 

“ก็ต้องซินนามอนน่ะสิ ระหว่างฉันกับโรสพี่ก็รู้อยู่ว่าเป็นยังไง”

 

“หึๆ รู้ดีเลยล่ะ” ฉันหัวเราะ ก่อนเอ่ยถาม “ว่าแต่ เรากับโรสไม่คิดจะคุยกันดีๆ บ้างเลยเหรอ? เห็นเอาแต่ทะเลาะกันอยู่เรื่อย ถ้าเดินด้วยกันสองคนคงอึดอัดน่าดู”

 

“พี่นี่พูดเหมือนซินนามอนไม่มีผิด” พาเฟ่ต์หน้ามุ่ย “ถ้ายัยนั่นทำตัวดีกว่านี้ฉันคงสนิทด้วยนานแล้วแหละ”

 

“ทำตัวดีกว่านี้เหรอ?” ฉันพึมพำเบาๆ พาเฟ่ต์พยักหน้า

 

“ถูกแล้ว ในชมรมเรามี ม.ต้นแค่ 3 คน ที่เหลือก็เป็นรุ่นพี่ เวลาคุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันก็มีแต่ซินนามอนคนเดียวที่เข้ากันได้กับทุกคน ส่วนยัยนั่นถ้าเลี่ยงได้ฉันคงเลี่ยงไม่คุยด้วยนานแล้ว”

 

“อะไรนะ! ทั้งชมรมมีแค่พวกเธอ 3 คนที่อยู่ ม.ต้นเหรอ!” ฉันทวนคำอย่างไม่อยากเชื่อ ถึงจะรู้มาบ้างว่าชมรมนี้มีคนน้อยมากเมื่อเทียบกับชมรมที่ฉันอยู่ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะน้อยขนาดนี้

 

“ใช่แล้ว เวลาฉันคุยกับยัยนั่นก็พยายามพูดดีๆ แล้วนะ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา คุยกันไปเรื่อยๆ ทีไรเริ่มกลายเป็นการชวนทะเลาะทุกที”

 

“ลำบากหน่อยน้า เพื่อนในห้องที่ไม่ได้สนิทแล้วมาอยู่ชมรมเดียวกันแบบนี้เนี่ย” ฉันเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง พาเฟ่ต์เดินนำอยู่ข้างหน้า ส่วนฉันก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง

 

บางที ถ้าพาเฟ่ต์กับโรสแมรี่ดีกันจะเป็นยังไงนะ

 

ไม่ต้องถึงขั้นเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนมาการงกับซินนามอน หรือฉันกับคัสตาร์ดก็ได้ แต่ถ้าสองคนนี้คุยกันดีๆ ได้โดยที่ไม่ทะเลาะกัน ต่างฝ่ายต่างยอมลงให้กัน แล้วคุยกันดีๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่ไม่เคยสนิทกันเลยอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้

 

ได้แต่หวังในสิ่งที่คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่สักพักก็กลับมาคิดถึงเพื่อนสาวผมสีโกโก้ที่เพิ่งให้ยืมที่คาดผมไปหมาดๆ อีกครั้ง

 

ไม่เข้าใจเลยฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าโรสแมรี่กับซินนามอนเป็นเพื่อนกันยังไง แล้วถ้าพาเฟ่ต์บอกว่าสองคนนี้สนิทกัน แล้วทำไมท่าทางที่ฉันเห็นโรสแมรี่เวลาพูดถึงซินนามอนเมื่อครั้งโน้นถึงขัดกับสิ่งที่พาเฟ่ต์บอกมากมายนัก

 

หรือบางที ฉันควรจะลองไปถามเรื่องนี้กับซินนามอนดีนะ

 

(ซินนามอนบรรยาย)

 

