ชีวิตคริสเตียนที่สมดุล บทที่ 1 เราจะอยู่อย่างไรในยุคนี้?

-A A +A
ชีวิตคริสเตียนที่สมดุล บทที่ 1 เราจะอยู่อย่างไรในยุคนี้?

ชีวิตคริสเตียนที่สมดุล บทที่ 1 เราจะอยู่อย่างไรในยุคนี้?

ความจริงที่ต้องรู้มี 4 ประการ

1.1. ชีวิตของมนุษย์นั้นมีเพียงชีวิตเดียว

 

ฮีบรู 9:27-28 กล่าวไว้ว่า “ตามที่มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด , พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือพระองค์ทรงถวายพระองค์เอง เป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนจำนวนมากไว้”

 

มีความหมายว่า มนุษย์นั้นไม่มีการกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง การที่ผู้คนส่วนมากมักชอบเห็นว่าญาติของตนกลับมาเข้าฝันนั้น แท้จริงแล้ว เป็นฝีมือของมารซาตาน ซึ่งมันนั้นเกิดมาก่อนมนุษย์ เป็นเหล่าทูตสวรรค์ที่คิดกบฏต่อพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงมีแผนการ จึงได้ทรงอนุญาติให้มารซาตานเข้ามาล่อลวงมนุษย์ให้หลงผิด กราบไหว้และเคารพพวกมัน

มารซาตานนั้นด้วยว่าอยู่มาตั้งแต่อดีตกาล มันจึงรู้ทุกสิ่งอย่างที่มนุษย์คนนั้นๆเป็น ทั้งความชอบ ความไม่ชอบ อุปนิสัยต่างๆ เมื่อมนุษย์ผู้ใดได้สิ้นไปแล้ว มันจะแปลงร่างวิญญาณของตนให้เหมือนกับคนผู้นั้น และตามไปหาเหล่าญาติพี่น้องของคนนั้น เพื่อล่อลวงให้บูชาและถวาย กราบไหว้ราวกัเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงระมัดระวังสภาพจิตใจของท่านอยู่เสมอ เพราะผู้ตายนั้น

เมื่อตายไปแล้ว วิญญาณจะถูกส่งไปพิพากษา มิใช่วนเวียนอยู่ในโลกอย่างที่ผู้คนคิดกัน พวกเขาจะถูกส่งไปพิพากษาโดยพระเจ้าผู้สร้าง เพื่อส่งดวงวิญญาณไปในภพภูมิที่เหมาะสม

สำหรับการถวายชีวิตของพระเยซูคริสต์เพื่อไถ่บาปมุษย์ ก็เพื่อให้มนุษย์ที่ได้เชื่อในความรักที่ยอมตายบนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ได้พ้นต่อบาป ห่วงกรรม คำแช่งสาป และของมลทิน ของต่ำในไสยเวทย์ ความรักของพระเจ้าที่ทรงสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ รับรู้ความเจ็บปวดเฉกเช่นเดียวกันกับมนุษย์ ก็เพื่อให้พระเจ้าได้เข้าใจมนุษย์และรักในมนุษย์ยิ่งขึ้น

ด้วยความรักของพระเจ้าและของพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ ที่ยอมเสียสละชีวิตของพระองค์ ตามเพื่อพวกเรา ทั้งที่พระองค์นั้นสามารถที่จะหนีได้ แต่กลับยอมถูกจับ เฆี่ยนตี ทำร้ายร่างกาย ทำร้ายสภาพจิตใจ เพื่อมนุษย์อย่างเราที่เห็นแก่ตัวและทำบาปทุกเวลา การพลีชีพของพระองค์นั้น มนุษย์จึงได้รับการปลดปล่อยและพบหนทางสว่างที่แท้จริงของโลกนี้ มิใช่เพียงเรื่องแต่ง

