Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri] Chapter 19

Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri]

-A A +A

Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri] Chapter 19

หมวดหนังสือ: 

Chapter 19: ผู้ถูกเลือก กับความรู้สึกที่เปลี่ยนไป

 

(ซินนามอนบรรยาย)

 

สมาชิกชมรมคอรัชต้องเข้ามาฝึกซ้อมร้องเพลงที่จะร้องประกอบละครในกิจกรรมอำลารุ่นพี่ที่ใกล้เข้ามาทุกที วันนี้ฉันและเพื่อนๆ ในชมรมก็มารวมกันที่ห้องดนตรีหลังเลิกเรียนเช่นเคย พี่เชอร์ยืนอยู่หน้าเปียโนตัวหนึ่งก่อนจะประกาศว่า

 

“ทุกคน… ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ได้แสดงร่วมกันเหมือนกับครั้งก่อนๆ แล้วละ”

 

มีเสียงอุทานออกมาจากสมาชิกทุกคน ฉันกับพาเฟ่ต์มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่รุ่นพี่ผมสีชมพูจะบอกให้ทุกคนเงียบและพูดขยายความ

 

“เท่าที่ดูจากเพลงที่ต้องใช้แสดง และพี่กับหัวหน้าชมรมอื่นคุยกันแล้ว พวกเราลงความเห็นกันว่า ต้องการคนที่จะมาร้องเพลงแค่ 4 คนก็พอน่ะจ้ะ”

 

“แล้วสมาชิกที่เหลือล่ะคะ?” โรสแมรี่รีบถามอย่างรวดเร็ว

 

“คนที่เหลือไม่ต้องเสียใจไป เราไม่ได้แสดงในครั้งนี้ก็ถือว่าได้พัก แต่ก็สามารถนั่งให้กำลังใจเพื่อนที่จะต้องแสดงได้น้า หรือจะมาช่วยแนะนำเพื่อนๆ เวลาซ้อมก็ได้ พี่ต้องขอโทษจริงๆ ที่คราวนี้ให้ทุกคนได้แสดงไม่ครบ เพราะมติของทุกชมรมมันออกมาเป็นแบบนี้น่ะจ้ะ” หัวหน้าชมรมพูด สีหน้าบ่งบอกว่าเสียใจจริงๆ อย่างที่พูด ทุกคนได้แต่ปลอบใจหัวหน้าชมรมผู้น่ารัก ที่สามารถประคับประคองชมรมเล็กๆ ของพวกเราให้อยู่มาได้ขนาดนี้ โดยที่ทุกคนในชมรมไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกันหนักๆ เลยสักครั้ง

 

“เอาล่ะ ในเมื่อเข้าใจกันแล้ว เราต้องมีการคัดเลือกคนแสดงนะจ๊ะ ทุกคน ตามฉันมาเลยจ้ะ” คำพูดของหัวหน้าชมรมทำให้ทุกคนที่กำลังทำอย่างอื่นหันมาสนใจคนพูดอีกครั้ง พี่เชอร์เดินนำพวกเราไปที่ห้องดนตรีอีกห้องที่อยู่ติดกัน และกว้างกว่าห้องที่เราอยู่มาก เมื่อเดินเข้าไปข้างใน ฉันก็เห็นทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ชมรมดนตรีพร้อมกับเครื่องดนตรีครบครัน

 

“ฉันเพิ่งรู้นะว่าโรงเรียนนี้มีห้องดนตรี 2 ห้อง” เมื่อเดินเข้ามาข้างในได้ โรสแมรี่ก็พูดขึ้นทันที ฉันมองสภาพโดยรวมของห้องนี้ก็ต้องตะลึงเนื่องจากความกว้างของห้องและจำนวนเครื่องดนตรีที่ถูกนำมาเตรียมบรรเลงแบบครบวง นึกแปลกใจว่าอยู่ที่นี่มาตั้งนาน เดินผ่านห้องดนตรีมาก็หลายครั้งแล้วทำไมถึงไม่เคยสังเกตห้องนี้เลยสักครั้ง

 

“ห้องที่พวกเราอยู่ จริงๆ มันไม่น่าจะเรียกว่าห้องดนตรีได้นะ” พาเฟ่ต์ออกความเห็น ฉันพยักหน้าเห็นด้วย

 

“ฉันก็ว่างั้น ห้องชมรมเราน่ะเล็กจะตาย ฉันเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าทำไมเขาถึงรับสมาชิกได้น้อยเพราะตัวห้องนี่เอง แล้วก็… ฉันก็เห็นด้วยว่าห้องนั้นมันก็ไม่น่าจะเรียกว่าห้องดนตรีได้นะ”

 

“เรียกว่าห้องคีย์บอร์ดเหมาะกว่า ว่าไหม?” โรสแมรี่ถามความเห็น ฉันพยักหน้ารับ ก่อนที่ทุกคนจะจัดแถวยืนเรียงกันตามลำดับความสูงและทยอยเดินไปที่กลางห้อง คุณครูที่ปรึกษาชมรมขับร้องและคุณครูชมรมดนตรีต่างมายืนกันพร้อมหน้า

 

“เอาละ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ครูจะให้พวกเรามาซ้อมที่ห้องนี้นะคะ ทั้ง 2 ชมรมเลย” เสียงของคุณครูสอนวิชาดนตรีคนหนึ่งพูดขึ้น ก่อนจะชี้แจงสิ่งที่ต้องทำในวันนี้

 

ผลสรุปออกมาว่า สมาชิกชมรมคอรัชที่ต้องแสดงจะแบ่งออกเป็นนักเรียน ม.ต้นและม.ปลายอย่างละ 2 คน รวม 4 คน ทุกคนจะต้องร้องเพลงแรกที่ต่อกันไว้จนจำได้ขึ้นใจแล้ว โดยการบรรเลงดนตรีแบบเต็มวง ไม่ได้ร้องกับคีย์บอร์ดเหมือนกับที่ผ่านมา การคัดเลือกครั้งนี้ทุกคนจะต้องร้องออกมาให้เต็มที่ ใครที่ร้องได้ไพเราะที่สุด 4 อันดับแรกจะได้เป็นผู้แสดงในกิจกรรมนี้ร่วมกับชมรมการแสดงและชมรมดนตรี

 

“เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว…” เสียงของคุณครูที่ปรึกษาชมรมประกาศ “เราจะเริ่มคัดเลือกกันเลยนะคะ ครูจะให้ทุกคนร้องเพลงที่เราเคยซ้อมกันไว้ คิดว่าทุกคนน่าจะร้องได้หมดแล้ว ใช่ไหมคะ?”

