บทที่ 36: เดินเท้าครั้งแรก

-A A +A

บทที่ 36: เดินเท้าครั้งแรก

"พวกท่านต้องเดินเท้าเข้าไปกับเรา"
คำแปลสุดท้ายของลินดาแขวนค้างอยู่กลางอากาศที่เย็นเยียบ มันไม่ใช่แค่เงื่อนไข... แต่มันคือคำขาด คือการบังคับให้พวกเขาต้องเลือกระหว่างความปลอดภัยที่จับต้องได้กับความหวังที่มองไม่เห็น
ลีน่ายืนนิ่ง เธอไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธในทันที แต่สายตาของเธอจับจ้องไปยังคราม เธอพยายามจะอ่านเจตนาที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่หลังดวงตาข้างเดียวที่แข็งกร้าวคู่นั้น ในขณะเดียวกัน เธอก็ได้เปิดช่องทางการสื่อสารส่วนตัวที่เข้ารหัสระดับสูงสุดขึ้นมาทันที "ห้องประชุมที่มองไม่เห็น" ของพวกเขาได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเร่งด่วน ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องของเหล่าพราน
[ลีน่า: ทุกคน... เรากำลังเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่จะกำหนดอนาคตของภารกิจทั้งหมด ข้าต้องการความเห็นจากทุกคน... อย่างตรงไปตรงมา]
[เร็กซ์: มันคือกับดัก! ชัดเจน 100%!] เสียงของเร็กซ์ดังแทรกเข้ามาเป็นคนแรก เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดที่ถูกสะกดกลั้นไว้ [ท่านผู้บัญชาการ นี่มันบ้าสิ้นดี! รถแรคคูนคือที่กำบังเดียวของเรา คือห้องทดลองเคลื่อนที่ คือคลังอาวุธ และคือชีวิตของเรา! การทิ้งมันไว้ก็เท่ากับเรายอมเดินเข้าถ้ำเสือมือเปล่า! นี่คือกลยุทธ์พื้นฐานที่สุดในการล่อให้ศัตรูแยกตัวออกจากฐานที่มั่น!]
[เอลารา: เร็กซ์พูดถูกในทางยุทธวิธีค่ะ] เสียงของเอลาราเสริมขึ้นอย่างมีเหตุผล [อุปกรณ์สแกนระยะไกล, ระบบวิเคราะห์ตัวอย่าง, และที่สำคัญที่สุด... คือเครื่องขยายสัญญาณควอนตัมสำหรับติดต่อกับเควิน ทุกอย่างเชื่อมต่อกับแกนพลังงานของรถ ถ้าเราไปแต่ตัว เราจะกลายเป็นคนตาบอด หูหนวก และเป็นใบ้ ท่ามกลางป่าที่เราไม่รู้อะไรเลย]
ความเงียบเข้าปกคลุมช่องสื่อสารชั่วขณะ ตรรกะของเร็กซ์และเอลารานั้นไร้ซึ่งที่ติ มันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ
[ไลรา: แต่ฉัน 'รู้สึก' ได้ถึงเจตนาของลินดาค่ะ] ไลราพูดขึ้นเบาๆ แต่หนักแน่น [เธอไม่ได้หลอกลวงเรา ความกลัวที่เธอมีต่อ 'เสียงกระซิบ' นั่นคือของจริง และเธอเชื่อว่าเราคือความหวังเดียวของเธอจริงๆ การเชื่อใจพวกเขาคือความเสี่ยง... แต่ฉันรู้สึกว่ามันเป็นความเสี่ยงที่เราต้องยอมรับ]
[โอไรออน: ผมได้ยินเสียงหัวใจของคราม... มันเต้นช้าและหนักแน่น เขาไม่ได้โกหกเรื่องอันตราย... พลังงานของรถมันเป็นเหมือนประภาคารที่เรียกทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาจริงๆ แต่ผมก็ได้ยินถึงความไม่ไว้วางใจอย่างรุนแรงในตัวเขาเช่นกัน... เขากำลังทดสอบเราอย่างถึงที่สุด]
[ศิลา: บางที... บางทีการจะเข้าใจธรรมชาติ... เราอาจจะต้องละทิ้งเกราะกำบังที่เป็นโลหะของเราไว้ข้างหลังก็ได้นะครับ] ศิลาพูดขึ้นอย่างลังเล [การเดินบนดินด้วยเท้าของเราเอง... อาจจะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ป่ายอมรับในตัวเรา]
[เร็กซ์: นั่นมันความคิดของนักปรัชญา ไม่ใช่ทหาร! เราจะตายกันหมด!]
