Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri] Chapter 18

Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri]

-A A +A

Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri] Chapter 18

หมวดหนังสือ: 

Chapter 18: วิกฤตในจิตใจ! การแสดงครั้งใหม่ที่ใกล้เข้ามา

 

(ซินนามอนบรรยาย)

 

เหลืออีก 1 เดือนก็จะถึงสัปดาห์แห่งการสอบปลายภาค ฉันนึกแปลกใจว่าเวลาที่ผ่านมาใช้หายใจทิ้งไปจนหมดหรืออย่างไร และนึกสงสัยว่าทำไมเวลาถึงผ่านไปเร็วเช่นนี้ ปีหน้าก็จะกลายเป็นเด็ก ม.3 แล้ว เรื่องเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นกว่านี้ก็ยังไม่ได้เริ่มคิดเอาไว้เลย เพราะตอนนี้กิจกรรมที่ฉันและชมรมต้องทำ ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของโรงเรียนนี้ก็คือ “กิจกรรมอำลารุ่นพี่” นั่นเอง ซึ่งกิจกรรมนี้จะจัดขึ้นในสัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบปลายภาค ดังนั้นคนที่ต้องแสดงต้องแบ่งเวลาในการอ่านหนังสือและซ้อมการแสดงเอาไว้ให้ดีด้วย แน่นอนค่ะ เนื่องจากชมรมที่ฉันอยู่เป็นชมรมขับร้อง ซึ่งก็หนีกิจกรรมนี้ไม่พ้นอยู่แล้ว คาบชมรมวันนี้พี่เชอร์ผู้เป็นหัวหน้าชมรมจึงได้เริ่มประชุมสมาชิกชมรมทุกคนเพื่อปรึกษาว่าเราจะจัดกิจกรรมออกมาในรูปแบบใด

 

“ทุกคน เรื่องกิจกรรมอำลารุ่นพี่ เราจะทำออกมาแบบไหนดีเหรอ? ช่วยๆ กันออกความเห็นหน่อย”

 

“ก็ร้องเพลงกันเหมือนเดิม ไม่ดีเหรอคะ?” โรสแมรี่เสนอ

 

“เรื่องนั้นน่ะแหงอยู่แล้วจ้ะโรส ชมรมเราเป็นตัวหลักของกิจกรรมอยู่แล้ว พวกรุ่นพี่รุ่นก่อนๆ ก็แสดงได้ดีมาตลอด แต่พี่คิดว่ารุ่นของเราเนี่ย อยากให้มีอะไรที่แตกต่างออกไปน่ะจ้ะ” คำพูดของพี่เชอร์ทำให้ทุกคนที่นั่งกันอยู่ขมวดคิ้ว

 

สิ่งที่ต่างออกไปเหรอ…?

 

ตอนที่รุ่นพี่ ม.6 เดินลงมาจากหอประชุม นอกจากร้องเพลงอำลาแล้ว มันจะมีอะไรที่ดีกว่านี้อีกนะ…

 

“เท่าที่ฉันจำได้ ทุกครั้ง ตอนที่พวกเราอยู่ที่สนาม พวกรุ่นพี่จะอยู่บนหอประชุม แล้วเมื่อได้เวลา พวกคุณครูก็จะปล่อยรุ่นพี่แต่ละห้องให้ทยอยเดินลงมา พอลงมากันจนครบทุกห้องแล้ว พวกเราก็จะร้องเพลงสักเพลงเพื่ออำลา มันจะมีอะไรที่แปลกไปกว่านี้ได้อีกเหรอ?” รองหัวหน้าชมรมถามขึ้น

 

“แบบว่าเปลี่ยนจากการยืนร้องเพลงเฉยๆ เป็นอะไรที่อลังการกว่านั้นน่ะ” พี่เชอร์พูด นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม คิ้วของฉันขมวดมุ่น ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหัวหน้าชมรมของพวกเราคิดอะไรอยู่กันแน่

 

“ถ้าพี่อยากให้การแสดงแปลกไปมากกว่านี้ พี่ต้องไปถามความเห็นจากพวกหัวหน้าชมรมอื่นนะคะ” คำพูดของพาเฟ่ต์เรียกความสนใจจากทุกคนได้ดี ฉันหันไปมองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ

 

“เธอหมายความว่าไงน่ะ พาเฟ่ต์?” โรสแมรี่ถาม

 

“ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ ชมรมเราก็ทำได้แค่ร้องเพลงเป็นหลัก ถ้าจะให้แสดงอย่างอื่นควบคู่ไปด้วยต้องไปขอความช่วยเหลือจากชมรมอื่นนะ” คำพูดของพาเฟ่ต์ดูมีเหตุผล หัวหน้าชมรมพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะให้พวกเราเริ่มซ้อมเพลงที่ต่อกันค้างเอาไว้ ส่วนเรื่องกิจกรรมจะขอไปหารือกับชมรมอื่นอีกที ได้ความคืบหน้าอย่างไรจะให้คำตอบในภายหลัง

 