 

ทุกคนพยักหน้า เสียงเปียโนให้สัญญาณทำให้ทุกคนเริ่มตื่นตัว ทำนองเพลงกับเนื้อร้องลอยเข้ามาในหัวฉันอีกครั้ง

 

และการคัดเลือกนักร้องก็เริ่มขึ้น ฉันเป็นคนที่ 5 ที่จะต้องร้องต่อจากรุ่นพี่คนหนึ่ง เสียงเปียโนเริ่มท่อนอินโทรตามมาด้วยเสียงแหลมของไวโอลินและกลองให้จังหวะ ฉันพยายามจดจำทำนองที่แปลกไปกว่าเดิมเล็กน้อยเพื่อเตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เสียงของหัวหน้าชมรมเริ่มร้องเป็นคนแรก ตามมาด้วยพาเฟ่ต์ โรสแมรี่ และ รุ่นพี่ เมื่อถึงตาฉัน ฉันเดินออกไปยืนพร้อมรับไมโครโฟนมาจากครูที่ปรึกษาชมรม ก่อนที่เสียงดนตรีที่คุ้นเคยเริ่มดังขึ้น

 

เสียงดนตรีและทำนองของบทเพลงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ต้องโฟกัส ฉันทำเพียงปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับเสียงดนตรี และร้องเพลงออกมาให้เต็มที่ ถูกต้องตามเนื้อและทำนองที่ซ้อมมาอย่างดี ไม่นานเสียงเปียโนก็เริ่มเบาลงจนหยุดไป ฉันเดินกลับมาที่เดิม พร้อมกับรุ่นพี่อีก 2 คนสุดท้ายออกไปร้องเพลงต่อ ไม่นานการโชว์เดี่ยวของทุกคนก็ครบ

 

“เขาบอกว่าเป็นการคัดเลือก แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าเหมือนเราได้สอบร้องเพลงเลยแฮะ” โรสแมรี่พูดหลังจากรุ่นพี่คนสุดท้ายร้องเพลงจบแล้ว

 

“คิดเหมือนฉันเลย คัดเลือกคนแสดงนี่มันยากพอๆ กับสอบร้องเพลงตอนเรียนดนตรีจริงๆ เลยนะเนี่ย ทุกคนเต็มที่กันมากเลย” ฉันเห็นด้วยกับเพื่อนผมส้ม

 

“นั่นสิ แต่เธอก็ร้องดีอยู่แล้วนะซินนามอน ฉันได้ยินพวกรุ่นพี่เขาคุยๆ กันอยู่ว่าเธอร้องดีขึ้นมากเลยถ้าเทียบกับปีที่แล้วน่ะ” คำพูดของโรสแมรี่ทำให้ฉันอดประหลาดใจไม่ได้ มีใครเคยพูดชมฉันแบบนั้นด้วยหรืออย่างไร แต่ทำไม ถ้าชมจริงๆ ก็น่าจะมาชมต่อหน้า ไม่น่าจะต้องคุยกันเองก็ได้ไม่ใช่หรือ?

 

“มีคนเคยพูดชมฉันแบบนั้นด้วยเหรอ? ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย?”

 

“ที่เขาไม่พูดชมต่อหน้า ก็เพราะเขารู้ว่าจะต้องมีคนเอาเรื่องนี้มาบอกเธออยู่แล้วหรือเปล่า?” ข้อสังเกตของพาเฟ่ต์เองก็น่าคิด ฉันลองคิดตามคำพูดนั้นก็เห็นว่าเป็นไปได้ เพราะโรสแมรี่เองก็เป็นเพื่อนร่วมชมรมที่ค่อนข้างจะสนิทกับรุ่นพี่ในชมรมหลายคน ถ้าจะได้ยินเรื่องที่พวกรุ่นพี่คุยกันไม่ว่าจะเกี่ยวกับตัวรุ่นน้องหรือเรื่องอื่นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

 

“แต่ว่านะ ได้ยินว่าเขาจะให้ ม.ต้นกับ ม.ปลาย แสดงอย่างละ 2 คนนี่นา แบบนี้ก็แสดงว่า…” ฉันพูดหลังจากเงียบไปนาน พาเฟ่ต์พยักหน้าก่อนเอ่ย

 

“ต้องมีหนึ่งในพวกเราที่ไม่ได้แสดง พวกรุ่นพี่ก็เหมือนกัน”

 

“ต้องมาลุ้นกันละว่าใครจะเป็นหนึ่งคนที่จะไม่ได้แสดง” โรสแมรี่พูด ดวงตาเป็นประกายวาววับ ฉันมองดวงตาสีอเมทิสต์คู่นั้นแล้วก็มั่นใจว่าเธอจะต้องเป็นหนึ่งในสองคนที่จะต้องได้แสดงแน่ๆ เพราะเสียงร้องของเธอที่ยังคงดีเหมือนเดิม แม้ว่าอารมณ์เพลงที่สื่อออกมาจะไม่ดีเหมือนกับเมื่อครั้งก่อนที่เธอเคยร้องมาก็ตามที

 

ไม่นาน ผลสรุปก็ออกมาว่า คนที่จะแสดงในงานนี้คือ พี่เชอร์ หัวหน้าชมรมที่ฉันชื่นชมมาตลอด

 

รุ่นพี่ ม.ปลายคนหนึ่งที่ฉันไม่สนิท แต่ร้องเพลงได้ดีมาก เคยเป็นคนร้องประสานมาทุกงานแล้ว ฉันจำเธอได้ดีเพราะเคยยืนอยู่ข้างหลังเธอในการแสดงครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว

 

แต่ทางด้านนักเรียน ม.ต้นนั้น เป็นอะไรที่ผิดคาดทีเดียว เพราะทั้งฉันและพาเฟ่ต์ได้แสดงด้วยกัน แต่ไร้ชื่อของเพื่อนผมส้ม

 

‘นี่มันอะไรกัน…’? ฉันคิดกับตัวเองในใจแต่ก็ไม่ได้ถามออกมา การร้องเพลงของโรสแมรี่แย่ถึงขั้นไม่ควรได้แสดงในกิจกรรมนี้เลยหรือ? ฉันมองหน้าเพื่อนสาวข้างๆ อย่างเห็นใจ แต่พาเฟ่ต์ทำเพียงยืนนิ่ง ไม่ยินดียินร้ายกับผลการคัดเลือกนั้น

 

(วาฟเฟิลบรรยาย)

 