ลีน่ายืนฟังทุกความคิดเห็นที่ปะทะกันอย่างรุนแรงในหัวของเธอ เธอกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด เธอมองไปที่รถแรคคูนที่บอบช้ำ... สัญลักษณ์สุดท้ายของอารยธรรมที่เธอจากมา แล้วหันกลับมามองใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความหวังของลินดา และแววตาที่ท้าทายของคราม
เธอตัดสินใจแล้ว...
[ลีน่า: ทุกคนฟังทางนี้] เสียงของเธอสงบนิ่งและเด็ดขาดจนทุกคนต้องเงียบ [เร็กซ์... เอลารา... ข้อกังวลของพวกคุณถูกต้องทุกอย่าง มันคือความเสี่ยงที่ไม่อาจประเมินค่าได้]
เธอหยุดไปชั่วครู่
[ลีน่า: แต่ไลรากับโอไรออนก็พูดถูกเช่นกัน... เราไม่ได้อยู่ที่นี่ในฐานะผู้พิชิต แต่ในฐานะผู้แสวงหาคำตอบ และตอนนี้... 'ความเชื่อใจ' คือทรัพยากรเดียวที่เรามีเหลืออยู่ การจะได้รับความเชื่อใจ... เราต้องกล้าที่จะแสดงความเปราะบางของเราก่อน]
[ลีน่า: เราจะยอมรับเงื่อนไขของเขา]
[เร็กซ์: ท่านผู้บัญชาการ!]
[ลีน่า: นี่คือคำสั่ง เร็กซ์! เตรียมอุปกรณ์ยังชีพและอาวุธเท่าที่จำเป็นสำหรับการเดินเท้า เราจะออกเดินทางในอีกสิบนาที]
ลีน่าตัดการสื่อสาร... และเงยหน้าขึ้นสบตากับครามโดยตรง
"ตกลง" เธอกล่าวช้าๆ ให้ลินดาได้แปล "เรา... ยอมรับ... บททดสอบ"

คำสั่งของลีน่าที่ให้ละทิ้งรถแรคคูนนั้นดังก้องอยู่ในความเงียบงัน มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนยานพาหนะ... แต่มันคือการสละ "โลกทั้งใบ" ที่พวกเขาเคยรู้จักทิ้งไว้เบื้องหลัง
บรรยากาศภายในรถแรคคูนที่เคยเป็นศูนย์บัญชาการ บัดนี้กลับกลายเป็นห้องแต่งตัวก่อนเข้าสู่ลานประหารที่เงียบเชียบ ไม่มีใครพูดอะไรที่ไม่จำเป็น ทุกคนต่างเคลื่อนไหวด้วยความตึงเครียดที่แทบจะจับต้องได้ พวกเขากำลังย้ายอุปกรณ์ที่จำเป็นที่สุดจากคลังเก็บที่กว้างขวาง... มาใส่ในกระเป๋าเป้สนามขนาดเล็กที่ดูไม่น่าจะปกป้องอะไรได้เลย
ดร. เร็กซ์ คือคนที่แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนที่สุด เขาไม่ได้โต้เถียงด้วยคำพูดอีกต่อไป แต่การกระทำของเขานั้นดังกว่าเสียงใดๆ เขาโยนแผงวงจรสำรองและเครื่องมือวิเคราะห์ใส่กระเป๋าอย่างกระแทกกระทั้น ดวงตาของเขากวาดมองไปทั่วห้องควบคุมที่คุ้นเคยราวกับจะจดจำทุกรายละเอียดของป้อมปราการที่เขากำลังจะทอดทิ้งไป เขากำลังทำตามคำสั่ง... แต่ในแววตาของเขามันฟ้องว่านี่คือการกระทำที่ขัดต่อสัญชาตญาณทหารทุกข้อที่เขาเคยเรียนรู้มา
ดร. เอลารา ยืนนิ่งอยู่หน้าชั้นวางอุปกรณ์ของเธอ เธอกำลังเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับนักวิทยาศาสตร์... เธอจะเลือกอะไรระหว่างเครื่องสแกนธรณีวิทยาระดับลึกที่หนักอึ้ง กับเครื่องวิเคราะห์สเปกตรัมของสสารที่เล็กกว่าแต่ก็ให้ข้อมูลได้น้อยกว่า? การต้องทิ้ง "ดวงตา" และ "สมอง" ส่วนใหญ่ของเธอไว้เบื้องหลัง ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะก้าวออกไปสู่โลกภายนอกในสภาพที่ตาบอดและหูหนวก