ฉันร้องเพลงตามเสียงเปียโนที่ดีดให้จังหวะ เมื่อรุ่นพี่บอกให้หยุดก็หันไปมองเป็นเชิงถาม รุ่นพี่บอกให้แก้ตรงจุดไหนก็พยายามร้องให้ได้อย่างที่แนะนำ การซ้อมเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เปิดเทิมจนถึงปัจจุบัน จนตอนนี้ สกิลการร้องของฉันพัฒนาขึ้นมากเมื่อเทียบกับเทิมที่แล้ว ฉันสามารถยืนเป็นเซนเตอร์ได้โดยไม่รู้สึกเขินอายซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีใจไม่น้อย แต่นั่นก็เฉพาะเวลาซ้อมเท่านั้น ฉันยังนึกภาพไม่ออกเลยว่า ในการแสดงจริงนั้น ตัวเองจะสามารถยืนเป็นเซนเตอร์ได้อย่างมั่นใจเหมือนกับเวลาซ้อมหรือไม่ และต้องไม่ลืมด้วยว่า การยืนเป็นเซนเตอร์ไม่ใช่เพียงการยืนเฉยๆ เท่านั้น หากแต่เซนเตอร์มีหน้าที่ต้องร้องนำในเพลงนั้นด้วย หากคนร้องนำร้องไม่ดี ลืมจังหวะหรือเนื้อเพลง  ผู้ที่ร้องตามหรือประสานก็จะไม่สามารถร้องออกมาให้ดีได้

 

“ดีจังเลยนะ ซินนามอน ในที่สุดเธอก็ได้ยืนเป็นเซนเตอร์กับเขาสักที” พาเฟ่ต์พูดกับฉันในวันหนึ่ง ฉันยิ้มขอบคุณอีกฝ่าย ตอนนี้ เวลาซ้อมพวกเราเข้าขากันดีมาก พาเฟ่ต์มักจะเป็นคนร้องประสาน ส่วนฉันมักจะร้องหลักเพราะโทนเสียงที่ใสและก้องกังวาน สามารถร้องเสียงสูงได้ดี (จากความเห็นของคุณครูที่ปรึกษาและรุ่นพี่รองหัวหน้าชมรม)

 

“แหม ที่ฉันทำได้ขนาดนี้ก็เพราะว่าเริ่มมีความกล้ามากขึ้น แล้วส่วนหนึ่งก็มาจากพาเฟ่ต์ด้วยน้า”

 

“แล้วฉันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?” อีกฝ่ายถามด้วยความไม่เข้าใจ

 

“ก็เพราะเธอคอยพูดให้กำลังใจ แล้วก็ช่วยแนะนำไง ฉันยังจำได้อยู่เลยตั้งแต่การแสดงครั้งก่อนน่ะ”

 

“เรื่องนั้นก็นานแล้ว เธอจะจำไปทำไมเหรอ?”

 

“ความมั่นใจ คือสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งของการร้องเพลง ฉันเข้าใจประโยคนี้เพราะเธอไงล่ะ ถ้าไม่มั่นใจก็ร้องออกมาได้ไม่ดี ฉันว่ามันก็จริงน้า”

 

“เธอเข้าใจก็ดีแล้วล่ะ” พาเฟ่ต์ยิ้ม กลอกตาไปมามองฉันบ้าง มองคนอื่นที่กำลังซ้อมเพลงกันอยู่บ้าง เมื่อเห็นโรสแมรี่เดินเข้ามาก็เปลี่ยนสีหน้าที่ยิ้มอยู่กลับเป็นเรียบเฉยตามเดิม

 

“คุยอะไรกันเหรอ?” โรสแมรี่เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย

 

“อ๋อ กำลังคุยกันเรื่องเซนเตอร์อยู่น่ะ ฉันรู้สึกดีมากๆ เลยที่ได้ยืนเป็นเซนเตอร์กับเขาสักที” ฉันหันไปตอบเพื่อนร่วมชมรม โรสแมรี่ยกยิ้มมุมปากก่อนพูดว่า

 

“แค่ได้ยืนเป็นเซนเตอร์ตอนซ้อมก็ดีใจแล้วเหรอ?”

 

“ใช่ แค่ตอนซ้อมฉันก็ดีใจมากๆ แล้วล่ะ แต่จะดีใจยิ่งกว่าน้า ถ้าฉันมีโอกาสได้ยืนอยู่ตรงนั้นตอนแสดงบ้างน่ะ” ฉันเริ่มสนิทกับโรสแมรี่ พอๆ กับที่สนิทกับพาเฟ่ต์ และฉันก็พูดเรื่องนี้ให้ทั้งสองคนฟังบ่อยๆ เพราะการยืนเป็นเซนเตอร์ในการแสดง โดยที่มีสายตาของผู้ชมทั้งโรงเรียนจ้องมองมานั้นคือเป้าหมายสูงสุดที่ฉันต้องพยายามทำให้สำเร็จให้ได้ แม้มันจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยก็ตาม แต่ฉันก็มีความหวังว่าสักวัน ฝันที่วาดเอาไว้จะต้องเป็นจริงแน่นอน

 

(โรสแมรี่บรรยาย)

 

ใจของฉันกระตุกวูบเมื่อได้ยินคำพูดของซินนามอน หนึ่งในเพื่อน ที่ฉันรู้สึกสนิทใจที่จะคุยด้วยมากที่สุด ส่วนยัยคนผมเขียวหน้าตายนั่นน่ะเหรอ!? หึ! ฉันไม่มีทางญาติดีกับยัยนั่นหรอก ไม่มีทางเด็ดขาด!

