STARCIN ภาคที่ 1 HIN ตอนที่ 6 ลองดี (รีไรท์)

STARCIN อุบัติมหาสงครามสตาร์คิน

-A A +A

STARCIN ภาคที่ 1 HIN ตอนที่ 6 ลองดี (รีไรท์)

21 มิถุนายน พ.ศ.2575

"มาแล้วสินะ อีเวนต์การแข่งขันระหว่างทีมเหมือนกับในนิยายที่อ่านไม่มีผิด" เซนยิ้มไม่หุบเพราะคิดภาพตามนิยายที่เคยได้แค่จินตนาการแต่บัดนี้เขากำลังจะได้ทำมันด้วยตัวเอง

"อา…ถึงจะชื่อชิงธงแต่ก็ไม่ได้ชิงอย่างเดียวหรอกนะ ถ้าหากเล่นเกมชนะในแต่ละฐานก็จะได้ธงมาหรือจะไปขโมยจากทีมอื่นก็ได้ตามชื่อชิงธง" แววตาเป็นกังวลกลอกมองไปรอบ ๆ ราวกับกำลังระแวงบางสิ่งจนซึฮากิก็สังเกตเห็นได้

"ทีมที่มีธงมากที่สุดจะมีรางวัลให้ ส่วนที่โหล่จะถูกทำโทษแทน" ในขณะที่นาธาพูดอยู่ก็มีรถม้าเคลื่อนเข้ามาที่ค่ายโดยมีทหารแปลกหน้าจากหน่วยอื่นเป็นคนคุมบังเหียน

"อ้าว ๆ ๆ ว่าไงนาธา" ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยิ่งกว่าทุกคนในค่ายอีกทั้งยังยิ้มเยาะทักทายนาธารู้ได้ถึงความดูถูกหยอกล้อจากรอยยิ้มนั่น

"แกมาทำอะไรที่นี่?" น้ำเสียงและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลขณะที่เดินเข้าไปหาก็ยังเกร็ง ๆ มือสั่น

"แยกเขี้ยวเป็นหมาเฝ้าบ้านเลยนะ" เมื่อพวกเขายืนเผชิญหน้ากันก็จะได้เห็นความแตกต่างของรูปร่างแม้จะมีส่วนสูงเท่ากันแต่นาธากลับเหมือนเด็กน้อยไปเลย

"เป็นคำสั่งของทางกรมทหารน่ะ ต่อจากนี้ฉันจะเป็นคนคุมค่ายนี้เอง" เขาตั้งใจเดินชนนาธาผ่านไปเหล่าทหารฝึกหัดที่ยืนคอยคำสั่ง

"เมื่อกี้ว่าจะชิงธงกันสินะมันทำให้นึกถึงเมื่อก่อนเลย ตอนนั้นฉันชอบมาก ๆ เดี๋ยวจะรออยู่ที่นี่แหละไปชิงธงกันให้สนุกล่ะ" ชายหนุ่มผู้นั้นนั่งลงที่เก้าอี้วางท่าใหญ่โตราวกับเป็นราชามองดูผู้คนจากเบื้องบน

สายตาของทหารเหล่านั้นต่างก็จับจ้องไปที่ชายร่างใหญ่ผู้ที่จะเป็นหัวหน้าแทนนาธาแต่เขากลับไม่ขัดขืนหรือต่อต้านเลยสักนิด เพียงแค่จดหมายสั่งการจากผู้บังคับบัญชาที่ชายผู้นั้นยื่นให้มันก็ทำให้นาธานิ่งเงียบได้แต่กัดฟันทำใจ

"อา…ขอบเขตในการเล่นเกมนี้คือป่าทั้งป่า เดินหาไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอฐานที่สามารถเล่นเกมได้" นาธายืนตรงหน้าแถวและปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามที่ชายหนุ่มคนนั้นบอก

หลายทีมก็กระจัดกระจายไปคนละทิศทางส่วนนาธาก็แยกตัวกลับไปที่ห้องพักของตนด้วยท่าทางหงุดหงิดโกรธจนคิ้วขมวดแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน

"ดีล่ะ ฉันจะเป็นคนนำทางเอง" เซนยิ้มหน้าตั้งวิ่งนำออกนอกหน้าดีใจจนเนื้อเต้นเหมือนกับเด็กตัวน้อยได้เดินทางไกลครั้งแรก

"เฮอะ ฉันว่าเราน่าจะตายกันในป่านี่แหละ" นาริพูดแทรกหยอกล้อกระตุกคิ้วให้

"เชื่อใจฉันเถอะน่า เดี๋ยวคอยดูชายผู้ออกไปเดินป่าหลายรอบเพราะต้องเข้ากองไปถ่ายหนังให้ดี"