"ให้ตายสิ..." ดร. ศิลา พึมพำกับตัวเอง เขากำลังเลือกเก็บตัวอย่างเมล็ดพันธุ์ที่สำคัญที่สุดใส่ในภาชนะป้องกันขนาดเล็ก เขามองออกไปนอกหน้าต่างที่แตกร้าว... ไปยังป่าที่มืดมิดและน่าเกรงขาม ความตื่นเต้นที่เคยมีตอนที่ได้สัมผัสดินครั้งแรก บัดนี้ได้ถูกแทนที่ด้วยความยำเกรงอย่างแท้จริง เขาคือผู้ที่รักธรรมชาติที่สุด... แต่ธรรมชาติที่นี่มันดิบเถื่อนและยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาเคยจินตนาการไว้ในห้องทดลองที่ปลอดภัย
ลีน่ามองดูทีมของเธอที่กำลังเผชิญหน้ากับความกลัวในรูปแบบของตัวเอง เธอเองก็กลัว... กลัวจนหัวใจเต้นแรงอยู่ในอก... แต่ในฐานะผู้นำ เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะแสดงมันออกมา
"ทุกคน" เธอพูดขึ้น ทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด "ฉันรู้ว่ามันยาก... เราถูกฝึกมาให้เชื่อมั่นในเครื่องมือ ในข้อมูล ในระบบ... แต่ตอนนี้... สิ่งเดียวที่เราเชื่อมั่นได้ คือกันและกัน"
เธอเดินไปหยิบปืนพกพลังงานขึ้นมาเหน็บไว้ที่เอว "จากนี้ไป... ทำตามคำสั่งของฉัน และทำตามสัญญาณของคราม... อย่าแยกกลุ่ม... และอย่าไว้ใจอะไรทั้งนั้นนอกจากพวกเรากันเอง เราจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ และเราจะกลับมาที่นี่... กลับมาที่รถคันนี้อีกครั้ง"
คำพูดของเธอช่วยเรียกขวัญและกำลังใจที่กระจัดกระจายให้กลับคืนมาได้บ้าง... แต่ก่อนที่ใครจะได้ทันตอบรับ...
"โหกกกกกกกกกกกกกก!"
เสียงคำรามที่คุ้นเคยก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง! มันไม่ได้อยู่ไกล... แต่มันดังมาจากแนวป่าที่อยู่ไม่ห่างจากพวกเขามากนัก! มันคือเสียงของเสืออาถรรพ์ตัวนั้น! เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเกรี้ยวกราดจากการต่อสู้ที่ยังไม่จบสิ้น!
ทุกคนในรถแข็งค้างไปในทันที! ความกลัวที่เคยถูกกดไว้ด้วยเหตุผล บัดนี้ได้พวยพุ่งขึ้นมาจับขั้วหัวใจอย่างรุนแรง มันคือเครื่องตอกย้ำที่สมบูรณ์แบบที่สุด... ว่าข้างนอกนั่นไม่ใช่แค่ป่าที่ไม่คุ้นเคย... แต่มันคือสนามล่าของอสูรกายที่เทคโนโลยีของพวกเขาเอาชนะไม่ได้!
ลีน่าหันไปมองนอกรถ เธอเห็นครามและเหล่าพรานที่ยืนคุมเชิงอยู่ พวกเขาไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนก แต่กลับกระชับอาวุธในมือแน่นขึ้น แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่เยือกเย็น... พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับฝันร้ายนี้มาตลอด
ครามเหลือบมามองที่รถแรคคูน... เป็นการถามโดยไม่ต้องใช้คำพูด... "ยังจะมาอยู่อีกไหม?"
ลีน่าสูดหายใจเข้าลึกๆ... แล้วหันไปเผชิญหน้ากับทีมของเธอ
"ไปกันเถอะ" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด... "ได้เวลาออกเดินป่าแล้ว"

แกร๊ก...
