2 เมืองภาพลวงตา
มิราจ เมืองแห่งผืนทราย และอัญมณีแห่งตะวันออกของอาณาจักรครีเซนต์ คือภาพลวงตาที่กลายเป็นความจริง ท่ามกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ที่ไร้สิ่งมีชีวิต มีกระแสลมร้อนพัดพาทรายแห้งให้ลอยฟุ้งกลางแสงแดดจนเส้นขอบฟ้าบิดเบี้ยว ทว่าเมื่อผู้เดินทางหลงทางใกล้สิ้นแรงเงยหน้าขึ้นมา พวกเขาจะเห็นภาพปราสาทสีทองอร่ามลอยอยู่บนสายน้ำ และนั่นไม่ใช่ภาพหลอกลวง
แต่นั่นคือ “มิราจ” เมืองโอเอซิสที่ใหญ่ที่สุดในผืนทรายตะวันออก
ตั้งอยู่กลางแอ่งเขาที่เคยเป็นทะเลสาบโบราณ ล้อมรอบด้วยผืนทรายสีน้ำผึ้งและเนินเขาเตี้ย ๆ ที่เปลี่ยนสีไปตามแสงอาทิตย์ มิราจถูกหล่อเลี้ยงด้วยแหล่งน้ำใต้ดินที่อุดมสมบูรณ์ น้ำจากตาน้ำหลักไหลรวมเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่กลางเมือง ก่อนจะแตกแขนงเป็นคลองและร่องน้ำหลายสาย พาดผ่านเรือนไม้เนื้อหอม ตลาดผ้าไหม และสวนอินทผลัมที่เขียวชอุ่มแม้ในฤดูร้อนอันรุนแรง
กำแพงเมืองทำจากหินทรายสีทองอมน้ำตาล ผสมด้วยผงแร่ที่ทำให้เปล่งประกายในแดดยามเช้า ราวกับเมืองนี้เกิดจากคำอธิษฐานของเทพเจ้า บนหอคอยสูงสุดของพระราชวังมีโดมทองคำขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ของเมือง มองเห็นได้ไกลหลายไมล์ในทุกทิศ
มิราจ ไม่ได้เป็นเพียงศูนย์กลางการตั้งถิ่นฐานในผืนทราย แต่ยังเป็นศูนย์กลางทางการค้า วัฒนธรรม และเวทมนตร์ตะวันออก พ่อค้าเร่จากทุกดินแดนเดินทางมาแลกเปลี่ยนของหายาก ผ้าไหม น้ำมันหอม เหล็กกล้าจากภาคเหนือ และแม้แต่สินค้าลับที่พูดถึงกันเฉพาะในเงาตลาดมืดใต้ดิน
ในตอนกลางวัน เมืองนี้เต็มไปด้วยเสียงเจรจา เสียงขลุ่ยและกลิ่นเครื่องเทศ แต่ในยามค่ำคืน มิราจกลายเป็นภาพในความฝัน ตะเกียงนับพันส่องแสงเหนือผืนน้ำสะท้อนเงาโค้งของสะพานหิน กลุ่มนักเล่านิทานและนักบรรเลงลูทต์จะออกมาแสดงในลานกลางเมือง เสียงหัวเราะของผู้คนผสมกับเสียงระฆังวัดเก่าแก่ที่ดังรับสายลมจากเนินทราย
ตำนานกล่าวว่า แหล่งน้ำในโอเอซิสแห่งนี้เกิดจากหยาดน้ำตาของเทพีผู้โศกเศร้า เมื่อเธอสูญเสียคู่รักผู้เป็นนักรบกลางทะเลทราย และจากน้ำตานั้น เธอสร้างเมืองหนึ่งไว้เป็นที่พำนักให้ผู้หลงทางจากแดนไกล เมืองซึ่งไม่มีใครลืมได้หากเคยได้เห็น
มิราจ จึงไม่ได้เป็นเพียงเมืองโอเอซิส
แต่มันคือ คำสัญญาของชีวิต ในแดนที่เต็มไปด้วยความตาย
และคือ ภาพฝันที่กลายเป็นความจริง สำหรับผู้ที่เดินทางไกลเกินใคร.