แต่เป็นความจริงที่ได้บันทึกมากว่า ห้าพันปีก่อนคริสตศักราช หลังจากนั้นสามวัน พระองค์ทรงได้เป็นขึ้นจากตายในร่างกายใหม่ และสั่งสองเหล่าสาวกของพระองค์ให้บอกกล่าวความจริงนี้ เพื่อนำมนุษย์ให้พ้นจากบ่วงคำสาปแช่งทั้งหลาย เพียงครั้งเดียวของการสละชีพของพระองค์ มนุษย์มากมายจึงได้รับความรอด และพ้นจากเวรกรรม บ่วงคำสาปแช่ง และคุณไสยมนต์ดำ ของต่ำสกปรก สิ่งมากมายที่สร้างความหวาดกลัวให้มนุษย์และการหลงผิด เพราะพระเยซูคริสต์ได้แบกรับความมืดมิดนั้นไว้ที่การตายบนไม้กางเขนของพระองค์แล้ว

 

มัทธิว 5:13-16 กล่าวไว้ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไร ตั้งแต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ , ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะถูกปิดบังไว้ไม่ได้ เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในบ้านนั้น , ทำนองเดียวกัน พวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”

 

มีความหมายว่า พวกเราทุกคนเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลกใบนี้ และค่าของเรามากมายยิ่งกว่าสิ่งทั้งปวง มนุษย์นั้นเลิศดีที่สุดยิ่งกว่าสัตว์และรูปปั้น อย่าได้ทำให้ตัวเองตกต่ำลงเพราะรูปเคารพอันไร้ค่าที่ไร้เลือดเนื้อ พูดไม่ได้ ตอบไม่ได้ คิดเองไม่ได้ กินเองไม่ได้ อย่าทำให้ตัวเองตกต่ำกว่าสัตว์ ที่เป็นได้เพียงสัตว์เลี้ยง สัตว์ใช้งาน สัตว์ที่เป็นอาหาร

อย่าเคารพสิ่งที่ตอบไม่ได้ หากินเองไม่ได้ ไม่มีทรัพย์สมบัติเป็นของตัวเอง แต่พระเจ้าทรงตอบเราได้ ทรงอิ่มหนำสำราญ และทรงมั่งคั่งมั่งมี เพราะมนุษย์สูงส่งยิ่งกว่าสิ่งใด และมนุษย์นั้นมีลมปรารจากพระเจ้า มีพระฉายาของพระเจ้า มีความงดงามและน่าพิศวงอย่างเช่นที่พระเจ้ามี

พวกเราเป็นสิ่งมีค่าจงอยู่อย่างมีค่า อยู่ในทางที่ถูกต้อง เป็นผู้ชักนำผู้อื่นไปในทางที่ถูกต้อง ทำความดีตอบแทนความชั่ว แม้จะต้องเจ็บปวด แต่จงทำเพื่อความดีของเรานั้นจะส่งผลให้พระเจ้าพึงพอใจ และยกเราขึ้นในจุดสูงสุด เราจะเป็นผู้นำที่ดีและมีค่าสำหรับสายพระเนตรของพระเจ้า

เราทำดีไม่ใช่เพื่อมนุษย์คนอื่น แต่เพื่อให้พระเจ้าพึงพอใจและรักเรา ยกชูเราขึ้น ทั้งความรักจากคนรอบข้าง สติปัญญาอันเฉียบแหลม อำนาจความมั่นคง ทรัพย์สินเงินทอง และพระเจ้าจะเสริมสร้างจิตใจที่อ่อนโยนและเข้มแข็งให้กับเรา อย่าหวาดหลัว เพราะพระเจ้าของเรานั้นยิ่งใหญ่ และทรงมีฤทธิ์อำนาจยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งปวง จนมั่นใจและก้าวเดินไปตามทางของพระองค์

 

1.2. โลกใบนี้ ไม่ใช่บ้านเกิดของเรา

 

1 เปโตร 2:11-13 กล่าวไว้ล่า “ท่านที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องพวกท่านผู้เป็นคนแปลกถิ่นและคนต่างด้าว ให้เว้นจากตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งต่อสู้กับวิญญาณจิต , จงรักษาความประพฤติอันดีของพวกท่านไว้ ในหมู่คนต่างชาติ เพื่อว่าเมื่อพวกเขาใส่ร้ายพวกท่านว่าประพฤติชั่ว พวกเขาจะได้เห็นคุณความดีของพวกท่าน และจะได้สรรเสริญพระเจ้า ในวันที่พระองค์เสด็จมาเยือน , พวกท่านจงยอมเชื่อฟังผู้มีสิทธิอำนาจ เพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นจักรพรรดิผู้มีอำนาจ”