เสียงประตูรถแรคคูนที่เลื่อนปิดลงเบื้องหลังนั้น ดังเหมือนเสียงฝาโลงที่ถูกปิดตาย มันคือเส้นแบ่งเขตแดนสุดท้ายระหว่างโลกที่พวกเขารู้จักกับความป่าเถื่อนที่แท้จริง บัดนี้... ไม่มีเกราะกำบัง ไม่มีระบบไฟฟ้าสำรอง ไม่มีเซ็นเซอร์ที่ทรงพลัง... มีเพียงร่างกายที่เปราะบางกับชุดทำงานที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการเดินป่า
ทันทีที่ก้าวออกมา ความเป็นจริงบทใหม่ก็ถาโถมเข้าใส่พวกเขาทันที อากาศที่เคยถูกกรองอย่างดีในรถ บัดนี้กลับหนาและหนักไปด้วยความชื้น กลิ่นดิน กลิ่นใบไม้เน่า และกลิ่นแปลกๆ ของเกสรดอกไม้ที่ไม่รู้จัก ปะปนกันจนแทบจะสำลัก พื้นดินที่ดูเหมือนจะราบเรียบกลับเต็มไปด้วยรากไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ใบไม้หนาทึบและหล่มโคลนที่พร้อมจะดูดรองเท้าไฮเทคของพวกเขาให้จมลงไป
ครามและเหล่าพรานของเขาไม่ได้รอให้พวกเขาปรับตัว พวกเขาเริ่มเคลื่อนที่ทันที และการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็คือบทเรียนแรกที่น่าสะพรึงกลัว... พวกเขา "หายไป"
พวกเขาไม่ได้วิ่ง แต่กลับเคลื่อนไหวไปตามเงามืดของพงไพรราวกับสายน้ำ แทบไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีการพูดคุย มีเพียงสัญญาณมือที่รวดเร็วและกระชับที่ทีมสำรวจไม่มีวันเข้าใจความหมาย ทิ้งให้ทีมของลีน่าต้องรีบเดินตามเงาตะคุ่มที่ผลุบๆ โผล่ๆ นั้นไปอย่างทุลักทุเล
"บ้าเอ๊ย! รักษาแนวไว้!" เร็กซ์กระซิบสั่งการผ่านระบบสื่อสารส่วนตัว เขารับหน้าที่เป็นหน่วยระวังหลังโดยอัตโนมัติ "ศิลา! เอลารา! อยู่ตรงกลาง! อย่าแตกแถว!"
แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เคยต้องเดินเท้ามาก่อนในชีวิต... มันคือนรกบนดินที่แท้จริง รองเท้าที่ออกแบบมาให้เดินบนพื้นผิวที่เรียบสนิทกลับลื่นไถลบนดินที่ชื้นแฉะ ศิลาเกือบล้มหน้าคะมำไปหลายครั้งเพราะมัวแต่เงยหน้ามองยอดไม้ประหลาด ในขณะที่เอลาราก็ต้องคอยปัดเถาวัลย์ที่เกี่ยวเข้ากับอุปกรณ์บนเป้ของเธออยู่ตลอดเวลา
แต่คนที่ทรมานที่สุด... คือโอไรออน
หากรถแรคคูนคือการฟังคอนเสิร์ตผ่านกำแพงหนา... การเดินเท้าในป่าก็คือการถูกจับไปยืนอยู่หน้าลำโพงขนาดยักษ์ที่เปิดเสียงดังสุด!
"อึก..." เขาครางออกมาเบาๆ
ทุกเสียง... มันดังและชัดเจนเกินไป เสียงใบไม้ที่เสียดสีกันดังเหมือนเสียงกระดาษทรายที่ขูดอยู่ในหู... เสียงแมลงที่ไม่รู้จักชื่อส่งเสียงหึ่งๆ ด้วยความถี่ที่ทำให้ปวดหัว... และที่เลวร้ายที่สุด... เสียงฝีเท้าของตัวเองที่ดัง "ตึบ...ตึบ" อยู่ในหัวราวกับเสียงกลอง... มันคือการทรมานจากข้อมูลที่มากเกินไป
"โอไรออน... ไม่เป็นไรนะ" ไลราเดินเข้ามาใกล้ๆ และแตะแขนเขาเบาๆ เธอทำหน้าที่เป็น "ตัวกรอง" ให้เขา "เสียงนั่น... แค่กิ้งก่าตัวเล็กๆ... ส่วนนั่น... แค่ลมพัด"
การเดินทางเต็มไปด้วยความหวาดระแวง พวกเขาไม่รู้เลยว่าเหล่าพรานกำลังนำทางไปที่ไหน ทุกครั้งที่ครามหยุดและทำสัญญาณมือ เร็กซ์ก็จะยกปืนขึ้นเตรียมพร้อมทันที ความไม่ไว้วางใจแขวนค้างอยู่ในอากาศที่หนักอึ้ง
ทันใดนั้น! ครามก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุดและหมอบลง!