"เอาน่า เราก็เดินไปเรื่อย ๆ เนี่ยแหละเดี๋ยวก็เจอฐาน" ฟรานตบหลังเซนปลอบขวัญกำลังใจส่งยิ้มอันเป็นมิตรให้

"ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องไปแล้วเดี๋ยวจะตามไม่ทันทีมอื่นเอา" แซมพูดแทรกขึ้นมาจากด้านหลังวิ่งนำไปก่อนใครก่อนที่คนอื่น ๆ จะวิ่งตามหัวเราะเยาะสนุกไปกับการมีอิสระครั้งแรก

เดินมาได้สักพักใหญ่ในป่าช่วงเช้าอากาศค่อนข้างเย็นเดินกันแบบสบาย ๆ จนได้มาเห็นนายทหารที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ที่โต๊ะนั่นมีหมอนใบเล็ก ๆ อยู่สองอันและมีเส้นสีขาวขีดผ่านระหว่างหมอน

"...สวัสดีค่ะ" ฟรานเอ่ยปากทักก่อน

"รู้จักงัดข้อไหม?" นายทหารที่มีท่าทางขึงขังพูดและเมื่อได้เห็นใบหน้าอันงดงามของฟรานเขาก็กระตุกยิ้มมุมปาก

"รู้จัก ๆ ผมขอก่อนแล้วกัน" เซนวางแขนลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็วเหมือนกลัวจะแย่ง

"แหม ๆ เลือดร้อนจริง ๆ นะไอ้หนู" ทั้งเซนและทหารนายนั้นต่างก็จ้องมองซึ่งกันและกันเหมือนเป็นการท้าทายด้วยสายตา

"หนึ่ง…สอง…เริ่ม" ทั้งคู่ออกแรงงัดข้อรุนแรงถึงขนาดพื้นที่รองรับโต๊ะยุบลงเล็กน้อย เซนกัดฟันกลั้นหายใจออกแรงเต็มที่ด้วยใบหน้าจริงจังไม่คุ้นตาเสียจริง

"ทำได้ดี" หลังจากเริ่มงัดข้อมาได้หลายนาทีสุดท้ายเซนก็พ่ายแพ้ไปเป็นคนแรก

"บ้าเอ๊ย ! แพ้แล้วซะแล้ว" เซนอุทานเสียงดังนั่งซึมอยู่ข้าง ๆ ซึฮากิแต่ก็ไม่มีใครสนใจ

"ไม่ถอดถุงมือได้ไหมคะ?" นาริเอ่ยปากถามเพราะอาวุธของเธอเป็นถุงมือไม่เหมือนกับเพื่อนที่ไม่ต้องถือไว้ตลอด

"ตามสบายเลยเจ้าหนู" เขายังคงนั่งยิ้มอย่างสบายใจไร้ความกังวล

แววตาล่อกแล่กลังเลใจของนาริทำให้เพื่อน ๆ ของเธอรู้สึกเป็นห่วงไปด้วยแต่สุดท้ายเธอก็นั่งลงเผชิญหน้ากับทหารนายนั้น

เมื่อกี้เราแอบร่ายเวทเสริมกำลังมาแล้วน่าจะมีโอกาสชนะบ้างสิ

"หนึ่ง…สอง..." ทั้งคู่เริ่มงัดข้อโดยที่นาริใส่เต็มแรงตั้งแต่เริ่มทำเอานายทหารแทบจะยื้อไว้ไม่ได้

"แรงดีกว่าที่คิดไว้มากเลยนะหนู" ทั้งคู่จ้องตากันไม่มีใครยอมใครจนผ่านมาหลายนาทีก็ยังคงตัดสินผู้ชนะไม่ได้และอยู่ดี ๆ โต๊ะที่วางแขนก็พังแยกเป็นสองส่วนทำให้ไม่มีผู้ชนะ

"นี่ธง ถือว่าทำได้ดีแล้วล่ะ" ชายผู้นั้นกระตุกยิ้มพึงพอใจขณะที่ยื่นธงเล็ก ๆ ให้

“ยอดไปเลยนาริ” ฟรานโผเข้ากอดจากด้านหลังยิ้มอย่างกับคนบ้าเช่นเดียวกับเซนที่หลุดออกจากความเศร้าและจะกอดเธอด้วยอีกคน

“ไม่ต้องมาฉวยโอกาสเลยเจ้างั่ง” ฝ่าเท้าประทับหน้าผากเซนดันตัวเขาลงไปกองกับพื้นแต่แทนที่จะโกรธเขากลับส่งเสียงหัวเราะคิกคักสนุกสนานกว่าที่คิด