วันซ้อมจริงรอบสุดท้ายผ่านไปแล้ว วันนี้เป็นวันพุธ ช่วงเย็นรุ่นพี่ไม่ได้นัดซ้อมเพราะเห็นว่าเมื่อวานการซ้อมผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรติดขัดเลย การร้องประสานเสียงของพวกเราทั้ง 4 คนก็เข้าขากันดีมาก การแสดงของชมรมการแสดงก็ราบรื่นดี แต่วันนี้ฉันรู้สึกโหวงเล็กน้อย เพราะเพื่อนชมรมศิลปะบางส่วนออกเดินทางไปแข่งตั้งแต่เช้า กว่าจะกลับมาอีกทีก็วันศุกร์ แถวที่ฉันนั่งในห้องจึงดูโล่งไปถนัดตา เมื่อทนความเหงาไม่ไหวจึงย้ายที่ไปนั่งข้างวาฟเฟิล แต่เมื่อมีใบงานหรือเอกสารอะไรแจกก็ลุกขึ้นเดินเอากลับไปใส่ลิ้นชักของตัวเอง

 

“ซินนามอน พักแล้วน้า” เสียงเรียกของเพื่อนสาวผมเขียวดังอยู่ข้างตัว ฉันเดินกลับไปเก็บของที่โต๊ะของตัวเองก่อนจะหันกลับมาหาเธอแล้วชวนให้ลงไปกินข้าวด้วยกัน

 

“นานๆ ทีได้ไปกินข้าวด้วยกันก็ดีเหมือนกันเนอะ” วาฟเฟิลชวนคุย ฉันพยักหน้ายิ้มๆ

 

“นั่นสิ แต่คนหายไปเยอะมันก็เหงานิดๆ เหมือนกันนะ”

 

“ไม่เป็นไรน่า เธอยังมีฉันกับพาเฟ่ต์อยู่น้า เดี๋ยวอีก 2 วันพวกนั้นก็กลับมาแล้ว ไม่ต้องกังวลหรอกจ้ะ”

 

“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะแต่ ยังไงซะ ฉันก็ยังมีสิ่งที่น่ากังวลมากกว่าอยู่ด้วยนี่นา”

 

“อ้อจริงด้วย ฉันเกือบลืมไปเลยว่าพรุ่งนี้ก็แสดงแล้ว ทำให้เต็มที่เลยน้า ฉันจะคอยเชียร์” วาฟเฟิลพูดให้กำลังใจ ฉันยิ้มรับ รู้สึกขอบคุณเพื่อนคนนี้ที่คอยให้กำลังใจมาตั้งแต่แรกที่ได้รู้ว่าฉันเป็นเซนเตอร์ของการแสดง แถมยังเป็นธุระช่วยหาเครื่องประดับมาให้ยืมอีกต่างหาก

 

“ขอบใจมากเลยจ้ะ” ฉันพูดขอบคุณอย่างจริงใจ “ที่คาดผมนั่นน่ะ ฉันยังเก็บไว้ในกระเป๋าไม่ได้เอาออกไปไหน กลัวจะวางลืมไว้ พอจะใช้ทีต้องมานั่งหาให้เสียเวลาอีก”

 

“จ้า เก็บไว้ดีๆ พรุ่งนี้เจอกันตอนเจ็ดโมงที่ห้องดนตรีน้า” เพื่อนสาวไม่ลืมย้ำเวลานัดกับฉันอีกรอบ ฉันพยักหน้ารับ

 

(วาฟเฟิลบรรยาย)

 

หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเราก็เดินขึ้นห้องมาด้วยกัน ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะรู้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มถามเธออย่างไรดี ความคิดในสมองของฉันตีกันจนวุ่นวายไปหมดเมื่อนึกถึงใบหน้าเรียวกับดวงตาสีม่วงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของโรสแมรี่ ฉันกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด ก่อนจะหันไปสบสายตากับคนที่เดินอยู่ข้างๆ อ้าปากทำท่าจะพูดแต่ก็หุบปากฉับไปเสียดื้อๆ

 

“วาฟเฟิลมีอะไรหรือเปล่า เห็นทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรกับฉันแต่ก็ไม่พูดสักที ฉันรอฟังอยู่น้า”

 

“เอ่อ” ฉันเริ่มพูด ดวงตาสบประสานกับดวงตาสีคาราเมลของอีกฝ่ายแวบหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถามออกไป

 

“จะว่าไปนะ ช่วงนี้พวกเราก็เดินกลับบ้านด้วยกันบ่อยๆ แล้วบางทีโรสก็เดินมาเป็นเพื่อนด้วย ระหว่างอาทิตย์กว่าๆ ที่เธอซ้อมเนี่ยได้คุยกับโรสบ้างหรือเปล่า?