"โหกกกกกก!"
เสียงคำรามของเสืออาถรรพ์ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง! มันไม่ได้อยู่ใกล้เหมือนครั้งก่อน... แต่ก็ไม่ได้ไกลพอที่จะทำให้รู้สึกปลอดภัย!
ทีมสำรวจทุกคนหมอบลงกับพื้นตามสัญชาตญาณ หัวใจของพวกเขาเต้นระรัวอยู่ในอก ความทรงจำที่โหดร้ายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนย้อนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง
"มันยังอยู่แถวนี้..." ลีน่ากระซิบ "มันกำลังล่า... ล่าคนที่ยิงธนูปริศนานั่น"
เธอเหลือบมองไปที่ครามและเหล่าพราน พวกเขาไม่ได้แสดงความหวาดกลัว แต่กลับเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ... แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพและความเกรงกลัวต่อ "เจ้าแห่งพงไพร" ตนนั้น
เมื่อเสียงคำรามเงียบหายไป ครามก็ทำสัญญาณให้เดินทางต่อ แต่ความเงียบที่กลับคืนมานั้นน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม... เพราะตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่า... ในเงามืดของป่าแห่งนี้... ไม่ได้มีแค่นักล่า... แต่มี "อสูรกาย" เดินปะปนอยู่กับพวกเขาด้วย

เสียงคำรามสุดท้ายของเสืออาถรรพ์ที่ค่อยๆ เงียบหายไปในความมืด ไม่ได้นำมาซึ่งความโล่งใจ แต่กลับทิ้งไว้ซึ่งความเงียบที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม มันคือความเงียบที่ตอกย้ำว่าพวกเขาได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งที่ไม่อาจหวนคืน... จากผู้สังเกตการณ์... มาเป็นเหยื่อที่กำลังถูกล่า
การเดินทางต่อจากนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นฝันร้ายที่จับต้องได้ ทุกย่างก้าวคือการต่อสู้กับโลกที่ไม่คุ้นเคยและเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรง
"ให้ตายสิ!" ดร. เอลารา สบถออกมาเบาๆ ขณะที่เธอต้องใช้มือปัดใยแมงมุมที่เหนียวหนืดและหนาเหมือนเชือกเส้นเล็กๆ ออกจากใบหน้าเป็นครั้งที่ร้อย "ในเมือง... อากาศจะถูกกรองจนไม่มีแม้แต่ฝุ่นละออง แต่ที่นี่... ทุกอย่างมันพยายามจะสัมผัสตัวเราตลอดเวลา"
แต่สำหรับไลรา มันคือการทรมานที่เหนือกว่านั้นมาก
ในดุษฎีนคร โลกของเธอคือพื้นผิวที่เรียบสนิทและคาดเดาได้ เธอสามารถ "อ่าน" ทั้งเมืองได้ผ่านแรงสั่นสะเทือนที่สม่ำเสมอของระบบใต้ดิน แต่ที่นี่... พื้นป่าคือผืนผ้าใบที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
"อึก..." เธอสะดุดรากไม้ที่มองไม่เห็นจนเกือบล้มลง โอไรออนที่เดินประคองอยู่รีบคว้าตัวเธอไว้
"เป็นอะไรไหม!"