"สมกับเป็นยายทอมบ้าพลังเลยนะ" เซนพูดขึ้นมาลอย ๆ ในขณะที่เดินนำหน้าอยู่

ไม่ทันไรก็มีร้องดังลั่นหลังจากที่เขาถูกถีบจากด้านหลังหน้าจูบกับพื้นอีกแล้ว ทั้งขี้ดินขี้โคลนก็กระเด็นติดเต็มไปทั้งตัว

"ขอโทษก็แล้วกันแค่แซวเล่นเฉย ๆ เองนะ" เซนลุกขึ้นมาหัวเราะเยาะนึกว่าเป็นพวกโรคจิตชอบโดนกระทำ

"เงียบไปเถอะ เดี๋ยวก็เอาดินยัดปากให้พูดไม่ได้ซะเลย" นาริตะเบ็งเสียงใส่พร้อมกับสะบัดหน้าหนี

พวกฟรานยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะฐานแต่นายทหารไม่พูดด้วยเลยสักคำเอาแต่นั่งบนเก้าอี้แล้วจ้องมาที่พวกเธอ

"สวัสดีค่ะ" ฟรานต้องกล่าวทักทายก่อนเพราะทหารนายนั้นไม่มีท่าทีที่จะพูดเลย

ชายผู้นั้นยังคงไม่ปริปากแต่ก็ยื่นมือออกมาข้างหน้า

"เอ่อ..." ฟรานยังสองจิตสองใจว่าเขาต้องการอะไรกันแน่จนเธอต้องยื่นมือออกไปเช่นเดียวกัน

เขาเริ่มยกมือนั่นขึ้นลงสองรอบก่อนจะแบมือในขณะที่มือของฟรานยังนิ่งอยู่กับที่เพราะไม่รู้ว่าทหารนายนั้นต้องการอะไร

"อา" แบบนี้มันเป่ายิ้งฉุบ ฟรานตกใจเล็กน้อยหลังจากเห็นเขาสะบัดมือไล่ราวกับตัวเธอได้พ่ายแพ้ไปแล้วโดยที่ไม่ได้สู้

"เข้าใจแล้วเดี๋ยวฉันเอง ! ฉันเชื่อมั่นในพลังแห่งโชคถึงแม้ค่าโชคในสเตตัสของฉันจะน้อยนิดก็ตาม" เซนแทรกตัวเข้ามานั่งที่เก้าอี้ทันทีที่ฟรานถอยออกไป

"ซึฮากิทำไมฉันถึงแพ้อีกแล้วล่ะ" ไม่ทันไรเซนก็ร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลจะกอดซึฮากิเพื่อเพิ่มกำลังใจหรือจะหลอกเช็ดน้ำตากันแน่แต่เขาก็ผลักตัวเซนออกได้อย่างนุ่มนวลลงไปหน้าแนบพื้นอีกรอบ

"ผมขอลองได้ไหมครับ?" แซมหัวเราะในลำคอเมื่อเซนเป็นเช่นนั้นก่อนจะเดินเข้ามานั่งแทนที่

เขาออกกระดาษมาสองครั้งแล้ว ครั้งต่อไปน่าจะเปลี่ยนเป็นค้อน แต่ดูจากลักษณะนิสัยสายตาเขาเป็นพวกเจ้าเล่ห์คงคิดว่าพวกเราจะคิดแบบนั้น เพราะฉะนั้นครั้งต่อไปที่เขาจะออกคือกรรไกร

ทั้งเขาและแซมต่างก็ตั้งท่าเรียบร้อยแล้วเมื่อเริ่มยกมือขึ้นลงหนึ่งครั้งสองครั้งและผลที่ออกคือแซมออกค้อนและเขาออกกรรไกรทำให้แซมชนะได้ธงมา

"ทีนี้เราก็มีธงสองอันแล้วแต่ไม่รู้ว่าทีมอื่นได้ไปกี่อันแล้วนี่สิ" ฟรานเป็นตัวแทนถือธงเพราะเธอมีพลังเวทสูงที่สุดน่าจะปกป้องธงได้ดีกว่าใคร

"ฉันว่าทีมอื่นก็คงไม่ต่างกับพวกเรานักหรอก" เซนเดินนำหน้าด้วยสภาพเละเทะเนื้อตัวมีแต่ดินเปรอะเปื้อนยิ่งกว่าหมาที่เกลือกกลิ้งกับดินเสียอีก