ผู้คนแห่ง มิราจ ชาวทะเลทรายผู้เติบโตท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ไม่มีเมฆบัง มักมีผิวสีน้ำผึ้งอบอุ่น ไล่เฉดตั้งแต่สีทองแดงอ่อนจนถึงผิวแทนเข้มดั่งเนื้อไม้แห้งที่เคี่ยวกรำด้วยแดดแรงและลมร้อน ผิวของพวกเขาเปล่งประกายเมื่อกระทบแสงอาทิตย์ ดูทั้งแข็งแกร่งและสง่างาม เป็นเครื่องหมายแห่งผู้ที่เกิดมาและดำรงอยู่ในผืนทรายโดยไม่ยอมแพ้
เครื่องแต่งกายของชาวเมืองมีความโดดเด่นและเหมาะกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดและแห้งแล้งตลอดทั้งปี พวกเขานิยมสวมใส่ ผ้าไหมบางเบาและโปร่งสบาย ที่ทอด้วยลวดลายประณีต มักเป็นโทนสีทราย ทอง น้ำเงินคราม หรือแดงเข้ม เสื้อผ้าถูกออกแบบให้พริ้วไหวตามลมทะเลทราย ช่วยระบายความร้อนจากผิวหนัง บ้างสวมเสื้อคลุมยาวคล้ายผ้าคลุมศีรษะเพื่อป้องกันแดดและทราย
ผู้หญิงมักประดับร่างกายด้วยเครื่องประดับโลหะเบาอย่างทองเหลืองหรือเงิน อาทิ สร้อยข้อมือ โซ่ข้อเท้า และเครื่องประดับศีรษะที่ส่องประกายระยิบระยับในแสงแดด ส่วนชายหนุ่มจะสวมผ้าคาดเอวทับเสื้อคลุมผืนบาง พร้อมมีดสั้นงาช้างหรือดาบประดับข้างตัว ไม่ใช่เพื่อสงคราม แต่เป็นสัญลักษณ์ของเกียรติและตระกูล
แม้สภาพอากาศจะแร้นแค้น แต่รสนิยมของชาวมิราจกลับเปี่ยมด้วยสีสันและศิลป์ พวกเขาเชื่อในความงามที่ผสมผสานกับประโยชน์ใช้สอย และไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า นักเล่าเรื่อง นักเวท หรือช่างทอง ทุกคนล้วนแต่งกายด้วยศักดิ์ศรีของผู้ที่รู้จักทะเลทรายดีพอจะยิ้มให้มัน
ในเมืองแห่งโอเอซิสนี้ ความสง่างามไม่ใช่ความฟุ่มเฟือย
แต่คือศิลปะแห่งการมีชีวิตอยู่ อย่างสงบในท่ามกลางสิ่งที่รุนแรงที่สุด
หลังจากใช้เวลาเดินทางข้ามทุ่งหญ้าและผืนทรายอันกว้างใหญ่มานานในที่สุดขบวนราชรถของราชวงศ์ไฮพีเรียนก็เคลื่อนเข้าสู่เขตเมืองมิราจ แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงมากระทบกำแพงหินทรายสีทองของปราสาทมิราจ ทำให้มันเปล่งประกายราวกับอัญมณีเม็ดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางโอเอซิส
ท่ามกลางข้าราชบริพารในชุดผ้าไหมสีสดใส และทหารองครักษ์ในชุดเกราะแบบทะเลทรายที่ขัดเงาวาววับ บุรุษร่างสูงสง่า ผิวสีแทนเข้มจากการกรำแดดแห่งทะเลทราย สวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มปักลายทองอร่าม ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องหน้า