ฉันมายืนรอน้องสาวแถวห้องดนตรีเพื่อจะได้กลับบ้านด้วยกันเหมือนทุกวัน เป็นเรื่องปกติไปแล้วที่เวลาหลังเลิกคาบชมรมทีไร ฉันมักจะมายืนรออยู่แถวนี้เป็นประจำเพราะห้องชมรมที่เคยอยู่นั้นกำลังทาสีใหม่ ทำให้ใช้การไม่ได้ชั่วคราว และจะเรียกว่าเป็นโชคดีก็ได้ที่ห้องชมรมใหม่ของฉันดันมาอยู่ใกล้ห้องดนตรีพอดี ทำให้สามารถได้ยินเสียงการซ้อมของชมรมได้ถนัดมากขึ้น

 

แต่วันนี้แปลกกว่าทุกวัน เพราะเสียงการซ้อมของชมรมดนตรีนั้นกลับมีเสียงร้องเพลงดังออกมาด้วยแทนที่จะเป็นแค่เสียงดนตรีเหมือนเช่นเคย ฉันแปลกใจได้ไม่นาน คนที่อยู่ในห้องก็เปิดประตูเดินออกมา ฉันรีบเดินหลบออกมาจากหน้าห้องเพื่อไม่ให้เกะกะทางเดิน ตาก็มองหาทั้งพาเฟ่ต์และพวกเพื่อนชมรมคอรัชไปด้วย

 

“วาฟเฟิล! ทางนี้จ้า!” เสียงเรียกชื่อฉันดังขึ้น ฉันหันไปตามเสียงก็เห็นทั้งซินนามอน พาเฟ่ต์และโรสแมรี่เดินตรงมาหา ทั้ง 3 คนตัวเย็นเฉียบเนื่องจากในห้องดนตรีนั้นเป็นห้องแอร์ ฉันจับมือน้องสาวเขย่าเบาๆ ก่อนที่พวกเราจะเดินลงมาจากตึก โรสแมรี่ขอตัวเดินกลับไปทางประตูหลังโรงเรียน พวกเราที่กลับทางประตูหน้าเดินไปด้วยกันเงียบๆ สักพัก ฉันก็เปิดบทสนทนาขึ้น

 

“วันนี้พวกเธอไม่ได้ซ้อมที่ห้องเดิมหรอกเหรอ? ฉันมองเข้าไปแล้วไม่เห็นมีใครเลย”

 

“ครูเขาบอกให้เปลี่ยนห้องซ้อมน่ะ ทีหลังพี่ก็มาที่ห้องนี้นะ” พาเฟ่ต์ตอบ ฉันพยักหน้าเข้าใจ ซินนามอนพูดเสริมว่า

 

“ต่อจากนี้พวกเราต้องมาซ้อมรวมกับชมรมดนตรี เวลาเหลืออีกแค่อาทิตย์เดียวก็แสดงแล้ว ฉันว่าก็ดีเหมือนกันน้า ห้องกว้างกว่ากันเยอะเลย”

 

“ห้องนั้นเป็นห้องดนตรี พวกเครื่องดนตรีก็อยู่ในนั้นหมดเลย ก็ไม่แปลกหรอกที่ชมรมดนตรีจะไปซ้อมกันในนั้น พวกเราได้มาซ้อมในห้องนั้นด้วยนี่เป็นอะไรที่เหมาะที่สุดแล้วในตอนนี้นะ” พาเฟ่ต์พูด

 

“จริงด้วย แล้วทุกคนรู้แล้วหรือยังว่ามีใครได้แสดงบ้างน่ะ?” ฉันถามด้วยความอยากรู้เต็มที

 

“พี่รู้เรื่องนี้มาก่อนเหรอ?” พาเฟ่ต์ถาม ฉันพยักหน้าเล็กน้อยก่อนอธิบาย

 

“ได้ยินจากหัวหน้าชมรมการแสดงมาว่า ต้องการคนร้องแค่ 4 คนน่ะจ้ะ แต่ไม่รู้ว่าเลือกกันได้หรือยัง” ฉันตอบตามความจริง รู้สึกเสียดายเหมือนกันที่จะไม่ได้เห็นการแสดงจากสมาชิกชมรมคอรัชครบทุกคน

 

“ได้มาหมดแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าใครจะได้เป็นเซนเตอร์” พาเฟ่ต์ตอบ ซินนามอนช่วยบอกรายชื่อคนแสดง เมื่อฟังจบทำให้ฉันยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ทั้งเพื่อนและน้องสาวได้แสดงร่วมกันเป็นอะไรที่ดีไม่น้อย

 

“ว้าว! อยากรู้แล้วสิว่าการแสดงจะออกมาเป็นยังไงน้า”

 

“ตอนนี้พวกเราร้องได้แค่เพลงเดียวเอง ส่วนเพลงที่เหลือก็ยังไม่ได้ต่อ ฉันเริ่มกังวลซะแล้วสิ” ซินนามอนพูดเบาๆ ใบหน้านั้นแสดงความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด

 

“เธอจะรีบกังวลไปก่อนทำไม? คนที่จะได้เป็นเซนเตอร์ก็ยังไม่รู้เลย บางทีเพลงที่ต้องร้องอาจจะไม่ยากอย่างที่คิดก็ได้” พาเฟ่ต์พูดเชิงปลอบใจ ฉันพยักหน้าเห็นด้วย

 

“ใช่จ้ะ ซินนามอนร้องเพลงเพราะอยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกน้า ทำใจให้สบาย แล้วรอดูพรุ่งนี้ดีกว่า”

 

“พาเฟ่ต์ได้ฟังเพลงที่จะต้องร้องแล้วใช่หรือเปล่า?” ซินนามอนหันไปถามน้องสาวฉันที่เดินอยู่ข้างๆ พาเฟ่ต์พยักหน้ารับก่อนตอบ

 

“ฉันฟังไปหมดแล้ว แต่ถ้าเป็นการแสดงแบบนี้ ทั้งครูกับพวกรุ่นพี่ต้องแบ่งท่อนกันร้องอยู่แล้วว่าใครจะร้องหลัก ใครจะประสาน แล้วก็ใครต้องโซโล่ตรงไหนบ้าง ไม่เป็นไรหรอก ถึงตอนนั้นเดี๋ยวเธอก็รู้เอง ไม่ต้องกังวลหรอกนะ” น้ำเสียงเบาลงในประโยคท้าย เหมือนจะปลอบประโลมเพื่อนผมสีโกโก้ไปในตัว ซินนามอนยิ้มออกมาก่อนเอ่ยขอบคุณ พอดีกับที่พวกเราเดินถึงหน้าประตูโรงเรียน ซินนามอนแยกตัวเดินไปทางหนึ่ง ส่วนฉันกับพาเฟ่ต์เดินกลับบ้านด้วยกันเหมือนทุกวัน

 

“วันนี้ซ้อมเป็นไงบ้างเหรอ?” ฉันเอ่ยปากถามน้องสาวขึ้นเป็นประโยคแรก พาเฟ่ต์พยักหน้าเล็กน้อย

 

“ก็ดีนะ แล้วชมรมพี่ล่ะ?”