เมื่อพวกเธอเดินเท้าต่อไปก็ได้เจอฐานมากกว่าสิบฐานถึงแม้จะทุลักทุเลแต่สุดท้ายก็ได้ธงมามากถึงสิบสี่อัน

หลายชั่วโมงผ่านไปจนเวลาก็ใกล้จะหมดเต็มทีแล้วในระหว่างที่เดินอยู่จู่ ๆ ก็มีอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาและระเบิดตรงหน้าพวกเธอ

"บ้าเอ้ย ! มีใครแย่งธงไปไม่รู้" ฟรานอุทานเสียงดังตกใจร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก

ใครบางคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กับต้นไม้ถือธงของพวกเธออยู่

"ใครน่ะ เอาของพวกเราคืนมานะ" เซนตะโกนด้วยความโมโหพร้อมยกดาบขึ้นเตรียมสู้

"ได้แล้วไม่คืนให้หรอกย่ะ" หญิงสาวผมทรงทวินเทลกระตุกยิ้มสนุกยืนอยู่ตรงนั้นก็คือซันนี่และไม่นานก็ปรากฏพรรคพวกของเธอ

"อ้าวทีมของฟรานเองเหรอเนี่ย?" ชาญที่อยู่ทีมเดียวกับซันนี่เดินตรงเข้ามาหาพวกฟรานด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยพลางมองหน้าซึฮากิไปด้วย

"พวกทหารบอกว่าเธอแข็งแกร่งมาก ฉันก็เลยอยากจะขอท้าประลองสักหน่อย" ชาญยกดาบขึ้นชี้หน้าฟรานเป็นสัญญาณของการท้าดวลที่ทำด้วยความอยากรู้อยากลองไม่ใช่ความเกลียดชัง

"กฎง่าย ๆ ใครที่ยอมแพ้หรือหมดสภาพต่อสู้ก็จะแพ้ไป...แค่นั้น" ฟรานยืนนิ่งคิดไตร่ตรองพลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ

"แล้วเราจะได้อะไร?" ฟรานพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแม้จะเป็นเพื่อนกันแต่ก็ไม่อาจยอมอยู่ฝ่ายเดียวได้

"ถ้าเธอชนะก็เอาธงคืนไป"

“แค่นั้น?” ฟรานจ้องมองตาไม่กะพริบกดดันให้ชายเพิ่มข้อเสนอให้

“จะเอาธงของพวกเราด้วยเลยไหมล่ะ?”

“หา ! จะบ้าเหรอชาญ” ซันนี่ตะโกนมาแต่ไกลและวิ่งมาเอามือขยี้หัว

“ตกลงตามนั้น” ฟรานยิ้มอ่อนเหมือนกับรู้ผลลัพธ์อยู่แล้วแถมมันดูน่าหมั่นไส้มากกว่าปกติเสียอีก

บรรยากาศร่าเริงสนุกสนานหายไปในพริบตาราวกับพายุที่มาในวันฟ้าโปร่ง พรรคพวกของพวกเขาถอยห่างออกไปทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าว

"งั้นเริ่มกันเลย" ชาญพุ่งเข้าหาเธอทันทีชักดาบออกจากฟักเหวี่ยงเต็มแรง

แม้คนอื่นจะคิดว่าเธอจะแพ้เพราะยังไม่มีท่าทีชักดาบเลยแต่น้อยแต่เธอใช้ทั้งฝักดาบยกขึ้นปัดป้องแทน

"ตอบสนองไวจริง ๆ เลยนะฟราน" ชาญถอยออกห่างไปเล็กน้อยมองดูปฏิกิริยาของฟราน

[เสริมกำลังระดับหนึ่ง]” เสียงร่ายเวทมนตร์ของชายเป็นเหมือนสัญญาณของการเอาจริง กระแสมานาวนไปรอบ ๆ ตัวชาญราวกับเป็นเกราะป้องกันที่ช่วยให้ร่างกายขยับได้ดีขึ้น

เอาจริงด้วยดีไหม? ไม่ดีกว่าเดี๋ยวจะบาดเจ็บเปล่า ๆคมดาบสีชาดฟาดลงตรงหน้าแต่กลับถูกปัดป้องด้วยฝักดาบของฟรานได้อย่างง่ายดาย

ตั้งแต่ตอนฝึกชาญก็มักจะมุทะลุพุ่งเข้าใส่เป้าหมายอย่างตรงไปตรงมาแต่มันก็ทำให้เดาวิถีดาบได้ง่าย

ชาญยังคงเหวี่ยงดาบที่เคลือบเวทมนตร์เพลิงใส่ไม่ยั้งทั้งการฟัน แทง เฉือนแต่มันก็ไม่รุนแรงพอให้ฟรานขยับเท้าจากจุดนั้นได้