 

มีความหมายว่า พวกเราทุกคนจงกระทำการดี เว้นห่างจากความบาปที่มี ที่คอยยื้อแย่งกับจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ของเรา เพื่อให้การกระทำดีนั้น ได้รับชัยชนะ เพื่อพระเจ้าจะได้พอพระทัย และผู้คนที่มองเราในทางที่ไม่ดี มองอคติ จะได้มองเห็นความดีที่เรากระทำ

ความดีของเราจะเป็นเกราะคุ้มกันภัยจากผู้ที่ทำร้ายเราในทุกทาง รอบด้านของเราจะเต็มไปด้วยเกราะกำบัง ไม่ว่าจะเป็นใคร คนไหน ชาติไหน จงทำดีเพื่อให้เขาเห็น ต่อให้เขาจะด่าว่าเรา ก็จงกระทำการดีตอบเพื่อเห็นแก่หน้าของพระเจ้าผู้สูงสุด

จงยอมเป็นคนเชื่อฟัง แต่ไม่ใช่หัวอ่อน จงทำตามกฏระเบียบต่างๆ และไม่ทำการอันเสื่อมเสียที่จะส่งผลต่อตัวเองและผู้อื่น เพื่อเห็นแก่พระเจ้าไม่ใช่เห็นแก่มนุษย์ เพื่อให้พระเจ้าได้รับเกียรติ และเกียรติของพระเจ้านั้นจะอยู่ที่เรา ผู้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

 

1 ยอห์น 2:15-17 กล่าวไว้ว่า “อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น , เพราะว่า ทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา แลความทะนงในลาภยศไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก , และโลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์”

 

มีความหมายว่า โลกใบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดเป็นที่ตั้ง สิ่งของในโลกมีวันสูญสลาย ทุกคนสามารถใช้โลกใบนี้เพื่อมีทุกสิ่งอย่างที่ต้องการ แต่อย่าหลงใหลกับสิ่งเหล่านั้นมากจนเกินไป เพราะความต้องการของมนุษย์นั้นมีไม่สิ้นสุด

อย่าเอาแต่นึกห่วงทรัพย์สินเงินทอง แต่จงใช้ทรัพย์สินเงินทองให้เกิดประโยชน์ในทางที่เหมาะสมอย่างสูงสุด อย่าให้มันทำร้ายตัวเราเอง อย่าห่วงบ้านหรือที่ดิน เพราะสุดท้ายมันก็จะถูกส่งต่อให้กับผู้อื่น ปล่อยให้มันเป็นไปตามอย่างนั้น และจงใช้ที่ดินทำสิ่งที่ดีเยี่ยมที่สุดเพื่อผลประโยชน์ต่อผู้คนในอนาคต ทุกอย่างในโลกมีดับสูญ รวมถึงอายุขัยของร่างกาย แต่จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์นั้นจะอยู่ต่อไปชั่วนิรัดร์บนแผ่นดิยสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด

ฟีลิปปี 3:20 กล่าวไว้ว่า “แต่เราเป็นพลเมืองแห่งสวรรค์ และเรารอคอยผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า”

 

มีความหมายว่า มนุษย์นั้นเกิดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราเป็นของพระเจ้ามาตั้งแต่อดีตกาล ก่อนเราเกิด พระเจ้าทรงสร้างพวกเราไว้ เพื่อให้แผนการทั้งหมดสมบูรณ์ พวกเราไม่ได้เกิดจากผีวิญญาณเร่ร่อน ชดใช้กรรม แต่เรานั้นเป็นจิตวิญญาณจากสวรรค์ เราเป็นคนจากโลกสวรรค์ ไม่ใช่คนจากนรกตามที่คิดกัน

พวกเรานั้นอยู่ในโลกนี้เพื่อให้แผนการช่วยเหลือมนุษย์สำเร็จโดยพระเจ้าที่ทรงส่งพระเยซูริสต์ลงมาตายบนกางเขนเพื่อไถ่บาปมนุษย์

 