 

เกือบปีที่ฉันอยู่ชมรมนี้ ฉันมั่นใจในการร้องเพลงของตัวเองว่าดีเสมอ แม้แต่รุ่นพี่ในชมรมคนอื่นก็เทียบอะไรกับโรสแมรี่คนนี้ไม่ได้ และสิ่งที่ทำให้ฉันดีใจสุดๆ ก็คือ การได้ยืนเป็นเซนเตอร์ในการแสดงเมื่อเทิมที่แล้วยังไงล่ะ ได้เข้ามาเทิมแรกก็ได้เป็นเซนเตอร์เลยนี่มันเป็นอะไรที่วิเศษมากเลยนะ และในเทิมนี้ ฉันก็หวังว่า ตำแหน่งเซนเตอร์ก็น่าจะต้องเป็นของฉันอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย

 

คำพูดของซินนามอนเมื่อครู่ ทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หึ! อย่างยัยนี่น่ะเหรอจะมายืนเป็นเซนเตอร์ ร้องเพลงก็ไม่ได้ดีมากมาย ความมั่นใจก็ยังไม่มีเลย ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าเธอมายืนเป็นเซนเตอร์ การแสดงจะออกมาเป็นอย่างไร จะรอดหรือร่วงก็ไม่รู้ และเมื่อย้อนนึกถึงการแสดงเมื่อครั้งก่อนตอนที่ไมโครโฟนมีปัญหา ถ้าไม่มีครูเอาไมค์มาให้เปลี่ยนการแสดงจะออกมาเป็นยังไงนะ…

 

(ซินนามอนบรรยาย)

 

ฉันเห็นโรสแมรี่เงียบไปก็เริ่มสงสัย สีหน้าของเธอเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่นานเธอก็พูดขึ้นว่า

 

“แหม! เธอจะมาแข่งเป็นเซนเตอร์กับฉันหรือไง?” เพื่อนผมส้มหัวเราะเล็กน้อยขณะพูดประโยคนั้น ฉันหัวเราะก่อนแก้ให้ว่า

 

“ฮ่าๆ ฉันจะแข่งอะไรกับเธอได้ล่ะหืม? โรสน่ะร้องเพลงเก่งกว่าฉันตั้งเยอะ ได้ยืนเป็นเซนเตอร์ก็เหมาะแล้ว ฉันนี่เทียบไม่ติดเลย”

 

“ไม่แน่นา บางที เธออาจจะได้เป็นเซนเตอร์ในการแสดงครั้งหน้าก็ได้ เอางี้มั้ยล่ะ ถ้าเธอได้เป็นเซนเตอร์จริงๆ โรสแมรี่คนนี้จะเลี้ยงไอติมคนละถ้วยกับพาเฟ่ต์เลยเอ้า” หันไปยิ้มให้เพื่อนอีกคนด้วยขณะพูด พาเฟ่ต์ทำเพียงยิ้มมุมปาก ส่วนฉันก็รับมุกไปแบบไม่จริงจังนัก

 

“ได้เลย ถ้าถึงวันนั้นอย่าลืมที่พูดแล้วกันนะ”

 

พวกเราพูดคุยหยอกล้อกันไปเรื่อยๆ โดยเห็นว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่จริงจังอะไร ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกคลาส ฉัน พาเฟ่ต์ และโรสแมรี่เดินออกมาจากห้องดนตรีด้วยกัน

 

เมื่อเดินออกมาจากห้อง ฉันก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นวาฟเฟิลเดินวนเวียนอยู่แถวห้องดนตรีเหมือนกำลังรอใครสักคน

 

“พาเฟ่ต์ ซินนามอน” เสียงสดใสเอ่ยเรียกชื่อพวกเรา ฉันหันไปยิ้มให้ก่อนเอ่ยทัก

 

“อ้าววาฟเฟิล ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ ไม่ได้เข้าชมรมเหรอ?”

 

“คิๆ ฉันเลิกแล้วจ้า แล้วต่อจากนี้ไป ฉันต้องมาใช้ห้องนี้เป็นห้องชมรมชั่วคราวนะ” พูดพลางชี้ไปทางห้องที่อยู่ห่างจากห้องดนตรีไปประมาณ 2-3 ห้อง ฉันจำได้ว่าห้องนั้นเคยเป็นห้องเก็บอุปกรณ์อะไรสักอย่าง แต่ตัวห้องเองก็กว้างพอจะเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้ เคยมองด้วยความสงสัยหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้คำตอบสักที เมื่อมาถึงวันนี้ได้รู้ว่ามีคนเอามาใช้เป็นห้องชมรมก็ดีใจ

 

“อ้าว แล้วห้องเก่าพี่ที่อยู่แถวโรงอาหารล่ะ?” พาเฟ่ต์เอ่ยถามพี่สาว

 

“ห้องนั้นเขาทาสีใหม่น่ะจ้ะ น่าจะเสร็จหลังปิดเทิม เขาเลยให้ชมรมเรามาใช้ห้องนี้ไปพลางๆ ก่อน”

 