สุดท้ายเพียงฟรานสะบัดดาบของเธอสวนกลับก็ทำให้ชาญล้มลงพื้นตัวสั่นระริกเพราะสัมผัสได้ถึงความต่างชั้นทั้ง ๆ ที่เธอยังไม่ได้ชักดาบออกฟักเลยด้วยซ้ำ

"สุดยอดจริง ๆ ต้องแบบนี้สิทำเอาฉันเลือดร้อนขึ้นมาเลย" ชาญยิ้มด้วยความสะใจหลังจากหยิบดาบขึ้นก็กระหน่ำเข้าฟาดฟันไม่หยุดอีกครั้ง

"เราควรหยุดก่อนที่จะมีใครบาดเจ็บนะ" ชาญเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นก็เป็นการสุมไฟให้ใหญ่ขึ้นไปอีก

หลายนาทีผ่านไปจนความล้าเข้ากัดกินร่างของชาญผู้สามารถออกกำลังติด ๆ กันได้ครึ่งวันแต่ในการต่อสู้ด้วยเวทมนตร์เขากลับหมดแรงในไม่กี่นาที

"ทำไมถึงไม่ตอบโต้บ้างล่ะ?" ชาญพูดด้วยอาการหอบเหนื่อยหมดแรง

"เพราะมันไม่จำเป็น" สายตาของฟรานที่มองชาญมันทั้งอ่อนโยนและเป็นห่วงราวกับเป็นครูฝึกที่รับคำท้าจากคนที่พึ่งเข้ามาเป็นลูกศิษย์

“ก็ได้ ๆ ฉันยอมแล้ว ซันนี่คืนธงไป”

ขณะที่ทุกอย่างจะจบลงด้วยดีแต่จู่ ๆ ก็มีแสงบางอย่างสว่างจ้าจนมองอะไรไม่ได้ไปสักพักหนึ่ง

“อ้าว ! ธงหายไปอีกแล้ว” สถานการณ์อันน่าอึดอัดที่กวาดสายตาไปรอบ ๆ หาตัวคนร้าย

“อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะ” เสียงของซากิดังขึ้นจากที่ที่ไม่ไกลนัก

เสียงฝีเท้าก้าวเดินเข้ามาในระยะสายตาเผยให้เห็นทีมของซากิที่หนึ่งในนั้นมีพีชอยู่ด้วย

“ฉันแอบดูอยู่น่ะ สมแล้วล่ะที่เป็นเธอ...สุดยอดสมกับร่ำลือจริง ๆ” ซากิยิ้มให้และมองมาหาฟราน

“ขอบใจที่ชมแต่ยังไงก็ขอธงของพวกฉันคืนด้วย” ฟรานถอนหายใจจ้องตาเขม็ง

“โทษทีแต่มันเป็นเกมคงคืนให้ไม่ได้หรอก เธอเองก็ควรจะมีศักดิ์ศรีทำตามกฎสิ” เขาส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยกลอกตามองใบหน้าที่กำลังสับสนของเธอ

“ถ้าอยากได้คืนก็ต้องเข้ามาแย่งเองสิ” ซากิพุ่งแทงด้วยดาบเรเปียร์สีเงินโดยไม่ได้ใช้เวทมนตร์

“ฉันไม่อยากทำให้เพื่อนต้องเจ็บตัวหรอกนะ” ฟรานชักดาบคาตานะปัดการแทงของซากิไปข้าง ๆ

“ถ้าไม่มีกะจิตกะใจจะสู้อย่างนั้นมันก็ไม่สนุกสิ” ขณะที่กล่าวเช่นนั้นเขาก็เหลือบตาไปเห็นสมาชิกทีมของฟรานที่เอาแต่ยืนดูอยู่ข้างหลัง

“ขี้ขลาดกันชะมัดเลย เธอน่าจะมาอยู่ทีมของฉันมากกว่าพวกนั้นเสียอีก”

“แกว่าใครขี้ขลาดนะ !” เซนกระโจนเข้าสู่สนามรบประชันหน้ากับชายหนุ่มผมสีเงินพร้อมกับกระตุกยิ้มแยกเขี้ยวใส่

“เฮ้ ! ฉันจะแย่งมันมาให้ดูเลย” เซนปักดาบยักษ์ลงพื้นและเหวี่ยงตัวถีบขาคู่แม้ซากิจะยกแขนกันได้ทันแต่ก็กระเด็นถอยออกไปหนึ่งเมตร