"พื้น... มัน 'กรีดร้อง' ค่ะ" ไลรากระซิบ ใบหน้าของเธอซีดเผือด "มันไม่ใช่แค่ดินกับหิน... แต่ฉันรู้สึกได้ถึงรากไม้ที่แหลมคม, เปลือกหอยของสัตว์โบราณที่แตกละเอียด, และ... กระดูก... กระดูกของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ตายทับถมกันมานานหลายร้อยปี ทุกย่างก้าวที่ย่ำลงไป... มันเหมือนการเดินเหยียบเศษแก้วที่มองไม่เห็น"
ประสาทสัมผัสที่เคยเป็นพรสวรรค์ของเธอ บัดนี้ได้กลายเป็นคำสาป มันทำให้เธอ "รู้สึก" ถึงความตายและความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนดินทุกตารางนิ้ว
การเดินทางช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ความมืดที่โรยตัวลงมาอย่างรวดเร็วทำให้ป่าดูน่ากลัวขึ้นเป็นทวีคูณ เงาของต้นไม้บิดเบี้ยวราวกับอสูรกาย และทุกเสียงกรอบแกรบที่ดังขึ้นจากพุ่มไม้ก็ทำให้ทีมสำรวจที่อ่อนล้าต้องสะดุ้งสุดตัว
ครามหยุดเดินกะทันหัน เขาชี้ไปยังพื้นดินเบื้องหน้า... ที่ซึ่งมีรอยเท้าขนาดใหญ่... ใหญ่กว่ารอยเท้าของมนุษย์... ประทับอยู่บนดินที่ชื้นแฉะ
"มันย้อนกลับมา" ลินดาแปลคำพูดของพ่อเธอด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำ "มันไม่ได้หนีไป... แต่มันกำลัง 'วน' กลับมา... มันกำลังเล่นกับเรา"
ความจริงข้อนั้นทำให้เลือดในกายของทุกคนเย็นเฉียบ
"เราต้องหาที่พัก" ลีน่าตัดสินใจ "เราไปต่อในความมืดแบบนี้ไม่ได้"
ครามพยักหน้าเห็นด้วย เขาไม่ได้นำทางต่อไป แต่กลับเลี้ยวออกจากเส้นทางที่ดูเหมือนจะเป็นทางเดินหลัก และพาพวกเขาปีนขึ้นไปยังโขดหินขนาดใหญ่ที่อยู่สูงขึ้นไป ที่นั่นมี "ถ้ำ" เล็กๆ ที่เกิดจากรากของต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่ง มันคับแคบ... อับชื้น... และเต็มไปด้วยกลิ่นสาบของสัตว์ป่า... แต่มันก็คือที่กำบังเพียงแห่งเดียวที่พวกเขาหาได้ในตอนนี้
เมื่อทุกคนเข้ามาอยู่ในถ้ำจนครบ ครามและพรานอีกสองคนก็ใช้หินก้อนใหญ่กลิ้งมาปิดปากถ้ำไว้เกือบสนิท เหลือเพียงช่องเล็กๆ พอให้อากาศถ่ายเทได้... ขังพวกเขาไว้กับความมืดและความกลัวของตัวเอง
"นี่มันไม่ใช่ที่พัก..." เร็กซ์กระซิบอย่างเกรี้ยวกราดในช่องสื่อสารส่วนตัว "...นี่มันคือการขังตัวเองชัดๆ!"
และในความมืดที่สมบูรณ์แบบนั้นเอง... "เสียงกระซิบแห่งพงไพร" ก็ได้เริ่มต้นการแสดงของมันอย่างแท้จริง

ความมืดภายในถ้ำที่เกิดจากรากไม้ยักษ์นั้นสมบูรณ์แบบและหนักหน่วง มันคือความมืดที่ดูดกลืนทุกสิ่ง แม้กระทั่งความกล้าหาญ พวกเขานั่งเบียดเสียดกันอยู่ในพื้นที่คับแคบ กลิ่นดินชื้นและกลิ่นสาบของสัตว์ป่าที่เคยอาศัยอยู่ก่อนหน้าคละคลุ้งจนน่าอึดอัด หินก้อนใหญ่ที่ครามใช้ปิดปากถ้ำไว้เหลือเพียงช่องเล็กๆ พอให้อากาศถ่ายเท... และพอให้เสียงจากโลกภายนอกเล็ดลอดเข้ามาได้
ข้างนอกนั่น... ป่ายังไม่สงบ
แคร่ก...