 

“โรสเหรออืมช่วงนี้ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่เลยจ้ะ ทำไมเหรอ?” คำถามของเธอทำให้ฉันมีความกล้าขึ้นมาบ้าง ฉันจึงลองเลียบเคียงถามต่อไปว่า

 

“ไม่มีอะไรมากหรอกจ้ะ ฉันแค่สงสัยว่าตอนอยู่ชมรม พวกเธอสองคนเป็นยังไงบ้าง เอ่อแบบว่า ซ้อมด้วยกันบ่อยหรือเปล่า สนิทกันบ้างมั้ย? ประมาณนี้น่ะ”

 

“อ๋อ โรสน่ะเป็นเพื่อนสนิทในชมรมของฉันเลยจ้ะ” คำตอบของเธอทำให้ฉันไม่อยากจะเชื่อ ซินนามอนบอกว่าสนิทกับโรสก็แสดงว่าที่พาเฟ่ต์คุยกับฉันเมื่อวานเป็นเรื่องจริงสินะ

 

แต่

 

“ทำไมฉันไม่เคยเห็นพวกเธอสองคนเดินด้วยกันเลย ทุกวันนี้ฉันเห็นซินนามอนดูสนิทกับพาเฟ่ต์มากกว่าโรสอีกนะ” ฉันถาม น้ำเสียงจริงจังไม่มีแววล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

 

“ถึงโรสจะเป็นเพื่อนสนิทของฉันพอๆ กับมาการง แต่มันก็ต้องให้เวลาส่วนตัวกันบ้าง ไม่จำเป็นต้องไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลาก็ได้นี่นา” ซินนามอนแย้ง ฉันเริ่มเห็นความไม่ชอบมาพากลจากคำพูดนั้นบ้างแล้ว สมองนึกหาคำพูดดีๆ สักพัก เพราะสิ่งที่จะพูดต่อไปอาจจะกระทบความรู้สึกของเพื่อนสาวพอสมควร แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็อาจจะสายเกินไป

 

“ที่เธอพูดมาน่ะมันก็ใช่ เพื่อนที่สนิทกันไม่จำเป็นต้องไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา เพื่อนสนิทก็คือคนธรรมดาที่ต้องการเวลาส่วนตัวบ้างอะไรบ้าง แต่ฉันอยากให้เธอลองคิดดูดีๆ ว่าระหว่างเธอกับโรสน่ะ มันเรียกได้เต็มปากว่า เพื่อนสนิท แล้วเหรอ?” สีหน้าของซินนามอนมีแววไม่เข้าใจ ฉันจึงพูดต่อไป

 

“เธอลองคิดดูดีๆ นะซินนามอน ฉันอาจจะพูดอะไรได้ไม่มากเพราะฉันไม่รู้จักโรสดีเท่ากับเธอ แต่ฉันรู้สึกว่าสายตาที่โรสมองเธอมันดูแปลกๆ เหมือนไม่จริงใจกับเธอ ที่ฉันเตือนเธอเรื่องนี้ก็เพราะหวังดี ไม่ได้อยากให้พวกเธอสองคนผิดใจกัน ตั้งแต่รู้จักกันมาฉันรู้ว่าซินนามอนเป็นคนดี มีน้ำใจ แล้วก็แคร์เพื่อนทุกคน แต่บางทีเราให้ใจกับใครก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะให้ใจเราตอบเสมอไป” คำพูดที่คิดจะพูดต่อถูกกลืนลงคอไปเสียเฉยๆ และสุดท้ายฉันก็ตัดสินใจไม่พูดมัน

 

ซินนามอนมองฉันนิ่ง เธอเงียบไปนานมากจนฉันคิดว่าบางทีเธออาจจะไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเมื่อกี้ด้วยซ้ำ แต่สักพักเธอก็เปิดปากพูดอีกครั้ง

 

