บทที่ 44 แสงและความมืดที่ปะทะ
บทที่ 44 แสงและความมืดที่ปะทะ
ท่ามกลางทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน อาร์เธอร์ ผู้กล้าผมทองที่เพิ่งประกาศจะร่วมเดินทางกับเอเรน กลับก้าวเท้าเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีฟ้าครามของเขายังคงฉายแววแน่วแน่ แต่ในความแน่วแน่นั้น... กลับมีประกายบางอย่างที่เอเรนไม่อาจเข้าใจ เขารู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล แต่ก็ไม่อาจระบุได้ว่าคืออะไร
“ฉัน... จะไปกับนาย... เอเรน” อาร์เธอร์กล่าวซ้ำ น้ำเสียงของเขาหนักแน่น แต่ทว่าแฝงด้วยความเย็นยะเยือกที่ทำให้ขนบนแขนของเอเรนลุกชัน
เอเรนกำหมัดแน่นในขณะที่ความรู้สึกที่ไม่สบายใจเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ ทว่าเขายังคงพยายามที่จะเชื่อในคำพูดของผู้กล้าตรงหน้า “ยินดีต้อนรับสู่เส้นทางของฉัน... อาร์เธอร์”
ทันใดนั้นเอง! อาร์เธอร์กลับไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับ ชายหนุ่มเพียงแค่เงื้อดาบศักดิ์สิทธิ์ในมือขึ้นสูงเหนือศีรษะ ปลายดาบชี้ตรงมายังเอเรนอย่างไม่มีลังเล แสงสีทองสว่างวาบสะท้อนกับเกล็ดหิมะพร่างพราย ราวกับเป็นลางบอกเหตุแห่งภัยพิบัติครั้งใหม่ที่กำลังจะมาเยือน
“แกคิดว่าฉันจะพูดแบบนี้หรอ?” อาร์เธอร์เอ่ยเสียงเย็นเยียบ รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“ไอ้พวกนอกรีต! พวกแกไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่!”
ก่อนที่เอเรนจะได้ตั้งตัว อาร์เธอร์ก็พุ่งเข้าใส่ แทงดาบศักดิ์สิทธิ์เข้าใส่ร่างของเอเรนสุดแรง แสงสีทองพุ่งตรงมายังหัวใจของเอเรนราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาจากฟากฟ้า!
เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ โลกทั้งใบเงียบสงัดลง มีเพียงเสียงหัวใจของเอเรนที่เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่างกาย แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงความโกรธที่กำลังปะทุขึ้น
‘ถูกหลอกอีกแล้วงั้นหรือ’ เสียงของอีเร็นดังก้องอยู่ในห้วงสำนึกของเอเรน
‘เอเรน... หนีไป!’ ภาพของลีร่าโผล่ขึ้นมา
เอเรนหลับตาลงอย่างรวดเร็ว เขารวบรวมพลังทั้งหมดที่มี เรียกดาบนิล อีเร็น ขึ้นมาในมือ ดาบนิลปรากฏขึ้นพร้อมกับเปลวเพลิงสีดำอมแดงที่ลุกโชนออกมาจากตัวเขาอย่างรุนแรง เขาสะบัดดาบสวนกลับไปอย่างสุดแรง แสงแห่งความมืดและความหวังปะทะกันอย่างรุนแรงกลางทุ่งหิมะ ทำให้เกิดแรงระเบิดมหาศาลที่สั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ
เสียงปะทะกึกก้องไปทั่วสารทิศ แรงอัดมหาศาลจากการปะทะทำให้หิมะรอบข้างกระเจิงออกไปทุกทิศทาง ทิ้งไว้เพียงหลุมขนาดใหญ่ใจกลางสนามรบชั่วคราวแห่งนี้ เอเรนและอาร์เธอร์ต่างกระเด็นถอยหลังไปคนละทาง
อาร์เธอร์เช็ดเลือดที่มุมปาก ดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความอำมหิต “แก... แกแข็งแกร่งขึ้นมากเลยนะ... ไอ้ปีศาจ!”
เอเรนไม่ตอบ เขาหายใจหอบถี่ พลังแห่งความมืดที่เขาใช้ไปนั้นทำให้ร่างกายของเขาอ่อนล้าอย่าง
ภายในห้องโถงกว้างของปราสาทแห่งเหมันต์ แม็กนัส ยืนอยู่ท่ามกลางแสงสลัวจากคบไฟ ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังกลางห้อง ซึ่งบัดนี้เป็นที่ตั้งของแท่นเวทมนตร์เรืองแสงสีฟ้าอ่อนๆ เบื้องบนแท่นนั้นคือร่างของ ลีร่า ที่นอนสงบนิ่ง ดวงตาปิดสนิทราวกับหลับใหล ส่วน เซเลเน่ ก็นอนหลับอย่างสงบอยู่ข้างๆ เธอถูกพันธนาการไว้ด้วยเวทมนตร์แห่งน้ำแข็งที่ดูบอบบางแต่แข็งแกร่งราวกับใยแก้ว
แม็กนัสยิ้มบางๆ อย่างพึงพอใจ “ในที่สุด...” เขากระซิบเสียงแผ่ว
“แผนการของข้าก็ใกล้จะสำเร็จแล้ว”
เขาก้าวเข้าไปใกล้ลีร่า มือของเขาเปล่งแสงเวทมนตร์สีขาวออกมา แล้ววางลงบนหน้าผากของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา
“วิญญาณของเจ้า... ลีร่า... สามารถนำออกมาได้ง่ายดาย...” แม็กนัสพึมพำ “แต่กับเจ้า... เซเลเน่...”
เขาหันไปมองเด็กหญิงผมขาว ดวงตาสีฟ้าครามของเขากลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง “วิญญาณของเจ้า... แข็งแกร่งเกินไป... และพลังของเจ้า... ก็ยังเป็นปริศนาที่ข้าไม่อาจเข้าใจได้”
แม็กนัสถอนหายใจอย่างอ่อนแรง “แต่ไม่เป็นไร... ในไม่ช้า... เจ้าก็จะกลายเป็นเหมือนกับลีร่า... และข้า... ก็จะสามารถที่จะควบคุมเจ้าได้อย่างสมบูรณ์”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองลีร่าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเมตตาและเศร้าสร้อย “ข้า... ขอโทษนะ ลีร่า...” เขากระซิบเบาๆ
“แต่ข้า... ไม่มีทางเลือก...”
คำพูดสุดท้ายของแม็กนัสทำให้ร่างของลีร่าที่หลับอยู่สั่นไหวเล็กน้อยราวกับรับรู้ถึงสิ่งที่เขากำลังพูด


แสดงความคิดเห็น