2 เปโตร 3:10-14 กล่าวไว้ว่า “แต่วันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงอย่างขโมย และในวันนั้น ฟ้าจะหายลับไปด้วยเสียงดังกึกก้องและโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่บนนั้นจะถูกเผาจนหมดสิ้น , เมื่อเห็นแล้วว่าทุกสิ่งจะต้องสลายไปเช่นนี้ พวกท่านควรจะเป็นคนแบบไหนในการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์และที่ยำเกรงพระเจ้า , จงเฝ้ารอและเร่งวันของพระเจ้าให้มาถึง ซึ่งวันนั้นท้องฟ้าจะถูกเผาจนสลายไป และโลกธาตุก็จะสลายไปด้วยไฟ , แต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น เราจึงคอยท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ความชอบธรรมจะดำรงอยู่ , เพราะฉะนั้น ท่านที่รักทั้งหลาย เมื่อพวกท่านกำลังคอยและเร่งสิ่งเหล่านี้อยู่ ก็จงให้พระองค์ทรงพบพวกท่านมีใจสงบ ปราศจากมลทินและข้อตำหนิ”

 

มีความหมายว่า ในวันที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมายังโลกอีกครั้งนั้น พระองค์จะทรงมาอย่างเงียบเฉียบ ไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ และท้องฟ้าจะมีแสงแดดแรงเจิดจ้า อุณหภูมิทั่วทั้งโลกจะร้อนระอุ และถูกเผาไหม้ แต่ก่อนหน้านั้นเอง พระองค์จะทรงรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ และเดินตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างสุดหัวใจขึ้นไปยังแผ่นดินสวรรค์ที่ได้จัดเตรียมที่อยู่ไว้เพื่อพวกเรา

ก่อนจะถึงวันที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมานั้นเอง พวกเราจงทำความดีพร้อม ใช้ชีวิตอย่างบริสุทธิ์กับครอบครัวของเรา ญาติพี่น้องของเรา เพื่อนของเราทุกคน จงเข้าใจในพระคัมภีร์ จงอธิษฐานเพื่อผู้อื่นในแง่ดี จงเติมเต็มช่องว่างของทุกคน จงรักและเข้าใจคนรอบตัว จงโกรธช้าและหายเร็ว

จงสร้างเด็กให้เข้าใจถึงชีวิตที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้เขา จงให้พวกเราและคนรุ่นใหม่รวมถึงคนรอบตัวเรา กระทำการดีพร้อมเพื่อเมื่อถึงวันที่พระเยซูเสด็จลงมาจากฟ้าสวรรค์นั้น จะพาจิตวิญญาณของเราไปพร้อมกับคนที่เรารักไปด้วย อย่าให้มีใครถูกทิ้งไว้บนโลกอันแสนน่ากลัวในอนาคตที่จะถึงนั้นเลย

 

1.3. คริสเตียนเป็นผู้ที่ตายต่อโลกและตายต่อบาปแล้ว

 

กาลาเทีย 6:20 ; 2:20 ได้กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าไม่ขออวดอะไร นอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ซึ่งโดยการเขนนั้นโลกได้ตายจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ได้ตายจากโลก” และ “ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า”

 

มีความหมายว่า พวกเรานั้นได้ออกจากทางที่โลกบังคับเราไว้แล้ว ออกห่างจากสิ่งที่โลกหยิบยื่นให้ ไปในทางที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้แล้ว โลกใบนี้นั้น พวกเรายังคงอยู่ต่อไป เพื่อทำตามแผนการน้ำพระทัยของพระเจ้า ชีวิตของเรานั้นดำรงอยู่ได้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้านั้นดำรงอยู่กับเรา

นำพาพวกเราให้ได้พบทางที่เหมาะสมสำหรับพวกเราบนโลกใบนี้ เราออกห่างจากความบาปและสิ่งที่ยั่วยวนมากจนเกินไปของโลก เพื่อให้โลกทำงานเพื่อเรา มากกว่าเราทำงานเพื่อโลก พวกเรากำลังทำงานให้พระเจ้า เพื่อให้แผนการของพระองค์สำเร็จ และเพื่อที่แผ่นดินสวรรค์และโลกจะเต็มไปด้วยเสียงสรรเสริญพระเจ้าผู้สูงสุด