“ฉันเข้าใจเธอนะวาฟเฟิล” เสียงนั้นค่อนข้างเบา แต่สักพักก็พูดต่อไปว่า “เกือบปีที่ฉันรู้จักโรสมา ฉันก็พอจะรู้อยู่ว่าโรสเป็นคนยังไง โรสน่ะเก่งแล้วก็มั่นใจในตัวเอง จนบางทีฉันก็อยากจะมีความมั่นใจให้ได้แบบนั้นบ้าง แต่ฉันคิดว่าโรสคงไม่ใช่คนไม่ดีหรอก โรสน่ะแค่เป็นคนตรงไปตรงมาเท่านั้นเอง ถ้าเธอได้รู้จักอาจจะมองโรสเปลี่ยนไปก็ได้น้า”

 

เธอหยุดไปสักครู่ ก่อนจะพูดต่อว่า “แต่ยังไงก็ขอบใจเธอมากน้า ที่หวังดีกับฉันมาตลอดเลย”

 

ฉันได้แต่มองซินนามอนเงียบๆ หรือบางทีฉันอาจจะคิดมากไปเองนะบางที สิ่งที่ซินนามอนพูดมาอาจจะจริงก็ได้ และก็เป็นฉันที่เข้าใจผิดจนคิดมากและเป็นห่วงเพื่อนจนเกินเหตุ

 

“เฮ่อช่างมันเถอะ บางทีฉันอาจจะเย็บผ้ามากไปจนคิดมากไปเองก็ได้” ฉันพูดยิ้มๆ ก่อนจะก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ แล้วเอ่ยชวนเพื่อนสาวให้ขึ้นห้องเพราะใกล้หมดเวลาพักเต็มที

 

(ซินนามอนบรรยาย)

 

ฉันตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ วันนี้เป็นอีกวันที่สำคัญและน่าตื่นเต้น เพราะฉันได้รับตำแหน่งเซนเตอร์ในการแสดงที่ต้องยืนต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนเป็นครั้งแรก ฉันลุกขึ้นจากที่นอน อาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนเหมือนทุกวัน รู้สึกพร้อมมากสำหรับการแสดงที่ใกล้จะเริ่มในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ความมั่นใจที่ไม่เคยมีในตอนซ้อมเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันนึกภาพตัวเองที่ยืนเด่นเป็นสง่าในสนามฟุตบอล กับเสียงดนตรีที่คอยบรรเลงให้จังหวะก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้น

 

ยังพอมีเวลาเหลือเล็กน้อย ฉันจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเข้าไลน์แชทหามาการงเพื่อให้กำลังใจเพื่อนสนิท ป่านนี้เธอน่าจะกำลังหลับสบายเพื่อเอาแรง ตื่นขึ้นมาแล้วก็คงจะได้แข่งวาดภาพเสียที และก็ไม่ลืมที่จะแชทไปให้กำลังใจช็อกโกล่าด้วย ฉันเชื่ออยู่เต็มหัวใจว่าทั้งสองคนนี้ต้องทำผลงานออกมาได้ดีกว่าครั้งที่มาการงแข่งเดี่ยวอย่างแน่นอน และเมื่อมีเพื่อนตัวเล็กอย่างคัสตาร์ดอยู่ร่วมทีมด้วยแล้วก็ไม่มีอะไรต้องกังวล

 

เวลาล่วงเข้า 7 นาฬิกา ฉันจึงมุ่งหน้าไปที่ห้องดนตรีเพื่อเปลี่ยนชุดนักเรียนเป็นชุดที่จะใช้ในการแสดง พาเฟ่ต์ พี่เชอร์และรุ่นพี่อีกคนเดินเข้ามาในห้องแล้ว มีเพื่อนชมรมแฟชั่นหลายคนมาช่วยแต่งหน้าแต่งตัวให้พวกเราด้วย ฉันรับชุดกระโปรงมาจากมือของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อทุกคนได้ชุดของตัวเองแล้วก็พากันเดินไปที่ห้องน้ำใกล้ห้องดนตรีทันที

 

“เปลี่ยนชุดกันไปก่อนนะ ให้เร็วล่ะ เดี๋ยวต้องแต่งหน้ากันอีก พวกเรามีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นนะ รีบทำเวลาด้วย” เสียงของคุณครูที่มาช่วยแจ้งกับพวกเรา ฉันเดินตามพี่เชอร์เข้าไปในห้องน้ำ ถอดชุดนักเรียนออกแล้วพับใส่กระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กที่หยิบติดตัวมาด้วย

 