 

“ทางนี้กำลังออกแบบชุดกันอยู่ น่าจะเรียบร้อยภายในวันสองวันนี้แหละจ้ะ” หลังจากได้สคริบจากชมรมการแสดง ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบชุดของสมาชิกชมรมแฟชั่นอย่างพวกเราก็ต้องมา แม้ว่าจะคิดไม่ออกในทีแรก แต่ตอนนี้กลายเป็นฉันที่ปิ๊งไอเดีย กลายเป็นแสงสว่างช่วยชมรมไปซะงั้น

 

“เร็วจังเลย สมแล้วที่เป็นพี่” พาเฟ่ต์เอ่ยชม แน่นอนว่าคนที่รู้ดีที่สุดว่าใครเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการออกแบบชุดที่จะใช้ในการแสดงนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน น้องสาวของฉันเอง ฉันยิ้มแหยออกมาก่อนเอ่ย

 

“ถ้าพี่ไม่เสนอ ทุกคนก็คงจะคิดกันไม่ออก แล้วงานของพวกเราก็จะเสร็จไม่ทันเวลา เฮ่อออ” พูดพลางถอนใจเฮือก ชมรมฉันเองก็เหมือนกับชมรมอื่น ไม่ถึงวันเดดไลน์ งานไม่เดิน

 

นี่มันสัจธรรมของคนขี้เกียจโดยแท้

 

“อ้อ แล้วที่เราว่าก็ดีนี่ คือยังไงเหรอ? ได้ยินว่าได้คนแสดงหมดแล้วนี่” ฉันวกกลับไปเรื่องเดิม พาเฟ่ต์ตอบเรียบๆ

 

“ก็ใช่… แต่”

 

“พูดมาให้หมดสิ” ฉันคาดคั้น

 

“ก็อย่างที่บอกพี่นั่นแหละ ยังไม่รู้ว่าใครจะได้เป็นเซนเตอร์”

 

“อ้าว! ทำไมช้าจัง?”

 

“ก็เวลามันหมดก่อน พรุ่งนี้ก็ซ้อมที่ห้องดนตรีเหมือนเดิม ตำแหน่งเซนเตอร์คงได้ข้อสรุปพรุ่งนี้นั่นแหละ” พาเฟ่ต์อธิบาย ฉันพยักหน้า คำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว ฉันจึงลองหยั่งเชิงว่า

 

“แล้วเราอยากเป็นไหมล่ะ เซนเตอร์น่ะ?”

 

“พี่ก็รู้นี่ว่าฉันไม่ชอบเป็นจุดเด่น” น้องสาวของฉันตอบแทบจะในทันที

 

“ได้แสดงทั้งที ใครก็อยากเป็นเซนเตอร์กันทั้งนั้น มีแค่เราคนเดียวที่ไม่อยากเป็น เฮ่อ พี่ละไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเราถึงไม่อยากได้นัก ตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของเพลงเนี่ย”

 

“เสียงฉันไม่เหมาะหรอก เหมาะประสานมากกว่า” พาเฟ่ต์ยังคงหาข้อแก้ตัวสารพัด ฉันรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจกับความคิดของอีกฝ่าย แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเรื่อง

 

“แล้วใจจริง เราอยากให้ใครเป็นเซนเตอร์เหรอ?”

 

“ก็ต้องซินนามอนสิ” ตอบออกมาทันทีแทบจะไม่ต้องคิด

 

“นั่นสินะ ช่วงนี้เริ่มสนิทกันแล้วนี่ ได้ยินว่าซินนามอนขึ้นไปหาที่โรงยิมบ่อยๆ ด้วย” ฉันพูดลอยๆ แต่จู่ๆ พาเฟ่ต์ก็มีสีหน้าตกใจ พูดละล่ำละลัก

 

“พะ… พี่รู้?”

 

“หึๆๆ ทำไมพี่จะไม่รู้ อย่าลืมนะว่าคัสตาร์ดคือเพื่อนสนิทพี่ คนผมแดงที่เล่นวอลเลย์บนโรงยิมบ่อยๆ นั่นแหละ เราไม่รู้จักเหรอ?”

 

“รู้จัก แต่ไม่ค่อยได้คุยกันน่ะ”

 

เนื่องจากคัสตาร์ดกับพาเฟ่ต์เป็นคนที่ชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน จึงมีโอกาสได้เจอกันที่โรงยิมบ่อยๆ เล่นวอลเลย์บอลด้วยกัน แม้ทั้งสองคนจะอยู่คนละทีมกันก็ตาม แต่ด้วยความที่น้องสาวของฉันเป็นคนพูดน้อย และไม่ค่อยมีทักษะการเข้าสังคมหรือผูกมิตรกับใครเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่มีทางสนิทสนมกับใครง่ายๆ

 

แต่ฉันสังเกตว่า หลังจากที่พาเฟ่ต์กับซินนามอนได้รู้จักกัน น้องสาวของฉันก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย

 

จากคนเย็นชา พูดน้อย ก็เริ่มเปิดใจกับคนอื่นมากขึ้น แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งนิสัยเดิมอยู่ ฉันไม่หวังหรอกว่าน้องสาวฉันจะเป็นคนที่ร่าเริง ยิ้มเก่งเหมือนฉันหรือเพื่อนคนอื่น ขอเพียงให้เธอมีความเป็นตัวของตัวเอง แสดงความรู้สึกที่อยู่ในใจออกมาให้ได้ก็พอแล้ว

 

เห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแบบนี้ คนเป็นพี่สาวอย่างฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้น พวกเราเดินเข้ามาข้างในบ้าน เอาของขึ้นไปเก็บในห้องส่วนตัว ก่อนที่ฉันจะเดินเข้าครัว เปิดตู้เย็นดูว่ามีอะไรที่พอจะทำมื้อเย็นกินได้บ้าง

 

(พาเฟ่ต์บรรยาย)

 

เป็นเวลาเกือบ 1 ปีแล้วที่ฉันกับซินนามอนได้อยู่ชมรมเดียวกันและได้รู้จักกัน ฉันยอมรับว่าทีแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเพื่อนผมสีโกโก้คนนี้เท่าไรนัก จริงอยู่ว่าเธอจะน่ารัก ร่าเริงคล้ายกับมาการง แต่เธอก็มีอะไรที่ต่างจากเพื่อนผมม่วงคนนั้นอยู่เหมือนกัน

 

ความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อในสิ่งที่ทำคือจุดเด่นของเธอที่ฉันสังเกตได้ จากตอนแรกที่มักจะยืนอยู่ข้างหลังสุดเสมอเวลาร้องเพลงก็ได้ขยับมายืนข้างหน้าเรื่อยๆ แม้จะยังไม่ถึงขั้นได้ยืนเป็นเซนเตอร์ แต่นั่นก็คือความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม แหงสิ อยู่ชมรมนี้มาเกือบ 2 ปี ถ้าไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นเลยมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไร แต่เมื่อมีจุดเด่น ก็ต้องมีข้อด้อยเป็นธรรมดา และฉันเองก็สังเกตเห็นข้อด้อยนั้นเช่นกัน

 

ความขี้กังวลยังไงล่ะ เมื่อเธอรู้สึกกังวลขึ้นมา ความมั่นใจที่เคยมีอยู่เต็มเปี่ยมก็จะหายไปเสียเกินครึ่ง ยิ่งชมรมนี้มีตำแหน่งเซนเตอร์ที่ต้องแย่งชิงด้วยแล้ว ไม่ว่าใครก็มีความฝันว่าจะได้ยืนอยู่ ณ ตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของเพลงทั้งนั้น แน่นอนซินนามอนก็เช่นกัน

 

และสิ่งที่ฉันอดเป็นห่วงไม่ได้ก็คือ ยัยเพื่อนผมส้มห้องเดียวกันที่ดันไปสนิทกับซินนามอนซะได้ ทั้งคู่คุยกันถูกคอ เดินไปไหนมาไหนด้วยกันบ้างเป็นครั้งคราว แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ความสนิทสนมนั้น โรสแมรี่จะแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้ด้วย ภายใต้ใบหน้าเรียว จมูกโด่งเชิดรับกันดี และที่สำคัญ ดวงตาสีอเมทิสต์เป็นประกายคู่นั้น… ดวงตาที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมฉายชัดนั่น…

 

ซินนามอนคงไม่รู้อะไร เป็นเรื่องดีที่เธอดูน่ารัก ใสซื่อ และอาจจะถึงขั้นไร้เดียงสา และเป็นเรื่องดีมากกว่าที่ทั้งเธอและโรสแมรี่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่ฉันที่อยู่ห้องเดียวกันกับยัยนั่นย่อมต้องรู้ความเป็นไปทุกอย่าง

 

ให้ตายสิ ทำไมฉันต้องรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนผมสีโกโก้คนนั้นด้วยนะ ทั้งที่มันก็ไม่ใช่เรื่องของตัวเองแท้ๆ แต่ความรู้สึกอยากจะช่วยเหลือ อยากสนับสนุนในทุกสิ่งที่เธอทำ คอยให้กำลังใจ และอยากอยู่เคียงข้างแบบนี้มันอะไรกัน?

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ฉันจึงสะบัดหน้าเล็กน้อย หันมองทางเดินหน้าโรงอาหารที่เต็มไปด้วยผู้คน ถ้าวันนี้อาจารย์ไม่ปล่อยช้าฉันคงได้ขึ้นไปเล่นวอลเลย์บอลที่โรงยิมเหมือนกับทุกวัน แต่นี่เหลือเวลาอีกแค่ 10 นาทีจะได้เวลาขึ้นห้องเรียนคาบบ่าย ฉันจึงตัดใจเดินกลับเข้าไปในโรงอาหารอีกครั้ง

 

จะว่าไป มันก็ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้วที่ซินนามอนขึ้นไปดูการเล่นวอลเลย์บอลบนโรงยิม และฉันเองก็มักจะกลับลงมาพร้อมกับเธอทุกครั้ง วันนี้ไม่เห็นฉันที่โรงยิมเธอจะรู้สึกแปลกใจบ้างหรือเปล่านะ? ว่าแล้วก็เดินไปหลบที่ริมกำแพง หยิบโทรศัพท์ออกมากดเข้าไลน์แชทหาอีกคนทันที

 

“อ้าว พาเฟ่ต์!” เสียงหวานที่คุ้นเคยเรียกชื่อทำให้ฉันแทบจะทำโทรศัพท์หลุดมือ เมื่อหันไปมองตามเสียงก็เห็นคนที่กำลังจะแชทไปหามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า

 

“ทำไมเธอมาอยู่ตรงนี้ล่ะ?” ฉันเอ่ยถาม ซินนามอนยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบ

 

“ฉันว่าจะขึ้นไปโรงยิมน่ะจ้ะ แต่มาเห็นพาเฟ่ต์ก่อนก็เลยเข้ามาทัก แล้ว… มายืนทำอะไรอยู่ตรงกำแพงเหรอ?”

 

ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกดีใจนักยามที่เธอสนทนาด้วยแบบนี้ ฉันยิ้มออกมา เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากระโปรงก่อนเอ่ย

 

“ความจริง ฉันว่าจะขึ้นไปโรงยิมเหมือนกัน แต่ดูเวลาแล้วไม่น่าจะพอ ก็เลย…”

 

“ครูปล่อยช้าละสิท่า” ซินนามอนพูดพลางยิ้มเย้า ฉันพยักหน้ารับ ก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายเอ่ยชวน

 

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ฉันว่าเราไปหาไอติมกินกันไหม?”

 

“ก็ดีนะ” ฉันไม่ปฏิเสธ รู้สึกอยากหาอะไรหวานๆ กินอยู่เหมือนกัน ซินนามอนเดินนำเข้าไปในโรงอาหาร คนออกไปกันเยอะแล้ว ร้านไอศครีมจึงไม่ค่อยมีคนมากเท่าไรนัก

 

“หวังว่าพวกเราคงขึ้นห้องทันนะ” ฉันพูดขึ้นเบาๆ วิชาที่จะเรียนในช่วงบ่ายคุณครูผู้สอนเข้าห้องค่อนข้างตรงเวลา ถ้าไปช้าอาจเกิดเรื่องได้

 

“เธอไม่ต้องกังวลไป คนออกไปกันเยอะแล้ว ไอติมถ้วยแค่นั้นกินแป๊บเดียวก็หมด หรือถ้าไม่สบายใจจะซื้อแบบโคนก็ได้” ซินนามอนพูดเบาๆ ดวงตาสีคาราเมลมองเมนูเป็นประกายวิบวับ ฉันมองดวงตาหวานคู่นั้นแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ เมื่อได้มองของหวานดวงตาคู่นั้นกลับซุกซนเหมือนเด็กอยากได้ของเล่นช่างดูน่าขันเสียจริง

 

“เธอจะกินอะไรเหรอ? เห็นมองเมนูอยู่นานแล้วนะ เดี๋ยวก็ขึ้นห้องไม่ทันหรอก” ร่างบางเอ่ยเร่ง ฉันกวาดตามองเมนูสักครู่ก็เลือกไอศครีมรสผลไม้ใส่โคนมาอันหนึ่ง ไม่นานคนขายก็ยื่นไอศครีมที่ตักใส่โคนมาตรงหน้า ฉันกับซินนามอนรับมันมาพร้อมกับจ่ายเงินให้ พวกเราเดินออกมาจากร้านแล้วหาที่นั่งกินทันที

 

พวกเรานั่งกินไอศครีมด้วยกันเงียบๆ รสชาติเปรี้ยวอมหวานกับแป้งกรอบๆ ทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง อย่างน้อยการเรียนคาบบ่ายอาจจะไม่ง่วงอย่างที่คิดก็ได้

 

“นี่ พาเฟ่ต์ชอบไอติมผลไม้เหรอ?” จู่ๆ ซินนามอนก็เอ่ยถามขึ้น ไอศครีมถูกกัดไปครึ่งอันในเวลาอันรวดเร็ว

 

“ใช่ ฉันว่ามันอร่อยดี” ฉันตอบเรียบๆ “แล้วเธอ… ชอบคาราเมลเหรอ?”