“ว้าว! ถ้าแบบนี้ก็แสดงว่า พาเฟ่ต์ก็รอกลับบ้านกับวาฟเฟิลได้สบายเลยน่ะสิ” ฉันหันไปพูดกับทั้งสองคน รู้สึกดีใจที่พี่น้องจะได้เดินกลับบ้านด้วยกันโดยไม่ต้องไปนัดเจอกันที่ไหนอีก

 

“นั่นสินะ ฉันจะได้รอกลับพร้อมพี่อยู่แถวนี้เลย ไม่ต้องเดินไปที่โรงอาหารให้เมื่อยด้วย” พาเฟ่ต์พูดอย่างโล่งอก

 

“ใช่เลย เอาเป็นว่า คาบชมรมครั้งหน้า เดี๋ยวพี่มารอแถวห้องดนตรีแล้วกันน้า ซินนามอนก็กลับด้วยกันได้ ไม่ต้องเกรงใจหรอก”

 

“จะกลับด้วยกัน 3 คนเหรอ งั้นฉันขอตัวก่อนแล้วกันนะ” โรสแมรี่ขัดขึ้น ก่อนจะหันหลังไปทางบันได ฉันกับวาฟเฟิลหันไปมองตาม ก่อนที่แฝดผู้พี่จะหันไปยิ้มให้

 

“อ๊า! ขอโทษจ้ะ ลืมสนิทเลยว่าเธอก็อยู่ด้วย ชื่ออะไรเหรอ?”

 

โรสแมรี่หันกลับมาแนะนำตัวเองให้วาฟเฟิลรู้จัก ก่อนที่พวกเรา (ยกเว้นพาเฟ่ต์) จะเดินคุยกันไปตลอดทาง จนแยกกันที่หน้าตึกแล้วแต่ละคนก็เดินไปทำธุระของตนตามอัธยาศัย

 

หลายวันถัดมา เรื่องการแสดงที่คุยกันไว้ก็ได้ข้อสรุปว่า ในงานอำลารุ่นพี่ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์ก่อนสอบปลายภาคนั้นจะเป็นการบูรณาการกันระหว่างชมรมขับร้องประสานเสียง ชมรมดนตรี ชมรมการแสดง และชมรมแฟชั่น โดยชมรมการแสดงจะแสดงละคร และให้พวกเรามีส่วนร่วมด้วย คือ ต้องร้องเพลงประกอบถึง 3 เพลง และหน้าที่การออกแบบชุดตกเป็นของชมรมแฟชั่น

 

“หลังจากนี้ พี่จะนัดซ้อมทุกเย็นหลังเลิกเรียนนะจ๊ะ ทุกคนไม่มีใครมีปัญหาใช่ไหม?” เสียงแหลมของพี่เชอร์ประกาศหลังจากเรียกพวกเรามารวมตัวกันที่ห้องดนตรี

 

“ค่ะ” ทุกคนขานรับพร้อมกัน

 

“ดีมาก หลังจากนี้ ถ้าพวกชมรมการแสดงส่งสคริบมาให้เมื่อไหร่ พี่จะส่งเพลงที่ต้องร้องเข้ากลุ่มไลน์นะ ป่านนี้ทุกชมรมคงกำลังคิดเรื่องงานนี้กันจนสมองแทบจะหมุนได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคน วันจริงต้องทำให้เต็มที่นะ คิดซะว่าเพื่อรุ่นพี่ เข้าใจไหม?”

 

“ค่ะ!” พวกเราได้แต่รับคำแข็งขันดังเดิม ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน เตรียมตัวรอสิ่งที่หัวหน้าชมรมจะแจ้งในกลุ่มไลน์ต่อไป

 

หลายวันมานี้ ฉันไม่ได้กลับบ้านพร้อมกับมาการงและช็อกโกล่าเหมือนทุกครั้ง เพราะทั้งสองคนต้องเริ่มซ้อมวาดรูปเพื่อไปแข่งขันในระดับประเทศ และฉันได้ยินมาว่าการแข่งครั้งนี้จะจัดที่โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ติดทะเล ผู้เข้าแข่งขันทุกโรงเรียนจะต้องไปพักอยู่ที่โรงเรียนที่จัดงาน ยกเว้นโรงเรียนที่อยู่ใกล้ให้มาเจอกันวันแข่งได้เลย ข่าวนี้ทำให้เพื่อนสนิททั้งสองคนรวมถึงคัสตาร์ดดีใจกันใหญ่ ฉันเองก็ร่วมดีใจไปกับพวกเธอด้วย แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้เสียดายเหมือนกันที่วันแข่งนั้นตรงกับวันที่ฉันต้องร้องเพลงอำลารุ่นพี่พอดี ทำให้พวกเราไม่สามารถเจอหน้าและให้กำลังใจกันได้เหมือนครั้งที่แล้ว

 

“ถ้ากำหนดการไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ พวกฉันต้องออกเดินทางวันพุธ แข่งวันพฤหัส รอประกาศผลวันศุกร์ ถ้าเสร็จเร็วก็น่าจะกลับมาถึงโรงเรียนช่วงเย็น แต่ถ้าช้าก็เลทไปอีก ส่วนเสาร์อาทิตย์น่ะเหรอ ได้พักก็เหมือนไม่ได้พักหรอก เพราะวันจันทร์ถัดมาก็สอบเลย ให้ตายเถอะ นี่มันเป็นอะไรที่แย่มากๆ เลย!” มาการงสาธยายกำหนดการณ์ต่างๆ ให้ฉันฟังในเช้าวันหนึ่ง พวกเราสามสหายมาออกันอยู่ที่โต๊ะของมาการง โดยมีคัสตาร์ดยืนอยู่ข้างๆ ด้วย

 

“มันจะไม่ฉุกละหุกเลยถ้าเธอเริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่เนิ่นๆ นะ”

 

“ช็อกโกล่าพูดถูก แต่… เดี๋ยว! ยัยมาการง เธออ่านหนังสือแค่ไม่กี่วันก็ผ่านทุกวิชาอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง คนที่ต้องกังวลมันควรจะเป็นฉันมากกว่านะยะ!”