ไม่นาน ฉันก็เดินออกมาในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนที่มีระบายลูกไม้ที่อกเสื้อ ชุดนั้นใส่สบายมากกว่าที่คาดไว้ เมื่อมองหาคนอื่นๆ ก็เห็นว่าแต่งตัวเสร็จกันบ้างแล้ว เหลือแค่แต่งหน้าเท่านั้น

 

“อ้าว แล้วพวกชมรมการแสดงล่ะคะ?” ฉันเอ่ยถามรุ่นพี่หัวหน้าชมรม เมื่อมองสำรวจในห้องน้ำเห็นมีแต่เพื่อนชมรมคอรัชอย่างเดียวก็อดแปลกใจไม่ได้

 

“ทางนั้นเขาไปแต่งตัวที่ห้องน้ำอีกตึกหนึ่งจ้ะ ไม่ได้อยู่ตึกนี้หรอก” พี่เชอร์ให้คำตอบ พวกเราคุยกันได้ไม่เท่าไร คุณครูก็ยื่นไมโครโฟนไร้สายให้พวกเราทีละคน ฉันรับมาถือไว้ กำลังคิดว่าจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนดีก็ถูกเรียกให้ไปแต่งหน้า ฉันจึงเอาไมโครโฟนใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้า วางไว้คู่กับที่คาดผม คิดว่าแต่งหน้าเสร็จแล้วค่อยมาหยิบไปทีเดียว

 

ฉันถูกเพื่อนชมรมแฟชั่นที่ไม่รู้จักละเลงแป้งและอะไรต่อมิอะไรลงบนใบหน้า โดยพวกเธอพูดกับฉันว่าจะแต่งออกมาให้สวยที่สุด ให้สมกับที่ฉันได้เป็นเซนเตอร์ของการแสดงนี้เลยทีเดียว พวกเธอทำอะไรกับใบหน้าของฉันสักพักก็เสร็จ แล้วก็มีเพื่อนหญิงอีกคนมาช่วยจัดทรงผมให้ ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่นานที่สุด ฉันรู้สึกมึนเล็กน้อยเพราะโดนโยกศีรษะไปมา ร้องบอกให้หยุดก็ไม่มีใครฟังจนต้องปล่อยเลยตามเลย

 

การแต่งหน้าทำผมกินเวลาไปเกือบ 10 นาที จนเมื่อก้มลงมองนาฬิกาก็เห็นว่าใกล้เวลาแล้ว ฉันจึงลุกขึ้นไปมองตัวเองในกระจก ยิ้มแหยๆ ให้กับร่างของตัวเองที่ถูกแปลงโฉมใหม่จนจำแทบไม่ได้

 

“นะนี่เหรอ ซินนามอน” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นข้างๆ เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าเป็นพาเฟ่ต์นั่นเอง เธออยู่ในชุดกระโปรงสีฟ้า ริมฝีปากทาลิปสติกสีชมพู แก้มที่ขาวอมชมพูอยู่แล้วถูกแต่งเติมด้วยบลัชออนทำให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

 

“ว้าว พอพาเฟ่ต์แต่งหน้าก็ดูน่ารักไม่เบานะเนี่ย” ฉันยืนยิ้มมองเพื่อนผมเขียวที่มักจะทำหน้าเย็นชาเสมอ จนเธอแต่งหน้าก็ทำให้ดูดีขึ้นมาก แต่หากยิ้มสักหน่อยละก็คงต้องดูดีกว่านี้อีกแน่ๆ

 

“ทะเธอ ฉันไม่นึกว่าแต่งหน้าแล้วจะดู เอ่อ” พาเฟ่ต์พูดตะกุกตะกัก ดวงตาสีเขียวมรกตมองฉันไม่วางตา และจู่ๆ ใบหน้าที่มักจะเรียบเฉยตลอดเวลาก็ส่งยิ้มมาให้ฉัน ฉันนิ่งค้าง แต่สักพักก็ยิ้มตอบเธอไป

 

“พวกเธอสองคนจะยืนจ้องตากันอีกนานไหม?” เสียงของหัวหน้าชมรมในชุดสีแดงที่โชว์ส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนดังอยู่ใกล้ๆ ฉันกับพาเฟ่ต์สะดุ้งแล้วหันไปมองตามเสียง เห็นร่างของรุ่นพี่สาวในชุดแบบนั้นก็อดทึ่งกับรูปร่างของเธอไม่ได้