ผู้นั้นคือ ลอร์ดออรักค์ ซิมุม ลอร์ดผู้ปกครองแห่งมิราจ และผู้มีศักดิ์เป็นท่านอาของกษัตริย์ไลโอเนล ญาติทางบิดาที่กษัตริย์หนุ่มทรงเคารพรัก เคียงข้างท่านคือสตรีผู้สง่างามในอาภรณ์สีม่วงอ่อน ท่านหญิงเอเลนอร์ ซิมุม ภริยาของลอร์ดออรักค์ ผู้มีดวงตาสีเข้มที่ฉายแววอบอุ่นและเป็นมิตร และเยื้องไปด้านหลังเล็กน้อย คือบุตรชายของทั้งสอง เซอร์โอริกซ์ ซิมุม หนุ่มน้อยวัยสิบห้าปี รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบที่จับจ้องไปยังขบวนราชรถด้วยความสนใจใคร่รู้ ใบหน้าคมสันฉายแววความเฉลียวฉลาดและความสง่าสมวัย
เมื่อขบวนราชรถหยุดสนิท ลอร์ดออรักค์ก็ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าคมเข้มประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งตรงไปยังกษัตริย์ไลโอเนล ท่าทางของท่านเต็มไปด้วยความเคารพและยินดีต้อนรับ
"ขอต้อนรับสู่มิราจ กษัตริย์ไลโอเนล" ลอร์ดออรักค์กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ก้องกังวานแต่สุภาพ "เป็นการเดินทางที่ยาวไกล หวังว่าพระองค์และราชวงศ์จะทรงสบายดี"
กษัตริย์ไลโอเนลทรงก้าวลงจากราชรถด้วยพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยมิตรไมตรี ทรงโอบกอดลอร์ดออรักค์อย่างสนิทสนม
"ท่านอาออรักค์ ข้าสบายดี ขอบคุณท่านสำหรับความเอื้อเฟื้อในการต้อนรับครั้งนี้ การเดินทางแม้จะยาวไกล แต่เมื่อได้เห็นมิราจอันงดงามอยู่เบื้องหน้า ความเหนื่อยล้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง"
พูดจบกษัตริย์ไลโอเนลทรงหันไปแย้มพระสรวลให้กับท่านหญิงเอเลนอร์
"ท่านหญิงเอเลนอร์ มิราจในความทรงจำของข้ายังคงงดงามไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับความงามของท่าน"
ท่านหญิงเอเลนอร์ทรงโค้งคำนับอย่างนอบน้อม "พระองค์ทรงพูดเกินจริงฝ่าบาท หากพูดถึงความงาม ไม่มีหญิงใดเทียบเคียงองค์ราชินีได้แล้วเพคะ"
สายพระเนตรของกษัตริย์หนุ่มทรงหันไปยังเซอร์โอริกซ์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง "และนี่คงจะเป็นเซอร์โอริกซ์ หลานชายของข้า โตขึ้นมากทีเดียวนะ"
เซอร์โอริกซ์รีบโค้งคำนับอย่างเคารพ "ถวายบังคมพะยะค่ะ พระราชา ยินดีต้อนรับสู่มิราจ"
เจ้าชายน้อยเซเวียร์ที่ทรงเกาะพระหัตถ์พระมารดาอยู่ด้านหลัง ทรงมองบุคคลที่มาต้อนรับด้วยความสนใจ โดยเฉพาะเซอร์โอริกซ์ที่ดูสง่างามในชุดที่บ่งบอกถึงความเป็นนักรบแห่งทะเลทราย พระองค์ทรงรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ทำความรู้จักกับดินแดนใหม่และผู้คนใหม่ๆ ที่นี่
บรรยากาศของการต้อนรับเต็มไปด้วยความอบอุ่นของญาติสนิทที่ไม่ได้พบกันนาน การมาถึงของราชวงศ์ไฮพีเรียนนำมาสู่ความคึกคักภายในเมือง
