บทที่ 12 ปีศาจในร่างผู้กล้า

-A A +A

บทที่ 12 ปีศาจในร่างผู้กล้า

บทที่ 12 ปีศาจในร่างผู้กล้า 

“แก... พยายาม... จะฆ่าฉัน...”

เสียงของเอเรนดังขึ้นแผ่วเบา แต่กลับเต็มไปด้วยความเยือกเย็นยะเยือกและพลังอำนาจที่กดดันจนทำให้อัลดัสรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูก

ดวงตาของเอเรนยังคงสีดำสนิท แต่ประกายเปลวเพลิงสีดำอมแดงที่ลุกโชนรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนภาพใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัวของอัลดัส พลังที่เคยร่อยหรอไปเมื่อครู่กลับหลั่งไหลกลับมาอย่างน่าเหลือเชื่อ 

เปลวเพลิงความมืดแผ่พุ่งจากบาดแผลที่อัลดัสแทงเข้ามา มันไม่ได้ทำให้เอเรนเจ็บปวด หากแต่ดูดกลืนพขอบคุณจริงๆลังชีวิตของอัลดัสไปอย่างช้า ๆ

“ขอบคุณจริงๆ เป็นพ่อแก่ฉันเลยได้พลังใหม่ พ่อแก่ผลักฉันเข้าสู่ความตายแท้ๆ’

“ไม่... ไม่จริง!”

อัลดัสร้องเสียงหลง พยายามดึงดาบออกจากร่างของเอเรน แต่ราวกับดาบนั้นหลอมรวมเป็นหนึ่งกับเนื้อ เลือดของเขากำลังถูกดึงออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพลังชีวิตที่เหือดหายไปจากร่างกาย

เอเรนกำหมัดแน่น พลังแห่งศาสตราโลหิต 'อีเร็น' ในตัวเขากำลังตอบสนองต่อความกระหายเลือดที่ตื่นขึ้น ดวงตาของเขาจ้องมองอัลดัสด้วยความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบัง

“แก... ต้องชดใช้”

 เอเรนเอ่ยเสียงแหบพร่า พลังเปลวเพลิงสีดำอมแดงพุ่งเข้าใส่ร่างของอัลดัสอย่างรุนแรง เผาผลาญชายผู้นั้นให้มลายสิ้นไปในพริบตา ไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน มีเพียงกลิ่นไหม้เกรียมที่คละคลุ้งไปทั่ว

หัวหน้าหมู่บ้านอัลดัสหายไปแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าและความเงียบงันที่น่าสะพรึงกลัว ชาวบ้านที่เหลือรอดต่างตัวสั่นงันงก บางคนถึงกับเป็นลมล้มพับไป พวกเขาได้เห็นปีศาจที่แท้จริงปรากฏขึ้นท่ามกลางหมู่บ้านของตนเอง

เอเรนหอบหายใจหนัก ร่างกายของเขายังคงอ่อนล้าจากการใช้พลังมหาศาล แต่จิตใจกลับเต็มไปด้วยความพึงพอใจอย่างประหลาด เขาเดินไปยังร่างไร้วิญญาณของเด็กหญิงที่วางอยู่ข้างๆ

‘ลีร่า... เธออยากช่วยเด็กคนนี้สินะ’

 เอเรนสื่อสารผ่านกระแสจิต ความคิดของเขาชัดเจนและมั่นคง ‘ข้ารู้... ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร’

ภายในห้วงสำนึกของเอเรน เสียงของลีร่าแผ่วเบาตอบกลับมาด้วยความหวัง 

“ใช่…แต่ว่า””

เอเรนอุ้มร่างของเด็กหญิงขึ้นมาอีกครั้ง เขาเดินไปยังใจกลางลานหมู่บ้านที่ตอนนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง ดาบนิลในมือปักลงบนพื้นดินอย่างมั่นคง ราวกับเป็นเสาหลักแห่งพลังงาน

ไอสีดำสนิท เริ่มแผ่กระจายออกจากร่างของเอเรน ปกคลุมลานหมู่บ้านทั้งหมดให้จมดิ่งสู่ความมืดมิดที่ไม่อาจหยั่งถึง เปลวเพลิงสีดำอมแดงลุกโชนในดวงตาของเขา แสงสว่างสุดท้ายจากดวงจันทร์ที่กำลังลับขอบฟ้าถูกกลืนกินโดยความมืดที่แผ่ขยายออกไป

“พวกชาวบ้าน! อย่าได้เคลื่อนไหว!”