 

“ใช่จ้ะ ฉันชอบคาราเมลมัคคีอาโต้ที่สุดเลย” เธอตอบเรื่อยๆ นั่นสินะ ตอนที่สั่งฉันก็เห็นเธอชี้ที่คาราเมลจริงๆ ซึ่งเป็นเมนูที่ค่อนข้างหายาก แต่ร้านไอศครีมร้านนี้ก็ยังมีขาย

 

“มันเป็นคาราเมลไม่ใช่เหรอ?”

 

“ใช่จ้ะ แต่ฉันชอบเรียกว่าคาราเมลมัคคีอาโต้ เพราะรสชาติมันค่อนข้างคล้ายกับคาราเมลมัคคีอาโต้ที่เป็นกาแฟจริงๆ น่ะ” ดวงตาคู่นั้นเหมือนจะมีรอยยิ้มเปี่ยมสุขอยู่ภายใน ฉันมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนพร้อมกับคิดถึงไอศครีมคาราเมลที่เธอสั่งมากินเมื่อครู่

 

สีเหมือนกันไม่มีผิด แต่ดวงตาคู่นี้ดูสวยกว่าไอศครีมมากมายนัก

 

ฉันเผลอประสานสายตากับเธอนานไปหน่อย จนเป็นฝ่ายซินนามอนเองที่ทำลายความเงียบขึ้น “เอ่อ… กินหมดแล้วใช่ไหม?”

 

“อะ… อืม ขึ้นห้องกันเถอะ เหลือเวลาไม่ถึง 5 นาทีแล้ว” เมื่อตั้งสติได้ก็รีบพากันเดินขึ้นห้องทันที

 

(ซินนามอนบรรยาย)

 

เลิกเรียนแล้ว ฉันนัดกับพาเฟ่ต์เดินไปที่ห้องชมรมดนตรีด้วยกัน รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่วันนี้จะเริ่มซ้อมร้องเพลงแบบจริงๆ จังๆ สักที

 

“นี่พาเฟ่ต์ ไม่ตื่นเต้นเลยเหรอ?”

 

“ฉันสบายๆ นะ” ฝ่ายนั้นตอบเรื่อยๆ ฉันรู้สึกฉงนนักว่าขนาดวันซ้อมยังรู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้ แล้วถ้าถึงวันแสดงจริงจะถึงขั้นตื่นเวทีเลยหรือเปล่านะ?...

 

ไม่ชอบเลย ความรู้สึกแบบนี้

 

ขณะที่กำลังหัวหมุนกับความรู้สึกของตัวเองที่ตีกันมั่วไปหมด พาเฟ่ต์ก็ยื่นมือมาตรงหน้า

 

“นี่” เพื่อนผมเขียวพูดขึ้น ขณะยืนอยู่หน้าห้องชมรมดนตรี ฉันเลิกคิ้วสงสัย ก่อนที่เธอจะคว้ามือฉันไปกุมไว้

 

“มือเย็นเจี๊ยบเลย อย่าบอกนะว่าตื่นเต้นมากจนสติกระเจิงไปหมดแล้วน่ะ” เธอพูดถูก… ตอนนี้สติของฉันแทบจะไม่มีอยู่รอมร่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาเดินเข้าไปข้างในแล้วควรจะทำหน้ายังไงดี…

 

“ฟังฉันนะ ทำใจให้สบาย อย่าลืมสิว่าตอนนี้แค่ซ้อม ยังไม่ได้แสดงจริงสักหน่อย ขนาดแค่ซ้อมยังกังวลขนาดนี้ ถ้าถึงวันแสดงจริงเธอทำหน้าตื่นแบบนั้นคงแสดงไม่ไหวหรอกนะ” พาเฟ่ต์เงียบไปครู่ก่อนเอ่ยต่อ

 

“ความปรารถนาสูงสุดของเธอในตอนนี้คืออะไรเหรอ?” พาเฟ่ต์ยังคงถามต่อไป มือเรียวยังคงจับมือฉันไว้ไม่ปล่อย

 

“ฉัน… อยากยืนอยู่แถวหน้าเวลาแสดง” ฉันตอบ พาเฟ่ต์ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนพูดต่อ

 

“แล้วความปรารถนาของเธอก็เป็นจริงแล้วไม่ใช่เหรอ? เธอได้ยืนอยู่แถวหน้าตอนแสดงเมื่อเทิมที่แล้ว แล้วเธอยังจะกลัวอะไรอยู่อีก?” พาเฟ่ต์ยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ คำถามนั้นเป็นคำถามที่ทำให้ฉันฉุกคิดถึงคำพูดที่เคยพูดกับเพื่อนๆ ขึ้นมาได้

 

“เธอเคยพูดให้ฉันกับโรสฟังบ่อยๆ ว่าอยากเป็นเซนเตอร์บ้างสักครั้งก็ยังดี ตอนนี้ เธอได้โอกาสนั้นแล้ว เธอคือผู้ถูกเลือกในการแสดงครั้งนี้พร้อมกับฉันแล้วก็พวกพี่เชอร์ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเธอยังจะกลัวอะไรอยู่อีกเหรอ?”