 

“ก็ฉันมันพวกไฟลนก้นนี่นา!”

 

เฮ่อออ

 

ฉันนั่งมองเพื่อนสองคนทะเลาะกันด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าเหนื่อยหน่ายเต็มที พอคุยกันเรื่องคะแนนสอบทีไร เป็นคัสตาร์ดที่พาลหาเรื่องชวนทะเลาะกับเพื่อนสนิทฉันเสียทุกครั้ง และมาการงก็มักจะโต้กลับเสียด้วยสิ แม้การตอบโต้นั้นไม่รุนแรงมากนักแต่ก็มักจะเป็นสงครามน้ำลายขนาดย่อมๆ เสมอ หันไปมองช็อกโกล่าก็ให้รู้สึกเห็นใจขึ้นมา แต่ก็ไม่เป็นห่วงอะไรมากเพราะเธอเองคงมีวิธีรับมืออยู่แล้วเมื่อต้องอยู่ทีมเดียวกัน แต่จะรับมืออย่างไรฉันก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะคนอย่างช็อกโกล่านั้นค่อนข้างจะเงียบและเจ้าระเบียบ เวลาโกรธขึ้นมาก็น่ากลัวเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ก็มีข้อดีอยู่ คือ เธอค่อนข้างจะมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ รอบคอบ และมีภาวะผู้นำมากกว่าเมื่อเทียบกับมาการงหรือคัสตาร์ด

 

แต่สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกกังวลมากกว่า คือ การแสดงที่จะมีขึ้นในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า และความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีของโรสแมรี่และพาเฟ่ต์

 

ยามเจอหน้ากันที่ชมรม เวลาที่ทั้งสองคนเข้ามาคุยกับฉัน มักจะพยายามหลบเลี่ยงไม่มองหน้ากันเสมอ หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็จะเป็นฝ่ายพาเฟ่ต์ที่จะเงียบ และก็เป็นโรสแมรี่ที่คุยกับฉันตอนอยู่ต่อหน้าทุกคน ส่วนพาเฟ่ต์นั้นจะขอแยกตัวออกมาคุยกับฉันเดี่ยวๆ หรือในที่ที่ไม่มีเพื่อนผมส้มอยู่ด้วย ซึ่งการกระทำของทั้งสองเป็นสิ่งที่ฉันยังไม่เข้าใจ พวกเขาไม่ถูกกันเรื่องอะไร และทำไมเวลาฉันอยู่ด้วยท่าทีของทั้งสองคนเวลาคุยกับฉันจะเปลี่ยนไปทุกครั้งโดยเฉพาะพาเฟ่ต์ที่จะเย็นชามากกว่าปกติ หรือแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่มีตัวตนไปเสียเฉยๆ

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ฉันจึงเลือกที่จะสะบัดหัวไล่ความคิดเกี่ยวกับเพื่อนทั้งสองคนนี้ออกไปก่อน และหันไปโฟกัสกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า คุณครูกำลังเดินเข้ามาในห้อง ฉันก้มลงหาหนังสือที่ต้องเรียนในวิชาแรกออกมาจากลิ้นชักและตั้งใจฟังสิ่งที่ครูจะพูดต่อไป

 

ตกเย็น ทุกคนมารวมกันที่ห้องดนตรีเพื่อซ้อมเพลงที่จะใช้แสดง หัวหน้าชมรมบอกว่ามีเพลงที่จะต้องร้อง 3 เพลง แล้วแต่ละเพลงที่ส่งมาให้ฟังก็ไม่ใช่หมูๆ เพลงหนึ่งจังหวะสนุกสนาน เน้นเสียงร้องนำของเซนเตอร์และต้องการเสียงประสานในช่วงท่อนฮุก เพลงหนึ่งจังหวะและซาวด์ดนตรีเหมือนกับเพลงที่ใช้ดำเนินเรื่องซึ่งต้องใช้อารมณ์ในการร้องเป็นอย่างมาก และแต่ละคนที่ร้องจะมีพาร์ทประสานของตัวเองซึ่งต้องใช้สมาธิ ความแม่นยำและการรับส่งที่ดี และเพลงสุดท้ายเป็นเพลงช้าที่มีเนื้อหากินใจ ความหมายลึกซึ้ง ซึ่งฉันแทบกุมขมับเมื่อเห็นว่าเพลงนี้ยาว 6 นาที และมีเนื้อเพลงที่ต้องจำเยอะมากกว่าสองเพลงที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

 

การแสดงครั้งนี้ไม่ใช่การแสดงที่จะทำออกมายังไงก็ได้ ต้องดูละคร และฟังเพลงที่ใช้ประกอบไปด้วยถึงจะสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ดีขึ้น