 เสียงของเอเรนดังขึ้นก้องกังวานไปทั่วลาน ราวกับเสียงของเทพแห่งความตายที่กำลังตัดสินชะตาชีวิต 

“ถ้าพวกแกยังอยากมีชีวิตอยู่... จงทำตามที่ข้าบอก!”

ความหวาดกลัวเข้าครอบงำชาวบ้านอย่างสิ้นเชิง พวกเขาตัวสั่นระริก ไม่กล้าแม้แต่จะขยับกายไปไหน ดวงตาของพวกเขามองเห็นเพียงเงาร่างของเอเรนที่ถูกโอบล้อมด้วยไอสีดำ น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าปีศาจตนใดที่พวกเขาเคยได้ยินมา

เอเรนเริ่มร่ายรำ ดาบนิลในมือตวัดเป็นวงกลม เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ แต่เปี่ยมด้วยพลัง ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังชาวบ้านที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วลาน

‘อีเร็น! มอบพลังให้ข้า!’ เอเรนสั่งการในใจ

‘ใช่! ดึงพวกมันมา! ดวงวิญญาณพวกนี้จะฟื้นคืนชีพให้กับเจ้าเด็กนั่น!’

 เสียงอันดุดันของอีเร็นคำรามอย่างยินดี พลังแห่งศาสตราโลหิต 'อีเร็น' ตอบรับอย่างรุนแรง ไอสีดำรอบกายหนาแน่นขึ้น ก่อตัวเป็นเส้นสายระยิบระยับที่พุ่งตรงเข้าหาชาวบ้านที่ยังอยู่ในลาน

แต่แล้ว เสียงของลีร่า ก็ดังแทรกขึ้นมาในห้วงสำนึกของเอเรน

“ไม่นะเอเรน อย่าทำแบบนั้น พวกเขาไม่สมควรตายแบบนี้ พวกเขาก็แค่ถูกหลอกใช้เหมือนเด็กคนนั้น!”

‘ไร้สาระ’ 

‘พวกมันเลือกทางเดินนี้เอง พวกมันเห็นแก่ตัว พวกมันคือสาเหตุที่เด็กคนนั้นต้องตาย และพวกมันสมควรชดใช้!’

‘แต่นี่ไม่ใช่การแก้แค้น นี่มันคือการฆาตกรรมหมู่’

! นายก็เป็นผู้กล้า! นายจะกลายเป็นปีศาจแบบพวกมันไม่ได้!’

‘หุบปากซะ ลีร่า’ อีเร็นคำรามแทรก 

‘เจ้าผู้หญิงอ่อนแอ อย่ามาขัดขวางการกินวิญญาณของข้า  ถ้าได้วิญญาณของเจ้าพวกนี้พลังที่เหือดแห้งของข้าก็จะถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง”

แล้วอีกอย่าง“พลังของเจ้ามันอ่อนปวกเปียก ถ้ายังใช้พลังของเจ้าอยู่พวกเราคงตายไปแล้ว’

ความขัดแย้งภายในใจเอเรนรุนแรงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จิตวิญญาณของผู้กล้าที่มุ่งมั่นกับการแก้แค้น จิตวิญญาณของศาสตราโลหิตที่กระหายพลังและการสังหาร และจิตวิญญาณของหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ที่โหยหาความเมตตา ต่างต่อสู้แย่งชิงกันในห้วงสำนึกของเขา

แต่ในที่สุด แรงแค้นที่สั่งสมมานานนับศตวรรษ และ ความมุ่งมั่นที่จะฟื้นคืนชีพเด็กหญิง ก็มีอำนาจเหนือกว่า

‘ฉันทำเพื่อเด็กคนนั้น!’ เอเรนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

พลังแห่งศาสตราโลหิต อีเร็น ปะทุขึ้นเต็มที่ เส้นสายพลังงานสีดำพุ่งทะลุร่างของชาวบ้านแต่ละคนอย่างไร้ปรานี เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังระงมเมื่อดวงวิญญาณของพวกเขาถูกดึงออกมาจากร่างอย่างช้าๆ ลอยคว้างอยู่กลางอากาศราวกับหมอกควันสีขาว

“อะไรกัน!” เสียงหนึ่งร้องอย่างสิ้นหวัง “ดวงวิญญาณ... ดวงวิญญาณของข้ากำลังถูกดึงออกไป!”