จากการวายพระชนม์ของพระเยซูคริสต์นั้น ทำให้มนุษย์ได้รอดจากสิ่งที่โลกล่อลวง จากมารซาตานที่คอยควบคุมอยู่เบื้องหลัง เรามีชีวิตอยู่เพื่อโอ้อวดพระเจ้าผู้สูงสุด ไม่ใช่โอ้อวดในความสามารถอันมีขีดจำกัดของตัวเอง อยู่เพื่อให้พระเจ้าได้ใช้เราอย่างสูงสุด ยกชูเราเพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ถึงฤทธิ์เดชอันมากมายของพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าสูงสุด ผู้ทรงรักพวกเราและยกชูเรา ปกป้องเราโดยไม่ทำร้ายเรา ไม่ต้องเซ่นไหว้ เพราะพระองค์ทรงอุดมสมบูรณ์ พระองค์จะทรงยกชูเราจนสุดแขนเหยียดถึง

 

โรม 6:11 กล่าวไว้ว่า “ในทำนองเดียวกัน พวกท่านจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าโดยพระเยซูคริสต์”

 

มีความหมายว่า พวกเราจะต้องถือว่าพวกเรานั้นได้ตายต่อบาปทั้งมวลที่ผู้คนยังเป็นอยู่ จงถือสติครองไว้เสมอว่าพระเจ้าได้อาบร่างใหม่ที่บริสุทธิ์ให้กับเราแล้ว จงมีครอบครัวที่บริสุทธิ์จากพระเจ้า จงดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์เพื่อพระเจ้า จงหลีกหนีจากความดำมืด ไสยเวทย์มนต์ดำ เพื่อครอบครองชีวิตให้ไม่ตกต่ำ เพื่อให้ชีวิตนั้นได้อยู่ในจุดสูงสุด เพื่อพระเจ้าจะมองเห็นและอุ้มชูเราโดยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์

และให้ใช้ชีวิตในการเข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า ผ่านทางชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่ได้เขียนบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ จงติดสนิทกับพระองค์ มองพระองค์ราวกับพี่ชายที่แสนดีและอ่อนโยนที่มองหาที่ไหนไม่ได้อีก จงมองพระองค์ราวกับคนรักเพียงคนเดียวของเรา และไม่หันเหไปรักพระที่ใดอีก จงอย่านอกใจและหลงผิดทอดทิ้งพระเยซูคริสต์ที่ยอมสละชีวิตทั้งชีวิตของพระอง์เพื่อเรา ตามน้ำพระทัยของพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด

พระองค์ไม่เคยหวังสิ่งใดตอบแทน พระองค์ไม่ทำร้ายแม้ลกของพระองค์จะโกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทำร้ายจิตใจของพระองค์ พระองค์ไม่เคยสาปแช่ง ไม่เคยคิดเอาชีวิตแม้เราไม่กลับมาหาพระองค์ ทูตสวรรค์ของพระองค์จะยังคงปกป้องเราเสมอ จงออกหาจากความมืดดำทั้งปวง เพื่อชีวิตของท่านจะเป็นพรอันสว่างงดงามแก่ผู้อื่น

 

1.4. พระเยซูใกล้จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

 

2 โครินธ์ 5:9-10 กล่าวไว้ว่า “ฉะนั้น เราตั้งเป้าว่าจะอาศัยอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือจะจากไปก็ดี เราก็จะเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย , เพราะว่าเราทุกคนจำเป็นต้องปรากฏตัวต่อหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งที่สมกับการกระทำในกายนี้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว”

มีความหมายว่า ในที่สุดแล้ว มนุษย์นั้นจะต้องผ่านทางของพระเจ้าก่อนเป็นที่แรก เพื่อรับการพิพากษาต่อสิ่งที่เคยกระทำมา โดยไม่ว่าจะมาจากที่ใด ศาสนาใด จะต้องเข้าพบพระเจ้าเพียงผู้เดียวเพื่อรับการพิพากษา หากเป็นคนของพระองค์ และกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าและเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วนั้น พระองค์จะทรงจัดเตรียมแผ่นดินสวรรค์ไว้ให้