 

“พวกเราจะต้องร้องทั้งหมดนี่จริงๆ เหรอยัยเชอร์?” คำถามของรองหัวหน้าชมรมคือสิ่งที่ทุกคนต้องการคำตอบมากที่สุดในตอนนี้

 

“ถูกต้องแล้ว ฉันต่อรองกับพวกชมรมการแสดงแล้วแต่ทางนั้นบอกไม่ยอมท่าเดียว เพราะงั้นพวกเราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องฝึกกันแบบจริงจัง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”

 

โหยยย!! นี่คือเสียงร้องโหยหวนของทุกคนในชมรมเมื่อได้ยินคำประกาศิตของผู้เป็นหัวหน้า

 

“พะ…พวกเราจะทำยังไงดี?” ฉันหันไปทำตาปริบๆ มองพาเฟ่ต์ เพื่อนข้างๆ ก็ได้แต่กลอกตา มือยกขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากบางสีซากุระนั้นสักคำ

 

“เอาละ เราจะเริ่มฝึกเพลงแรกก่อน” พี่เชอร์ประกาศ ทุกคนหยิบกระดาษเนื้อเพลงออกมาถือไว้ ฟังเสียงดนตรีที่บรรเลงไปทีละวรรค แล้วเริ่มร้องตามไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบเพลง ไม่นานก็ร้องได้เพราะเพลงนี้มีจังหวะเร็วและเป็นเพลงที่ง่ายที่สุดในบรรดาเพลงที่จะต้องร้องทั้งหมด

 

“ดูเหมือนจะร้องได้กันหมดแล้วนะ” หัวหน้าชมรมพูดขึ้นหลังเสียงดนตรีหยุดลง “คราวนี้ พี่จะให้ลองร้องทีละคนนะ เอาแค่ท่อนแรกก่อน”

 

เสียงเปียโนให้สัญญาณ ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มร้องท่อนแรกของเพลงทีละคน ไล่ไปตั้งแต่หัวหน้าชมรมไปจนถึงคนสุดท้าย

 

เมื่อถึงตาโรสแมรี่ ฉันรอฟังอย่างใจจดใจจ่อว่าเธอจะร้องเพลงนี้ออกมาเป็นอย่างไร ร่างเพรียวผมสีส้มเดินออกไปข้างหน้าด้วยท่าทางมั่นใจ ก่อนที่เสียงเปียโนจะเริ่มบรรเลง

 

เสียงหวานใสของโรสแมรี่ร้องไปเรื่อยๆ จนจบท่อน เมื่อเสียงเปียโนหยุดลงก็เดินกลับมาที่เดิม

 

“เธอรู้สึกเหมือนกับที่ฉันรู้สึกหรือเปล่า?” พาเฟ่ต์กระซิบถาม

 

ฉันนึกถึงเสียงใสกังวานเมื่อครู่ เสียงที่ฉันเฝ้าชื่นชมมาตลอด ในตอนที่เธอทำหน้าที่เซนเตอร์ในการแสดงครั้งก่อน กับเสียงของเธอในตอนนี้มันมีอะไรที่ต่างไปจากเดิม และสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ฉันเฝ้าสังเกตมาตลอดตั้งแต่เปิดเทิม

 

“ฉันว่ามันแปลกๆ นะ” ฉันกระซิบตอบเพื่อนผมเขียว พาเฟ่ต์พยักหน้า ดวงตาสีเขียวมรกตคู่คมสบตากับฉันอย่างรู้กัน…

 

เสียงที่เคยกังวานสดใส และดูมีชีวิตชีวา บัดนี้ มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เสียงนั้นเปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจ แม้เธอจะใช้เสียงอย่างถูกวิธี และร้องได้ถูกต้องเหมือนต้นฉบับ

 

อารมณ์เพลงที่โรสแมรี่เคยทำได้อย่างยอดเยี่ยม บัดนี้ ไม่มีอีกแล้ว

 

มีแค่เสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอ เสียงร้องที่เรียบเรื่อยไร้อารมณ์

 

“เอาละ วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยมาต่อกันใหม่ ทุกคน อย่าลืมอ่านไลน์กลุ่มด้วยนะ ถ้ามีข่าวอะไรที่เกี่ยวกับการแสดง พี่จะรีบเอามาลงให้ทันทีเลย”

 

ฉันเดินออกมาจากห้องดนตรี รู้สึกเหนื่อยและคอแห้งมาก จึงคิดว่าจะเดินไปซื้อน้ำหวานๆ ที่โรงอาหารดื่มแก้กระหาย ทันใดนั้น โรสแมรี่ก็เดินเข้ามาข้างๆ

 

“ซินนามอน จะไปไหนน่ะ?”

 

“ฉันจะไปซื้อน้ำที่โรงอาหารสักหน่อยน่ะ คอแห้งมากเลย โรสจะไปด้วยกันไหม?”