เซนดารามากอายุการทำงานแต่ยังไร้ความสำเร็จที่เป็นชิ้นเป็นอัน เนื่องจากเขามักจะแสดงนิสัยของตัวเองออกมาด้วยทำให้ดูไม่เข้ากับบท ส่วนคานะลูกเกษตรต่างจังหวะที่ทางบ้านส่งมาเรียนที่โรงเรียนทดลองเพื่อลดค่าใช้จ่าย แซมเป็นเด็กวัดที่พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาและบ้านอยู่ใกล้วัดเขาจึงไปช่วยงานที่นั่นประจำ นาริลูกพนักงานเงินเดือนที่บริษัทตั้งอยู่ใกล้โรงเรียนทดลองจึงส่งมาเรียนที่นี่ และซึฮากิคนที่ไม่คู่ควรที่สุดก็ดันอยู่ด้วย

ภายใต้ใบหน้าอันสง่างามของชายหนุ่มผู้เป็นเดือนของโรงเรียนมองหน้าพรรคพวกของฟรานพลางคิดพินิจถึงที่มาที่ไปอย่างกับเป็นการสัมภาษณ์เข้าทำงาน

“มัวเหม่ออะไรอยู่” เซนปักดาบยักษ์ไว้ที่เดิมและพุ่งเข้าใส่ดันทุรังแย่งธงจากมือของซากิทั้งอย่างนั้น

ซึฮากิไม่ได้เจอกันพักใหญ่เลยนะเนี่ยดูสมบุกสมบันดีแฮะ พีชจ้องมองเรือนร่างและแววตาเฉยชาไม่แสดงเจตนารมณ์เลยสักนิดจนได้สบตากันมันก็ทำให้เธอตกใจเขิน

“ทำไมถึงไม่ใช้อาวุธล่ะ?” พวกเขาวิ่งไล่จับกระทบกระทั่งกันไม่หยุดเมื่อซากิเห็นเซนไม่ใช้อาวุธเขาก็ไม่กล้าใช้เช่นกันมีเพียงแค่หมัดและเท้าเท่านั้น

“พอเถอะน่า” นาริตะโกนสุดเสียงเมื่อได้สภาพเละเทะของพวกเขา

“พอได้แล้ว ก็แค่เกมจะไปจริงจังทำไม”

“แต่เขาเอาธงของเราไปนะ” เซนผลักนาริกระเด็นลงพื้นก้นจ้ำเบ้าเพื่อประชันฝีไม้ลายมือกับซากิต่อแต่เมื่อเขาเหลือบสายตามองนาริเพราะเป็นห่วงมันก็เป็นช่องโหว่ให้ซากิชกหมัดขวาเข้าที่คางเต็ม ๆ

“จังหวะนี้แหละรีบหนีเร็ว”

“ดะเดี๋ยว !” ขณะที่พวกซากิกำลังจะหนีฟรานก็พยายามยื้อไว้ด้วยเวทกำแพงพสุธาแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว

เช่นเดียวกับทีมของชาญที่อาศัยช่วงเวลาที่พวกเขาวุ่นกับซากิหลบหนีไปได้ สุดท้ายก็เหลือเพียงใบหน้าของความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าได้แค่มองดูธงโดนขโมยไป

“ลุกขึ้นเถอะครับคุณเซน” แซมเดินมาดูเซนที่เอาแต่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นเศร้ากับความอ่อนแอของตนเอง

“โธ่เว้ย ! ให้ตายสิคราวหน้าเจอฉันแน่” ความหม่นหมองได้สลายหายไปพร้อมกับเสียงตะโกนเรียกขวัญกำลังใจช่วยให้เพื่อน ๆ ฮึดสู้อีกครั้ง

“ฉะฉันขอโทษ” ฟรานเอ่ยด้วยถ้อยคำน้ำเสียงตะกุกตะกักเบาริบหรี่เพราะคิดว่าเป็นความผิดของตัวเอง

“ช่างเถอะน่า มันก็แค่เกมพวกเราสิต้องขอโทษที่ไม่ยอมช่วยเธอ” นาริเดินเข้ามาจับไหล่ทั้งสองข้างเป็นการปลุกขวัญและเอามือลูบผมที่ปิดใบหน้าของฟรานออก

“ใกล้จะมืดแล้วยังไงก็รีบกลับกันก่อนเถอะครับ” แซมเงยมองฟ้าเห็นดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าจึงเอ่ยขึ้น

จากนั้นพวกเธอก็เดินทางกลับค่ายโดยไม่เหลือธงในมือสักอันถ้าจะไปหาใหม่ก็คงโดนทำโทษเพราะกลับช้าแน่ ๆ