 

นั่นสินะ

 

ความจริง ตำแหน่งเซนเตอร์ก็คือความฝันอันสูงสุดของฉันอยู่แล้วนี่นา

 

“มันก็ใช่” ฉันเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปนาน กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “แต่ ฉันแค่ไม่รู้จะทำยังไงดี มันทั้งกลัว แล้วก็ตื่นเต้นไปหมด”

 

“ไม่เป็นไรหรอก” พาเฟ่ต์กระชับมือฉันให้แน่นขึ้น “ฉันก็ได้แสดงกับเธอด้วย ก็แสดงว่าพวกเราคือผู้ถูกเลือกเหมือนกัน ดังนั้นเธอทำใจให้สบาย ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”

 

ฉันกระชับมือเรียวนั้นไว้มั่น ส่งรอยยิ้มที่คิดว่าอ่อนโยนที่สุดไปให้อีกฝ่ายแทนคำขอบคุณ ดวงตาเป็นประกายสดใส ความกลัวภายในใจเริ่มหายไปทีละน้อยจนรู้สึกสงบใจได้มากขึ้นจึงชวนอีกคนให้เดินเข้าไปในห้องดนตรีด้วยกัน

 

คำพูดเตือนสติของพาเฟ่ต์ทำให้ฉันคิดได้ การถูกเลือกให้แสดงในงานนี้คือโอกาสที่ควรจะคว้าเอาไว้ แทนที่จะมัวแต่กลัว ทำไมฉันถึงคิดไม่ได้ว่าควรจะลองเสี่ยงดูสักตั้งนะ บางทีการแสดงคราวนี้อาจจะเป็นการแสดงที่ดีมากกว่าที่คิด ดีไม่ดีอาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ฉันได้รับตำแหน่งเซนเตอร์ก็ได้ใครจะไปรู้

 

เมื่อเดินเข้ามาข้างในห้อง ทุกคนมายืนจัดแถวอยู่พร้อมหน้า เครื่องดนตรีก็ถูกเตรียมเอาไว้เรียบร้อย ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น การซ้อมครั้งนี้มีความหมายสำหรับทุกคนมาก เพราะเป็นการซ้อมเพลงที่ต้องใช้อารมณ์เป็นอย่างมาก เพลงนี้มีจังหวะปานกลาง แนวเพลงคล้ายๆ เพลงที่ใช้ดำเนินเรื่องในการ์ตูนแนวเทพนิยายก็ไม่ปาน แน่นอนว่าเมื่อเป็นเพลงแบบนี้จะใช้การร้องแบบธรรมดาก็เสียชื่อชมรมขับร้องประสานเสียงหมด

 

“เอาละ อย่างที่พวกเรารู้กันว่า เพลงที่ต้องร้องน่ะมี 3 เพลง แล้วเพลงแรกก็ร้องกันได้หมดแล้ว ดังนั้นวันนี้ เราจะขึ้นเพลงที่ 2 นะ แต่จะให้ร้องแบบธรรมดาโลกไม่จำ เพราะฉะนั้น เพลงที่ 2 ที่เราต้องร้องกันเนี่ย พี่จะให้ทุกคนร้องประสานกันทั้งเพลง โดยแต่ละคนจะมีพาร์ทของตัวเอง เวลาร้องตั้งสติให้ดี ห้ามสับสนเด็ดขาด เพราะถ้าไม่มีสมาธิเมื่อไหร่ละก็จะสับสนแล้วร้องผิด หรือที่ร้ายที่สุดอาจจะไปร้องพาร์ทของเพื่อนได้นะ” เสียงประกาศของพี่เชอร์ทำให้พวกเราอีก 3 คนที่เหลือยิ้มแหยออกมา

 

“ร้องแบบธรรมดาก็ยากอยู่แล้ว นี่ยังต้องมานั่งจำพาร์ทอีกเหรอเนี่ย?” พาเฟ่ต์บ่นอุบ

 

“ไม่เป็นไรน่า เดี๋ยวพวกครูเขาก็ต้องต่อให้อยู่แล้วนี่” ฉันได้แต่ปลอบใจทั้งที่ตัวเองก็แอบรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อยู่เหมือนกัน

 

การจำท่อนร้องว่าใครต้องร้องตรงไหนน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะการแสดงที่ผ่านมาฉันชินกับมันไปแล้ว แต่การต้องมาจำว่าแต่ละคนต้องร้องอย่างไร และต้องประสานตรงไหนถือเป็นงานที่หินมากกว่าหลายเท่า ยิ่งถ้าได้เป็นเซนเตอร์ด้วยแล้วก็เท่ากับผู้นั้นคือส่วนสำคัญของเพลงกันเลยทีเดียว แต่รู้สึกว่าเพลงนี้จะไม่ใช่

 

เมื่อเวลาผ่านไป การซ้อมร้องเพลงก็ดูเหมือนจะราบรื่นขึ้น ความกังวลของฉันที่เคยมีก็เริ่มจะหายไป กลายเป็นความสนุกสนาน และไม่นานฉันก็เริ่มเข้าใจอารมณ์เพลงได้มากขึ้นทีละน้อย

 

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะราบรื่นไปเสียทุกอย่าง เพราะ

 

“ที่เราซ้อมกันไปเมื่อกี้น่ะแค่ทำนองหลัก ยังไม่มีพาร์ทประสานนะ” คำพูดของคุณครูผู้ฝึกซ้อมทำให้ทุกคนสะดุ้งเฮือก

 

“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า…” พี่เชอร์เอ่ยขึ้นเบาๆ คุณครูคนนั้นพยักหน้า

 

“วันนี้เราต้องหาให้ได้ก่อนว่าใครจะเป็นเซนเตอร์ มีใครจะเสนอเพื่อนสักคนบ้างไหม?” พูดพลางส่งสายตามองหน้าพวกเราทีละคน และยังเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนอีก 3 คนที่ไม่ได้แสดง และพวกชมรมดนตรีคนอื่นด้วย

 

มีเสียงเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ดังขึ้นทั่วห้อง ต่างคนต่างคุยกันว่าใครเหมาะสมที่สุดที่จะได้ตำแหน่งเซนเตอร์ในการแสดงครั้งนี้ ฉันรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างบอกไม่ถูก มีดวงตาของใครหลายคนมองมาทำให้รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่นานเสียงเซ็งแซ่นั้นก็เงียบลง และมีคนเสนอขึ้นว่า

 

“ฉันขอเสนอหัวหน้าชมรมค่ะ” ดวงตาของทุกคนหันไปมองพี่เชอร์เป็นตาเดียว คนถูกมองเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ทุกคนก่อนพูดว่า

 

“ขอบคุณทุกคนที่เสนอฉันให้รับตำแหน่งเซนเตอร์นะคะ แต่ฉันคิดว่า… มีคนที่เหมาะจะรับตำแหน่งนี้อยู่ในใจแล้วละค่ะ” คำพูดของรุ่นพี่หัวหน้าชมรมทำให้ทุกคนในห้องหันไปมองผู้พูดเป็นตาเดียว พี่เชอร์หายใจเข้าลึกๆ ก่อนเอ่ยต่อ

 