 

“ได้สิ งั้น เดี๋ยวฉันขอเก็บของแป๊บนะ เดี๋ยวเดินไปด้วยกัน”

 

“ซินนามอน วันนี้ฉันขอกลับก่อนนะ พอดีมีธุระน่ะ พี่วาฟเฟิลคงรอแย่แล้ว” พาเฟ่ต์พูด ฉันโบกมือลาก่อนที่เธอจะเดินไปลงบันไดอีกฝั่ง ทิ้งฉันยืนรอเพื่อนผมส้มเก็บของอยู่เพียงลำพัง

 

พวกเราสองคนเดินมาที่โรงอาหารด้วยกัน กลิ่นกับข้าวกระจายอยู่รอบตัว เสียงเครื่องปั่นจากร้านขายน้ำดังมาเป็นระยะ ฉันเดินตรงเข้าไปที่ร้านน้ำที่ชอบซื้อกินประจำทันที

 

“โรสหิวอะไรหรือเปล่า?” ถามคนที่เดินเงียบมาตลอดทาง ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปต่อแถวซื้อน้ำ

 

“เอ่อ… เดี๋ยวฉันไปซื้อเครฟทางนั้นนะ เธอซื้อของกินแล้วจะไปไหนต่อ?”

 

“คิดว่ากินเสร็จแล้วคงจะกลับบ้านเลยนั่นแหละจ้ะ ฉันรู้สึกเหนื่อยๆ ยังไงไม่รู้ ว่าจะกลับไปนอนพักสักหน่อย”

 

พวกเราหาที่นั่งก่อนจะกินน้ำและขนมกันด้วยความหิว ต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ไม่นานเครฟที่โรสแมรี่ซื้อมาก็หมด พอดีกับฉันจิ้มลูกชิ้นลูกสุดท้ายเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ คนที่นั่งตรงข้ามรวมขยะที่อยู่บนโต๊ะเอาไปทิ้งให้ และพวกเราก็เดินออกมาจากโรงอาหารด้วยกัน

 

“นี่ซินนามอน เธอคิดว่าวันนี้ฉันร้องเพลงเป็นไงบ้างเหรอ?” คำถามของโรสแมรี่ทำให้ฉันชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็หันกลับมา ดวงตาสีคาราเมลพยายามสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ พลางคิดหาคำพูดที่ดีที่สุดที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าคำพูดของฉันจะเป็นการตำหนิมากกว่าชม เสียงร้องเพลงของเพื่อนข้างๆ เมื่อคาบที่ผ่านมาเหมือนจะลอยมาให้ได้ยินจากที่ไกลๆ การเรียบเรียงคำพูดที่จะตอบอีกฝ่ายครั้งนี้ช่างยากเย็นนัก… ยากกว่าการตอบคำถามอื่นๆ เป็นหลายเท่า

 

“เอ่อ… ฉันว่าโรสก็ร้องเพลงดีเหมือนเดิมน้า” ฉันเริ่มพูด แต่โรสแมรี่ก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อนว่า

 

“เอาจริงๆ นะ ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าเธอจะคิดยังไง บอกมาเถอะ จะข้อดีหรือข้อเสียก็ได้ ฉันรับได้ทั้งนั้น” ฉันช่างใจอยู่สักครู่ ก่อนจะกลอกตาไปมาเล็กน้อย และพูดถึงการร้องเพลงของอีกฝ่ายที่กำลังรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

 

“ที่ว่าร้องดีน่ะ คือ โรสร้องถูกวิธี ไม่ฝืนเสียงตัวเอง ร้องถูกต้องตามเนื้อเป๊ะๆ เลย” รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าคนฟัง

 

“แต่ฉันรู้สึกว่า เสียงของโรสวันนี้มันแปลกไปเมื่อเทียบกับครั้งก่อนๆ ที่ฉันเคยได้ยิน ถ้าฉันพูดไปเธอจะไม่ว่าอะไรใช่ไหม?” ถามออกไปอย่างระมัดระวังกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าพยักหน้ารับฉันจึงพูดต่อ

 

“ฉันรู้สึกว่าอารมณ์เพลงที่โรสเคยสื่อออกมาได้ดี วันนี้ ฉันฟังแล้วไม่รู้สึกถึงมันเลย มันดูเรียบๆ ยังไงไม่รู้”

 

คิ้วของโรสแมรี่ขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากทำท่าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ดวงตาสีอเมทิสต์คู่นั้นมองฉันนิ่ง ไม่มีแววของความรู้สึกใดๆ สื่อออกมาจากดวงตาคู่นั้น เธอเดินนำฉันไปถึงหน้าประตูโรงเรียน ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก ทำให้ฉันหยุดชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกจากประตูโรงเรียนไปด้วย ร่างเพรียวหันมามอง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นว่า

 

“ขอบคุณที่แนะนำนะ ฉันจะลองเอาไปปรับดู ไว้เจอกันพรุ่งนี้” พูดจบก็เดินออกประตูโรงเรียนไป

 

(โรสแมรี่บรรยาย)

 

คำพูดของซินนามอนที่พูดกับฉันเมื่อครู่เปรียบเหมือนกับน้ำแข็งเย็นๆ ที่ถูกนำมาทาบบนใบหน้าจนรู้สึกชาไปหมด ฉันเดินออกมาจากประตูโรงเรียนด้วยจิตใจที่เหม่อลอย ข้างในใจของฉันมันปั่นป่วนเหมือนมีพายุโหมกระหน่ำ ทั้งโกรธ ทั้งอายระคนกันมั่วไปหมด

 