แต่หากไม่ใช่แล้วนั้นพระเจ้าจะทรงพิจารณาถึงเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา แม้จะเป็นคนชั่วร้ายบนโลกแต่หากเชื่อในพระเจ้าแล้ว พระองค์จะทรงส่งเขาผู้นั้นเข้าไปยังแผ่นดินสวรรค์ ตรงนี้นั้นต้องขอบอกให้เข้าใจทั่วถึงกันว่า พระเจ้านั้นจะไม่รับผู้ที่ไม่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต่อให้คนผู้นั้นทำความดีมามากแค่ไหน ถวายมากแค่ไหน รักผู้อื่นมากแค่ไหน หากไร้ซึ่งความรักและความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ถือว่าเป็นผู้ที่ติดอยู่ในความมืดและผู้ที่จะรับเขาผู้นั้นไป ก็คือมารซาตาน หรืออีกชื่อหนึ่งคือยมทูตแห่งนรก

แม้แต่คนบาปยังสามารถก้าวเข้ามาในแผ่นดินสวรรค์ได้ นั่นเป็นเพราะคนผู้นั้นเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าที่ได้ยอมสละชีวิตตายลงที่บนไม้กางเขน ความเจ็บปวดทรมานที่มนุษย์เท่านั้นที่รู้ และเมื่อผู้ใดรับรู้และเข้าใจ เชื่อในความตายที่ยอมเสียสละได้แม้แต่ชีวิต เพื่อมนุษย์คนบาปที่ทอดทิ้งพระองค์ ผู้นั้นจึงจะได้ก้าวเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ ประตูหินที่เปิดกว้าง และอ้อมแขนของพระเจ้ารอรับท่านที่หลังประตูนั้น

 

1 เธสะโลนิกา 4:13-18 ; 5:1-11 กล่าวไว้ว่า “พี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านขาดความเข้าใจเรื่องคนที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้า อย่างคนอื่นๆที่ไม่มีความหวัง , เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้นมากับพระองค์ , ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราขอบอกพวกท่านข้อนี้ว่า เราที่ยังมีชีวิตอยู่และคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่ล่วงหน้าไปก่อนพวกที่ล่วงหลับไปแล้ว , คือว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยเสียงเรียกของหัวหน้าทูตสวรรค์และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และทุกคนที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน , หลังจากนั้นพระเจ้าจะทรงรับพวกเราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ เพราะฉะนั้น จงหนุนใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด”

และ “พี่น้องทั้งหลาย เรื่องวันเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้น ไม่จำเป็นต้องเขียนบอกให้ท่านรู้ , เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะมาอย่างขโมยในเวลากลางคืน , เมื่อเขาพูดกันว่า “สงบสุขและปลอดภัยแล้ว” เมื่อนั้นแหละ ความพินาศก็จะมาถึงทันที เหมือนกับความเจ็บปวดมาถึงหญิงมีครรภ์ พวกเขาจะหนีก็ไม่พ้น , แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่อยู่ในความมืดแล้ว วันนั้นไม่น่าจะมาถึงท่านอย่างขโมยมา , ท่านทุกคนเป็นลูกของความสว่าง และเป็นลูกของเวลากลางวัน เราไม่ได้เป็นของกลางคืนหรือของความมืด , เพราะฉะนั้น เราอย่าหลับเหมือนอย่างคนอื่น แต่ให้เฝ้าระวังและมีสติ , เพราะว่าคนนอนหลับก็ย่อมหลับในเวลากลางคืน และคนเมาก็ย่อมเมาในเวลากลางคืน , แต่เมื่อเราเป็นของเวลากลางวันแล้วก็ให้เรามีสติ จงสวมความเชื่อกับความรักเป็นเกราะป้องกันอก และสวมความหวังที่จะได้ความรอดเป็นหมวกเหล็ก , เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดเราไว้สำหรับพระพิโรธ แต่สำหรับการรับความรอด โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา , ผู้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่าถึงจะตื่นอยู่หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์ , เพราะฉะนั้นจงหนุนใจกัน และต่างคนต่างจงเสริมสร้างกันขึ้น ตามอย่างที่พวกท่านกำลังทำอยู่นั้น”

 