“เอ่อ…พวกนายจำทางกลับได้รึเปล่า?” เซนหยุดเดินแล้วหันมาถามเพื่อน ๆ ทำเอาทุกคนหยุดชะงักทันที

“อย่าบอกนะว่าแกเดินนำมาโดยที่ไม่รู้ทางแล้วไม่บอกตั้งแต่แรกวะ” นาริขมวดคิ้วโกรธเคืองเอามือขยี้หัวเซนเพื่อระบายมันออกมา

“ขอโทษครับ” เซนเสียงขอโทษลากยาวก้มหน้าลงแนบพื้นเพื่อสำนึกผิด

“แล้วพวกเราจะเป็นยังไงต่อล่ะครับ?” แซมเอ่ยปากถามคำถามที่ไม่มีใครให้คำตอบได้

บรรยากาศของช่วงเย็นเต็มไปด้วยลมโกรกและเสียงใบไม้ขยับช่วยให้หลับได้ง่ายดาย

“ลักซ์” เหล่าผู้คนมากมายที่กำลังเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน ใครบางคนที่กำลังจับมือถือแขนพาลักซ์หายไปต่อหน้าต่อตา จู่ ๆ น้ำตาที่เก็บกดอัดอั้นไว้ก็ไหลออกมา

“หัวหน้า ๆ” เสียงชายหนุ่มที่กำลังตะโกนเรียกไม่หยุด

“หา ! ว่าไง ๆ” นาธาสะดุ้งตื่นด้วยสภาพมึนงงสะลึมสะลือ

ฝันไปเหรอเนี่ย? ไม่สิมันเป็นเรื่องฝังใจต่างหากเพราะเจ้านั่นโผล่มาแท้ ๆ ความทรงจำพวกนี้เลยผุดขึ้นมาอีก

“หัวหน้านี้มันจะมืดแล้วนะครับ รีบจุดพลุเร็ว” นายทหารดูลุกลี้ลุกลนอย่างกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

“จริงด้วย” ดันลืมบอกไปด้วยว่าจะจุดพลุเรียกรวมพล หวังว่าจะไม่หลงหรือหนีไปก่อนนะ นาธาคว้ากระบอกพลุและจุดยิงสัญญาณไฟสีแดงขึ้นบนท้องฟ้าเห็นได้แต่ไกล

หลายทีมที่หลงกันอยู่ในป่าต่างก็สังเกตเห็นพลุและรีบไปทางนั้นทันทีถึงแม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไรก็ตาม

“คราวหน้าถ้าแกไม่รู้ทางก็อย่าเดินนำ” ฟังจากเสียงของนาริเธอยังดูโกรธอยู่

“ขอโทษได้ไหมล่ะ” เซนกระแทกเสียงประชดประชัน

จริง ๆ ก็จำทางกลับได้แต่แค่อยากรู้ว่าคนอื่น ๆ จะแก้ปัญหาอย่างไร ซึฮากิเดินรั้งท้ายคู่กับคานะที่แทบจะไม่พูดกับใครเลยตั้งแต่เช้า

“อา…ในเมื่อกลับมาครบทุกทีมแล้วเราจะมานับธงกัน” หัวหน้าทีมเป็นคนยื่นธงให้บางคนก็ยิ้มร่าเริงสนุกแต่บางคนก็ก้มคอตกเศร้าใจ

“อา…ทีม D เป็นทีมที่มีธงมากที่สุดซึ่งก็คือผู้ชนะของเราและมีธงมากถึงสี่สิบสามและแน่นอนเราจะมีรางวัลให้แต่ก่อนอื่นมาฟังทีมที่มีธงน้อยที่สุดต่อ”

“ทีม S มีธงน้อยที่สุดหรือจะให้พูดก็คือไม่มีธงเลยสักอัน” พวกเขายิ้มเจื่อนยกมือน้อมรับบทลงโทษ

"อา…รางวัลสำหรับผู้ชนะคือการได้ไปเที่ยวที่เมืองหนึ่งวัน" เสียงโหร้องดีใจที่ทำให้รู้ว่าน่าเสียดายแค่ถ้าได้หยุดและไปเที่ยวคงจะสนุกไม่น้อย

"และสำหรับบทลงโทษของผู้แพ้ก็คือการทำความสะอาดค่ายนี้แทนคนอื่น"

“เดี๋ยวก่อน !” ใครบางคนตะโกนเสียงดังมาแต่ไกล

“แค่นั้นเรียกบทลงโทษแล้วเหรอ?” ชายหนุ่มร่างใหญ่ผู้มาเป็นหัวหน้าค่ายแทนนาธาเดินมาประชิดตัวนาธาพร้อมกับยิ้มเยาะ