เสียงกิ่งไม้แห้งที่ถูกเหยียบหักดังขึ้นเป็นระยะๆ ตามมาด้วยเสียงขู่คำรามในลำคอที่ทุ้มต่ำจนทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนเบาๆ เสือตัวนั้นยังไม่ไปไหน มันกำลังเดินวนเวียนอยู่รอบที่พักพิงชั่วคราวของพวกเขาเหมือนนักโทษที่กำลังเฝ้าคุก มันรู้ว่าเหยื่อของมันอยู่ข้างใน... และมันก็อดทนรอได้
"มันฉลาด" เร็กซ์กระซิบผ่านช่องสื่อสารส่วนตัว เสียงของเขาแหบพร่า "มันรู้ว่าเราไม่มีทางออก มันกำลังรอให้เราหมดความอดทนแล้วทำพลาด"
แต่แล้ว... ภัยคุกคามที่น่ากลัวยิ่งกว่ากรงเล็บและเขี้ยวที่มองเห็น... ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
มันเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบเชียบ... ไม่ใช่เสียงที่ได้ยินด้วยหู...
"อึก..." โอไรออนสะดุ้งสุดตัว เขายกมือกุมขมับที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ "มัน... มันมาแล้ว... 'เสียงกระซิบ'..."
"ฉันก็รู้สึกค่ะ..." ไลราพูดเสริม เธอขยับเข้าไปนั่งชิดกำแพงถ้ำราวกับจะหลอมรวมตัวเองเข้ากับผืนดิน "ความหนาวเย็น... มันกำลังคืบคลานเข้ามา... ไม่ใช่จากข้างนอก... แต่มาจากข้างในนี้"
สำหรับคนอื่นๆ มันคือความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้... จู่ๆ บรรยากาศในถ้ำก็หนักอึ้งขึ้น ความรู้สึกเศร้าสร้อยและสิ้นหวังเข้าเกาะกุมหัวใจอย่างไม่มีสาเหตุ ศิลานึกถึงสวนของเขาที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง... เอลารานึกถึงความล้มเหลวในการวิเคราะห์เสือตัวนั้น... มันคือความรู้สึกพ่ายแพ้ที่ค่อยๆ กัดกินจิตใจ
แต่สำหรับโอไรออนและไลรา มันคือการถูกจู่โจมโดยตรง
"มันไม่ใช่แค่เสียงเดียว..." โอไรออนพึมพำกับตัวเอง ดวงตาของเขากลอกไปมาอยู่ใต้เปลือกตา "มันคือเสียงของคนนับร้อย... ไม่สิ... นับพัน... พวกเขากำลังร้องไห้... กำลังหลงทาง... และกำลัง... โกรธแค้น... พวกเขากำลังถาม... ถามว่าทำไมถึงถูกทอดทิ้ง..."
นี่แหละคือภัยคุกคามที่แท้จริงของป่าแห่งนี้... ไม่ใช่เสือ... แต่คือผี... วิญญาณที่ถูกจองจำไว้ในสถานที่แห่งนี้
ครามและลินดาไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนก พวกเขาหยิบเครื่องรางที่ทำจากกระดูกสัตว์และหินสลักออกมาจากย่าม และเริ่มสวดบทสวดโบราณด้วยเสียงที่แผ่วเบา มันคือพิธีกรรมที่พวกเขาทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า... คือกำแพงแห่งศรัทธาที่เปราะบางที่ใช้ป้องกันตัวเองจากคลื่นแห่งความโศกเศร้า
"ช่วย... ด้วย..."
เสียงกระซิบที่แผ่วเบาและแตกสลายดังขึ้นในหัวของโอไรออน มันคือเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
"ไม่จริง..." ลีน่ากระซิบ เธอเห็นสีหน้าของโอไรออนที่บิดเบี้ยว "อย่าไปฟังมันนะ โอไรออน! มันคือกับดัก!"
แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว...
"อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!"
โอไรออนกรีดร้องออกมาสุดเสียง! เขาล้มลงไปชักกระตุกอยู่บนพื้นถ้ำ! ดวงตาของเขาเหลือกขึ้น เผยให้เห็นเพียงตาขาวที่น่ากลัว!
"โอไรออน!" ไลรากรีดร้อง เธอคลานเข้าไปหาพี่ชายฝาแฝดของเธอทันที แต่ทันทีที่เธอสัมผัสตัวเขา... เธอก็สะดุ้งสุดตัวและชักมือกลับ!
"ตัวเขา... เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง!"
 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.