ในบทนี้นั้น จะให้แตกความออกมาทั้งหมด ก็คงจะยาวยืดจนทำให้พวกคุณหลับคาโทรศัพท์มือถือเอาได้ ทางเราขอเขียนโดยย่อให้พอแตกความออกมา อย่างสั้นๆ ว่า สำหรับในเธสะโลนิกาบทที่ 4 แตกความหมายย่อได้ว่า เปาโลนั้นกำลังจะบอกถึงเรื่องของการล่วงลับของคนตาย และคนที่จะล่วงลับตามไป โดยที่หลังจากพระเยซูเสด็จมายังโลกนั้น ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ได้ลาจากโลกไปนั้น จะได้ฟื้นคืนขึ้นมาก่อน ซึ่งพวกเขานั้นจะเป็นคนที่เสียชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้น พวกเขาจะฟื้นขึ้นมาและพระเจ้าจะทรงรับพวกเขาไปก่อน

หลายคนสงสัยหลังจากอ่านมาจากบทความหมายข้างต้นว่า พระเจ้าจะพิพากษาวิญญาณคนที่ตายไปแล้ว และพวกเขากลับคืนมาได้อย่าไร ในที่นี้ขออธิบายเพิ่มเล็กน้อยว่า ในช่วงที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมายังโลกนั้น พระเจ้าจะทรงทำการอัศจรรย์แสนยิ่งใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย โดยการให้วิญญาณของผู้ตายที่เชื่อในพระองค์ยังคงอยู่ในระหว่างประตูพิพากษา นั่นหมายความว่า พวกเขาจะถูกพิพากษาให้เข้าแผ่นดินสวรรค์หรือไม่ ก็จะตัดสินกันจากเหตุการณ์นี้

ซึ่งตอนนั้น พวกเราก็คงได้อยู่ในแผ่นดินสวรรค์แล้ว ก็ยังไม่ถึงยุคของพวกเรานี่น่า แต่ถ้าหากบทความนี้นานพอ ก็คงจะมีคนรุ่นใหม่เข้ามาเห็นก็ได้ ซึ่งพระเจ้าจะทรงสำแดงฤทธิ์เดชแก่มนุษย์ และทั้งโลกจะมองเห็นพระองค์ผ่านการถ่ายทอดสด ระบบสัญญาณทีวีและอินเทอร์เน็ต น่าอัศจรรย์ใจใช่มั้ย ซึ่งมันได้มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์วิวรณ์ หากใครอยากรู้ ก็หาอ่านในพระคัมภีร์บทวิวรณ์กันดูล่ะกัน

และเมื่อพระเจ้าส่งวิญญาณที่ถูกเลือกลงมาคืนชีพแล้ว พวกเขาจะถูกรับขึ้นไปก่อน แล้วตามด้วยมนุษย์ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะถูกรับไปโดยที่ยังไม่ตาย นั่นก็คือภาวะจิตออกจากร่างอย่างฉับพลัน และไม่ต้องห่วง คนที่ถูกเลือกนั้นจะขึ้นไปบนแผ่นดินสวรรค์อย่างถาวรพร้อมรูปลักษณ์หน้าตาที่งดงามราวกับบนโลกนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว แน่นอนสิ พวกคุณจะเป็นสิ่งที่ผู้คนชอบเรียกกันว่า งามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ หล่อเหลาราวกับเทพบุตรจุติ นั่นเอง

และส่วนผู้ที่ไม่ถูกรับขึ้นไป เป็นเพราะเขานั้นไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาจะพบกับความอดอยาก หิวโหย แร้นแค้น และเผชิญกับภัยพิบัติทางะรรมชาติ ที่พระเจ้าสร้างไว้ และพระเจ้าได้เขียนไว้ในวิวรณ์จุดหนึ่งว่า พวกเขาจะไม่ตายแม้จะอดอยากอาหาร ซึ่งน่ากลัวมาก คงจะไม่อยากจินตนาการภาพกันเรื่องนี้แน่