ชาวบ้านคนแล้วคนเล่าถูกดึงวิญญาณออกจากร่าง ดวงตาของพวกเขาว่างเปล่า ร่างกายทรุดลงกับพื้นอย่างไร้ชีวิตจิตใจ ดวงวิญญาณนับร้อยลอยวนเวียนอยู่รอบกายของเอเรนราวกับกลุ่มดาวที่หมุนวน

‘เพียงพอแล้ว...’ เอเรนคิด พลังแห่งศาสตราโลหิต อีเร็น ได้รวบรวมดวงวิญญาณเหล่านี้เอาไว้ทั้งหมดเพื่อเป้าหมายเดียว

เอเรนอุ้มร่างไร้วิญญาณของเด็กหญิงไว้แนบอกอีกครั้ง เขาหลับตาลงรวบรวมสมาธิ พลังแห่งศาสตราโลหิตที่รวบรวมดวงวิญญาณไว้ทั้งหมดถูกส่งเข้าไปในร่างของเด็กหญิงอย่างช้าๆ ประกายแสงสีเงินสว่างวาบขึ้นรอบร่างเล็กๆ นั้น ค่อยๆ กลืนกินไอสีดำรอบตัวไปทีละน้อย

ร่างของเด็กหญิงเริ่มมีสีเลือดฝาดกลับคืนมา ดวงตาที่ปิดสนิทเริ่มกระตุกเบาๆ ลมหายใจแผ่วๆ เริ่มกลับมาอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกันนั้น ห่างออกไปหลายร้อยไมล์ ในปราสาทหลวงใจกลางอาณาจัก ซ์ องค์ราชาวิลเลียมที่สาม กำลังยืนอยู่หน้าหน้าต่างบานใหญ่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล ดวงตาจับจ้องไปยังแผนที่ขนาดใหญ่บนโต๊ะซึ่งมีจุดเรืองแสงสีแดงกระพริบอย่างรุนแรง

“สัญญาณจากหมู่บ้านเฮเมรา!  มันรุนแรงเกินกว่าที่อัศวินทั่วไปจะสร้างได้!”

  อัศวินระดับสูงอีกนายรายงานด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก 

“และมัน... มันกำลังลดลงอย่างรวดเร็วพะย่ะค่ะ”

“เฟรดริค...” องค์ราชากัดฟันกรอด 

“เขาคงเจอเข้ากับผู้ครอบครองศาสตราโลหิตเข้าแล้ว... หรืออาจจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น”

เสียงสัญญาณพลังงานที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เป็นสิ่งที่อาณาจักรไม่เคยพบเจอมากว่าหลายศตวรรษ ตั้งแต่ยุคที่ผู้กล้าจากต่างโลกเคยปรากฏตัว และการปรากฏตัวของผู้ครอบครองศาสตราโลหิตก็เป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรมาโดยตลอด

“ฝ่าบาท... เราไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อได้อีกแล้วพะย่ะค่ะ” ที่ปรึกษาอาวุโสกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 

“พลังที่หลงเหลืออยู่ของศาสตราโลหิตนั้นเป็นภัยต่ออาณาจักรอย่างใหญ่หลวง”

องค์ราชากำหมัดแน่น เขามองไปยังดวงจันทร์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า แสงสว่างยามรุ่งอรุณกำลังจะมาเยือน

“ได้เวลาแล้ว...” องค์ราชากล่าวเสียงเรียบ ดวงตาฉายแววเด็ดขาด 

“ได้เวลาที่เราจะต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำมากที่สุด...”

เขาหันไปมองเหล่าอัศวินและที่ปรึกษาที่ยืนรอคำสั่ง

“เตรียมพิธีการอัญเชิญผู้กล้า!” องค์ราชากล่าวเสียงกังวาน คำพูดนั้นดังก้องไปทั่วท้องพระโรงสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนที่ได้ยิน 

“เราจะอัญเชิญผู้กล้าจากต่างโลก... เพื่อมากำจัดศาสตราโลหิต!”

เหล่าอัศวินและที่ปรึกษาต่างก้มศีรษะลงรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง แม้จะรู้ดีถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาจากการอัญเชิญผู้กล้า ซึ่งมักจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และอาจพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของโลกนี้ไปอย่างสิ้นเชิง

‘และเราจะบุกอาณาจักรตอนเหนือ พวกเราจะรวบรวมอาณาจักรทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง’ 

 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.