“แกจำตอนเราโดนลงโทษไม่ได้เหรอ?” เขาหันมามองนาธาเหมือนพยายามสะกิดเรื่องในใจ

“ทั้งแส้ทั้งเหล็กร้อน ๆ นายก็น่าจะจำได้ดีเลยนะ”

“ฉันจะไม่ให้นายทำอะไรพวกเด็ก ๆ หรอก นั่นมันเป็นวิธีลงโทษที่ไร้สาระที่สุด” นาธาตะเบ็งเสียงตอบกลับไม่สนใจตำแหน่งที่กำลังสั่นคลอน

“ถ้านายไม่ยอมก็ลองหยุดฉันดูสิ ตอนนี้ฉันเป็นผู้คุมค่ายตามคำสั่งจากเบื้องบน” นาธากัดฟันกำหมัดแน่นและก้มหน้าถอยออกไป

“นั่นแหละรู้สถานะตัวเองซะบ้าง” เขาเดินกลับไปหยิบแส้สำหรับตีม้าฟาดลงพื้นเป็นเสียงขู่เหล่าผู้โชคร้ายที่ถูกทำโทษ

“เอาเป็นแม่สาวน้อยที่อยู่ท้ายแถวก่อนแล้วกัน” ท่ามกลางสายตาหวาดระแวงว่าตนเองจะโดนเหมือนกับทีมของฟรานหรือไม่แต่ก็โล่งใจที่ตัวเองรอดไปได้

ทหารหลายคนลากตัวคานะไปยังหน้าแถวให้ทุกคนได้เห็นแต่ก็เธอไม่แม้แต่จะดิ้นหรือขัดขืน มีเพียงเพื่อนในทีมเดียวกันที่โกรธจนแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนแต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร

“ถอดเสื้อออกซะจะได้โดนเนื้อเน้น ๆ” เขาตะคอกเสียงดังจนคานะตัวสั่นร่างกายขยับไม่ได้ไปเลย

หลังจากที่เธอเอาแต่ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าชายผู้นั้นก็กระชากเสื้อของเธอขาดต่อหน้าต่อตาเพื่อน ๆ ของเธอ

“หุ่นดีใช้ได้เลยนะเนี่ย หลังจากนี้ฉันจะดูแลเป็นอย่างดีเลย” เขาสะบัดแส้ทำให้เกิดเสียงข้าง ๆ หูของคานะทำเอาน้ำตาที่กลั้นไว้ไหลออกมาเพราะความเกรงกลัว

“ไปเอาเกลือมาสิ” เขาหันไปสั่งพวกทหารและกดคานะให้นั่งลงไปกับพื้นโดยหันหลังให้กับเขา

จากนั้นเขาก็เริ่มง้างมือที่ถือแส้และฟาดมันลงบนแผ่นหลังอันบอบบางของคานะแต่นาธาที่ก็โผล่ออกมาโอบตัวคานะเพื่อบังแส้ไว้ เสื้อที่นาธาใส่อยู่ถึงกับขาดเป็นรอยแส้และมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย

“ฉัน ร้อยตรีนาธา จาโอซาน ขอท้าประลอง ร้อยโทเลวาธาน ฮับเบิล” นาธายืนหยัดมองหน้าเลวาธานโดยไม่มีความเกรงกลัวแต่อย่างใด

“งั้นก็สวยสิ” เลวาธานกระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัยราวกับรอเวลานี้มานานแสนนาน

ฟรานและนาริรีบวิ่งออกไปพยุงตัวคานะกลับเข้ามาในแถว โดยที่เซนเป็นคนให้เสื้อกับเธอสวมปกปิดไว้แต่ก็ไม่อาจช่วยให้เธอหยุดร้องไห้ได้

นักเรียนคนอื่น ๆ ได้แต่ยืนอยู่ในแถวไม่กล้าแม้แต่จะพูดคุยกันด้วยซ้ำและในคืนนั้นพวกนักเรียนก็ได้แยกย้ายกันไปโดยที่ยังไม่มีการลงโทษ

 

สารบัญ / นำทาง

ความคิดเห็น

รูปภาพของ tor

อ่อนแอก็แพ้ไป

สู้ได้แต่ไม่สู้ ผมละไม่ชอบเลยจริงๆ พระเอกก็เอาแต่เงียบ ไม่ทำอะไรสักอย่าง

ในกลุ่มนี้เซ็นโอเคสุด ให้มันเป็นพระเอกเถอะ 55+

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.