ในเธสะโลนิกา บทที่ 5 นั้น ความหมายโดยย่อนั้น เปาโลได้บอกว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องเขียนวันเวลาและปีที่แน่นอนของเหตุการณ์นั้น เพราะมันจะเกิดขึ้นในช่วงที่โลกสงบมากที่สุด ซึ่งหมายความว่า โลกในตอนนั้น จะอุดมสมบูรณ์ ผู้คนจะสะดวกสบาย ไม่ขาดแคลน ไม่ต้องพบกับสงคราม เรื่องวิวาท ในตอนนั้นแหละ ให้คนของพระเจ้าตื่นตัวกับเหตุการณ์อันสงบนั้นไว้ให้ดี

ขอบอกไว้สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ได้อ่านบทความนี้ ฉันเขียนมันในวันที่ 6 เดือนสิงหาคม ปีคริสตศักราชที่ 2020 จงระแวดระวังและศึกษาพระคัมภีร์ของพระเจ้าไว้อย่างสม่ำเสมอ อธิษฐานและเดินตามทางที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้คุณ อย่าเผลอหลับในยามที่ขโมยย่องเข้ามาในบ้าน ซึ่งแล้วขโมยนั้นหมายถึงใคร ?

ขโมยนั้นคือมารซาตานผู้มากับความมืดมิด ที่พร้อมกัดกินร่างกายและวิญญาณของคุณให้หลงกลไปกับสิ่งยั่วยวน สิ่งผิดบาป การไหวรูปเคารพ เครื่องเซ่นไหว้ คุณไสย เวทย์มนต์ที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้าตั้งแต่ต้น แน่นอนว่ามันเกิดขึ้นในนิยายและซีรี่ยอนิเมะ ฉันก็ดูและชอบมาก และใช่ ฉันเป้นนักเขียนนิยายด้วยล่ะ แต่ในชีวิตจริง จงอย่าลองและเข้าไปยุ่งเกี่ยวเด็ดขาด

ในบทนี้ได้พูดถึงว่าเราเป็นคนของเวลากลางวัน นั่นคือ พวกเราเป็นคนของพระเจ้าผู้ทรงสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าพระอาทิตย์ เพราะพระอาทิตย์นั้นยังมีช่วงเวลาที่ดับสลาย ไม่แน่นะ ในอนาคตพระอาทิตย์ของคุณอาจหดเล็กลงไปแล้วก็ได้ และแสงสว่างที่น้อยลงจะทำให้คุณเหน็บหนาว แต่ฉันไม่แน่ใจว่าพวกคุณจะอยู่ถึงช่วงเวลานั้นกันหรือไม่

ทำไมเราจึงต้องตื่นตัวยามกลางคืน นั่นก็คงเป็นเพราะว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จมาในยามกลางคืน ที่ผู้คนยังหลับสนิทอยู่ ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ให้คุณหลับ แต่การตื่นตัวที่ฉันบอกนี้คือ จงอย่าให้พระคัมภีร์ และถ้อยคำของพระเจ้าออกห่างจากชีวิตของคุณ จงอย่าหยุดระลึกถึงพระเจ้า จงอธิษฐานทั้งกลางวันและกลางคืน

ในพระคัมภีร์บทนี้นั้น มีการกล่าวถึงการสวมเกราะและหมวกเหล็กด้วย เขาได้บอกให้เราใช้ความเชื่อและความรักที่เรามีต่อพระเจ้าและบุคคลอบข้างของเรานั้น ใช้มันเพื่อเยียวยาสภาพจิตใจทั้งของตนเองและของผู้อื่น เพื่อเราจะเหมือนกับมีชุดเกราะป้องกันดาบและลูกธนูเข้ามาถึงร่างของเรา และจงใช้ความหวังเป็นความรอด โดยมีหมวกเหล็กเป็นตัวแทน ป้องกันไม่ให้หัวของหัวแหลก การจะรอดได้นั้น อย่างน้อยต้องยังเหลือหัวอยู่บนบ่านะ

และสุดท้าย ในบทนี้ได้ย้ำเราท้ายตอนของเขาว่า จงหนุนใจกันและกันเสมอ สุดท้ายนี้ การบันทึกสิ่งที่เรียนมานี้ก็ได้จบไปแล้ว 1 บท ครั้งหน้า เราจะกลับมาใหม่นะ ขอพระเจ้าอวยพรทุกคนนะคะ บ๊ายบาย

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.