คำพูดของซินนามอน คนที่ฉันนับเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในชมรม ช่างเหมือนกับคำพูดที่รุ่นพี่หัวหน้าชมรมพูดกับฉันไม่ผิดเพี้ยน

 

“น้องโรส เดี๋ยวนี้เป็นอะไรไปเหรอจ๊ะ อารมณ์เพลงหายไปไหนหมด ร้องได้ไม่มีชีวิตชีวาเลย นี่เป็นสิ่งสำคัญของการร้องเพลงเลยนะ” พี่เชอร์เคยพูดกับฉันในวันหนึ่งหลังเลิกคาบ

 

“หนูก็ร้องของหนูแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่คะ” ได้แต่เอ่ยตอบรุ่นพี่อย่างไม่ใส่ใจนัก

 

“หืม…? พี่จำได้ว่าเมื่อเทิมที่แล้ว เราเคยร้องได้ดีกว่านี้นะ” ฉันรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เรื่องอะไรกัน ที่พี่เชอร์เรียกฉันให้อยู่คุยก่อนเพื่อจะตำหนิเรื่องการร้องเพลงแค่นี้น่ะเหรอ! ไร้สาระสิ้นดี!

 

“หนูคิดว่าการร้องเพลงของตัวเองพัฒนาขึ้นนะคะถ้าเทียบกับเทิมที่แล้ว ถ้าอยู่ชมรมนี้มาตั้งเทิมหนึ่งแล้วไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเลยมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะคะ! แต่ยังไง หนูก็คิดว่าตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันหรอกค่ะ ดีไม่ดี หนูอาจจะร้องเพลงได้ดีกว่าพี่เชอร์หรือเพื่อนคนอื่นด้วยซ้ำ” พูดออกมาด้วยความมั่นใจ ยังไงเรื่องการร้อง โรสแมรี่คนนี้ก็คือที่หนึ่งเสมอ ฉันเชื่อว่ามันต้องเป็นแบบนั้น และทุกคนก็ต้องเห็นเหมือนที่ฉันเห็น

 

“โรสเก่งนะ เรื่องทักษะ วิธีการร้อง และเรื่องการแกะเพลง พี่ยอมรับว่าเราเป็นคนหัวไว แม้แต่พวกพี่กับเพื่อนคนอื่นก็เทียบไม่ได้ แต่เมื่อเก่งแล้วยังไงต่อ มีแค่ทักษะที่ดีแค่อย่างเดียวมันใช้ไม่ได้ การร้องเพลงมันต้องมีอารมณ์ร่วมกับเพลงด้วย พี่อยากให้เราเอากลับไปคิดบ้าง จะได้พัฒนาตัวเองไปในทางที่ดียิ่งขึ้น ที่พูดนี่ก็เพื่อตัวของโรสเองนะ ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่เลย”

 

“ขอบคุณที่แนะนำนะคะพี่เชอร์ แต่หนูคิดว่าหนูร้องดีอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องปรับเพิ่ม การร้องเพลงน่ะมันขึ้นอยู่กับสไตล์ของแต่ละคน ทุกคนมีสไตล์ไม่เหมือนกันหรอกค่ะ และหนูก็คิดว่าร้องแบบนี้แหละคือสไตล์ของหนู”

 

“ใช่จ้ะ เรื่องนี้พี่ไม่เถียง แต่เป้าหมายสูงสุดของชมรมเราก็คือการได้ขึ้นไปแสดงบนเวทีไม่ใช่เหรอ และตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในเพลงที่เราเคยยืนอยู่น่ะ มันถูกสั่นคลอนได้ทุกเมื่อถ้าเราไม่คิดจะพัฒนาการร้องของตัวเอง โรสเคยบอกพี่นี่นาว่าเราอยากจะยืนเป็นเซนเตอร์ให้ได้ไปตลอดตราบเท่าที่ยังอยู่กับชมรม และเราก็ทำได้แล้วในการแสดงครั้งแรก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เลย แต่… มีคนที่พยายามมากกว่าเราเพื่อที่จะได้ยืนตำแหน่งนี้อยู่อีกหลายคนนะ”

 

ประโยคสุดท้ายนั่นหมายถึงใครกัน…? มีใครอีกคนที่พยายามจะแย่งตำแหน่งของฉันไปงั้นเหรอ?...

 

แต่ก็ช่างมันเถอะ เราแค่พยายามเดินต่อไปในวิธีของเราก็พอ

 

ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็เชื่อว่า ตำแหน่งเซนเตอร์ในการแสดงคราวหน้าก็ยังต้องเป็นของฉันอยู่แล้ว มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

 

(ติดตามตอนต่อไป)

********************* หลังจากนี้ ขออนุญาตดองยาวนะคะ เจอกันใหม่เดือนหน้าค่ะ ขอบคุณที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอด ยอดวิวคนอ่านคือกำลังใจของคนเขียน แต่เนื่องจากช่วงนี้ติดภารกิจจึงไม่สามารถมาลงนิยายให้อ่านได้ ต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้าถูกใจก็ช่วยเม้นให้เราด้วยน้าา >_<

 

สารบัญ / นำทาง

ความคิดเห็น

รูปภาพของ tor

รอติดตามครับ

ตอนนี้เริ่มชัดเจนแล้ว ว่าใครคู่ใครบ้าง อิอิอิ

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.