 

“พะพี่เชอร์” ฉันพูดตะกุกตะกัก มองหุ่นที่เหมือนนางแบบนั่นอย่างไม่วางตา

 

“คนอื่นเขาเสร็จกันแล้วนะ เหลือแต่พวกเธอนี่แหละ วางของไว้ตรงนี้ เอาแค่ของที่จำเป็นไปก็พอนะ”

 

“ค่ะ แต่พวกเราจะไปกันหรือยังคะ” ฉันเอ่ยถาม รุ่นพี่สาวพยักหน้าก่อนตอบ

 

“เดี๋ยวอีกสักพักก็ไปได้แล้ว ทางชมรมการแสดงกับชมรมดนตรีขนเครื่องดนตรีไปรอที่สนามแล้ว รอให้พี่ ม.6 ลงมาจากหอประชุมก็เริ่มแสดงได้”

 

“งั้นเหรอคะ” ฉันกับพาเฟ่ต์พยักหน้า ก่อนที่พวกเราจะยืนคุยกันสักพัก และพี่เชอร์ก็พูดขึ้นว่า

 

“นานๆ จะได้แต่งหน้าแต่งตัวกันเต็มที่สักที พอหลังแสดงเสร็จสงสัยต้องถ่ายรูปเก็บไว้สักหน่อยแล้วมั้งเนี่ย”

 

“จริงด้วยค่ะ นานๆ ทีจะมีแบบนี้สักครั้ง แล้วหนูก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะคะว่าจะได้แสดงในงานแบบนี้กับเขาด้วย” ฉันพูดกับรุ่นพี่ รู้สึกเหมือนฝันไปที่จะได้มายืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนแบบนั้น

 

“เธอทำผลงานได้ดี พี่คิดว่าเทิมต่อไป คงได้แสดงบ่อยขึ้นแล้วล่ะ แถมแต่งหน้าออกมาก็น่ารักด้วย สงสัยตอนออกไปยืนคงมีคนมองเยอะแน่ๆ”

 

“แหะๆ หนูไม่ค่อยชอบแต่งหน้าเท่าไหร่หรอกค่ะ ไม่นึกว่าแต่งออกมาแล้วจะดูดี ครั้งนี้ได้เพื่อนฝีมือดีมาช่วย ต้องให้เครดิตพวกนั้นมากกว่านะคะ”

 

“ช่างเถอะอย่ามัวยืนคุยกันอยู่เลย ไปเตรียมตัวได้แล้ว อย่าลืมไมค์ล่ะ เช็คให้ดีนะ เวลาเสียจะได้รีบเปลี่ยนตรงนี้เลย” ฉันสะดุ้งเมื่อจบคำพูดของรุ่นพี่ มองสำรวจตัวเองในกระจกรอบสุดท้ายเพื่อความมั่นใจก็รู้สึกว่ายังมีอะไรขาดไปสักอย่าง

 

เครื่องประดับศีรษะหายไป

 

ฉันหมุนตัวกลับไปยังโต๊ะที่ใช้วางของอีกครั้ง มือควานหากระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองอย่างรีบร้อน ล้วงหาสิ่งที่วางเอาไว้ในกระเป๋าอย่างมั่นใจว่ามันต้องอยู่ในนั้น แต่สักพักก็รู้สึกแปลกๆ

 

ฉันก้มลงมองในกระเป๋า พลันหัวใจที่เคยพองฟูเมื่อครู่ก็หล่นวูบ ของสองสิ่งที่กำลังตามหาอันตรธานหายไปเฉยๆ เหมือนถูกดูดหายไปกับผ้าในกระเป๋า ฉันลองมองดูอีกรอบเพื่อความแน่ใจ เป็นความจริงแน่นอนแล้ว ฉันไม่ได้ตาฝาด หัวใจของฉันเต้นแรง มือเริ่มเย็นแต่บนใบหน้ากลับมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพราย ก่อนที่จะอุทานลั่นด้วยความตกใจ

 

“นี่มันอะไรกันเนี่ย!

 

(ติดตามตอนต่อไป)

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.