“เนื่องจากในปีนี้ชมรมคอรัชของเรามีนักเรียน ม.ต้นมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ฉันเลยคิดว่าอยากจะให้รุ่นน้องได้แสดงฝีมือบ้าง เพราะฉันเองก็เคยได้เป็นเซนเตอร์มาหลายครั้งแล้ว แต่ยังมีน้อง ม.ต้นที่ร้องเพลงดีแต่ยังไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมืออยู่ การแสดงครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่รุ่นพี่อย่างฉันจะส่งไม้ต่อให้กับรุ่นน้องต่อไป ดังนั้น ฉันจึงขอเสนอ… ซินนามอน” ดวงตาคู่สวยหันมามองฉัน ฉันรู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าพี่เชอร์จะเลือกฉันให้รับตำแหน่งนี้

 

“นานๆ จะมีโอกาสสักที พี่เชื่อว่าเราทำได้ การร้องเพลงของเราก็พัฒนาขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ดังนั้น ตำแหน่งเซนเตอร์ในการแสดงครั้งนี้ พี่ขอมอบมันให้กับเรานะ” จบคำพูดนั้น ฉันพยายามตั้งสติ พาเฟ่ต์ยื่นมือมาสะกิดที่ไหล่ฉันเบาๆ ฉันเงยหน้าขึ้นมองทุกคนในห้อง กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก จนในที่สุดก็เอ่ยขึ้นว่า

 

“ฉันต้องขอบคุณรุ่นพี่หัวหน้าชมรมที่เลือกให้ฉันรับตำแหน่งเซนเตอร์ ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญที่สุดของเพลง ประสบการณ์ในชมรมเกือบ 2 ปียังถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับพวกรุ่นพี่ที่อยู่ชมรมนี้มานานกว่า แต่ในเมื่อได้รับตำแหน่งนี้มาแล้ว ฉันก็จะพยายามทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด ขอบคุณพี่เชอร์ที่ให้โอกาสนะคะ” พูดจบ เสียงปรบมือเกรียวก็ดังขึ้นมาจากทุกคนในห้อง และการซ้อมของพวกเราก็ดำเนินต่อไป ไม่นานคุณครูก็สั่งเลิกคลาส ฉันเดินออกมาจากห้องพร้อมกับพาเฟ่ต์และโรสแมรี่เหมือนเช่นเคย

 

“ดีใจด้วยนะ ในที่สุดเธอก็ได้ตำแหน่งเซนเตอร์สักที ดีใจไหมล่ะ?” พาเฟ่ต์ถามขึ้น ฉันหันไปค้อนขวับก่อนจะพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก

 

“ดีใจอะไรล่ะ ฉันละตกใจแทบแย่ตอนที่พี่เชอร์เสนอชื่อ ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าฉันน่ะยังร้องเพลงได้ไม่ดีพอที่จะเป็นเซนเตอร์กับเขาได้ แต่ก็ยังโดนเลือก นี่มันไม่เห็นจะเป็นเรื่องน่าดีใจสักนิด”

 

“เอาเถอะน่า พี่เขาคงเห็นอะไรสักอย่างในตัวเธอละมั้งเลยเลือกเธอน่ะ แต่ยังไงฉันก็ดีใจด้วยนะที่ได้เป็นเซนเตอร์สักที คราวหน้าก็ไม่ต้องกังวลอะไรหรอก เดี๋ยวซ้อมไปนานๆ ก็ชินเอง” โรสแมรี่พูดให้กำลังใจ พาเฟ่ต์ทำหน้าเหมือนกินของแสลงหลังจากได้ยินคำพูดประโยคนั้น ก่อนจะหันมาหาฉันและพูดว่า

 

“ที่โรสพูดมามันก็ถูกหรอกนะ หลังจากนี้เธอก็ไม่ต้องไปกังวลหรือกดดันตัวเองมาก เพราะฉันเองก็ต้องพยายามจำพาร์ทให้ได้เหมือนกัน เพลงนี้ตำแหน่งเซนเตอร์สบายกว่าตั้งเยอะ”

 

“จริงอยู่ว่าเพลงนี้พาร์ทร้องยาก แต่ก็อย่าลืมนะว่ายังมีอีกเพลงที่เป็นเพลงช้า เพลงที่ยาว 6 นาทีนั่นน่ะ ฉันว่าเพลงนั้นน่าจะหนักกว่าเพลงที่พวกเรากำลังต่อกันอยู่หลายเท่าเลยนะ”

 

“ถ้าพวกเธอสองคนจะยืนคุยกันอยู่ตรงนี้ ฉันขอตัวก่อนแล้วกันนะ เย็นแล้ว จะรีบกลับไปอ่านหนังสือ” จู่ๆ โรสแมรี่ก็พูดขึ้นและเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ฉันหันไปจะเรียกเธอเอาไว้ก็ไม่ทันเสียแล้ว

 

“ไปซะแล้ว” พูดขึ้นมาลอยๆ พลางมองหน้าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นทำหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนก็ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ

 

“ปล่อยยัยนั่นไปเถอะ”

 

“นี่ เธอกับโรสไม่คิดจะคุยกันดีๆ บ้างเลยหรือไง?”

 

“ยัยนั่นไม่ใช่เพื่อนสนิทฉันนี่”

 

“แต่ก็เป็นเพื่อนร่วมชมรมของพวกเรานะ ไม่ได้สนิทกันก็คุยกันดีๆ ก็ได้ไม่ใช่เหรอ?” ฉันยังคงพูดต่อไป มิตรภาพของพวกเราสามคนที่เคยฝันไว้เริ่มริบหรี่เต็มที

 

“เหอะ” พาเฟ่ต์แค่นหัวเราะ ก่อนจะหันไปมองทางหนึ่ง ฉันมองตามก็เห็นร่างที่คุ้นตากำลังเดินมาทางนี้จึงกวักมือเรียก และพวกเราก็เดินลงจากอาคารเรียนไปที่โรงอาหารด้วยกัน

 

วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นกับฉัน ทั้งเรื่องน่าดีใจและเรื่องน่าหนักใจสลับกัน แต่หน้าที่ที่ได้รับอีกหนึ่งอย่างก็คือ ตำแหน่งเซนเตอร์ที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ ถ้าเทียบกับหวยก็คงจะเหมือนกับคนยัดเยียดรางวัลที่ 1 มาให้โดยไม่ทันตั้งตัว แต่ในเมื่อได้รับมาแล้วก็ต้องพยายามทำออกมาให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ฉันยังเชื่อว่ายังมีคนที่จะคอยสนับสนุนฉันอยู่เสมอ แม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนก็ตาม

 

(ติดตามตอนต่อไป)

 

*************************

 

เชื่อว่ายังมีคนอ่านบางคนที่กำลังรอเรื่องนี้อยู่ กลับมาอัพแล้วนะคะ >_<

 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.