หลายวันที่ราชวงศ์ไฮพีเรียนพำนักอยู่ในปราสาทมิราจ ราวกับเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบสุขและความรื่นรมย์ภายใต้เงาอินทผลัมและเสียงกระซิบของสายลมทะเลทราย ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวนานค่อยๆ จางหายไป เหลือไว้เพียงความรู้สึกผ่อนคลายและความอิ่มเอมใจกับบรรยากาศอันแปลกใหม่
กษัตริย์ไลโอเนลและราชินีเวโรนิกาทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการพักผ่อน และกระชับความสัมพันธ์กับลอร์ดออรักค์และท่านหญิงเอเลนอร์ ทั้งสี่พระองค์ทรงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องการปกครอง การค้า และวัฒนธรรมของทั้งสองเมือง สร้างความเข้าใจและความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน เจ้าชายน้อยเซเวียร์วัยห้าชันษา ก็ทรงใช้เวลาทุกนาทีในการเรียนรู้และสำรวจโลกใหม่ที่รายล้อมพระองค์ ปราสาทมิราจที่มีสถาปัตยกรรมอันงดงามและลวดลายที่ซับซ้อน กลายเป็นสนามเด็กเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจพระองค์ทรงวิ่งเล่นในสวนที่เขียวชอุ่ม ฟังเสียงน้ำพุที่ไหลริน และทอดพระเนตรปลาสีสวยที่แหวกว่ายในสระน้ำ
เซอร์โอริกซ์ บุตรชายของลอร์ดออรักค์ กลายเป็นเพื่อนเล่นคนสำคัญของเจ้าชายน้อย โดยเซอร์โอริกซ์เล่าถึงความมหัศจรรย์ของทะเลทราย สัตว์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ที่นั่น และตำนานเก่าแก่ของเมืองมิราจให้เจ้าชายเซเวียร์ฟัง
เซอร์โอริกซ์ได้พาเจ้าชายน้อยไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมายจากผู้คนในมิราจ ทรงเรียนรู้การขี่อูฐซึ่งลอร์ดออรักค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ ทรงฟังนิทานสนุกสนานจากนักเล่านิทานริมน้ำ ทรงลองชิมอาหารรสชาติแปลกใหม่ที่มีกลิ่นหอมของเครื่องเทศ และทรงเรียนรู้คำทักทายง่ายๆ ในภาษาของชาวมิราจ
ภายใต้เงาจันทร์เสี้ยวที่ส่องแสงนวลลงมายังเมืองมิราจที่หลับใหลบางส่วน ท้องฟ้าเหนือทะเลทรายเปล่งประกายด้วยดวงดาวนับพัน ส่องสว่างราวจะหล่นลงมากระทบยอดเต็นท์ผ้าใบหลากสีที่เรียงรายใน ตลาดกลางคืนของมิราจ เสียงลมรำเพยอ่อน ๆ พัดทรายเบา ๆ คล้ายบทกระซิบของทะเลทรายโบราณ ในขณะที่แสงตะเกียงน้ำมันและคบไฟส่องวาบเป็นระลอก ทำให้ทุกสิ่งดูเหมือนเคลื่อนไหวอยู่ในความฝัน ตลาดกลางคืนแห่งนี้คือหัวใจของมิราจ ดั่งโอเอซิสที่สองของเมืองที่มีชีวิตชีวาแม้ยามจันทร์ขึ้น ผู้คนหลากเผ่าพันธุ์จากทุกมุมของอาณาจักรครีเซนต์และจากนอกพรมแดนต่างหลั่งไหลมาที่นี่เพื่อซื้อขาย แลกเปลี่ยน และเล่าเรื่องราว กลิ่นหอมของเครื่องเทศลอยล่องอยู่ในอากาศ อบเชย ลูกผักชี ยี่หร่า และหญ้าฝรั่นผสมผสานกับกลิ่นของเนื้อย่างบนเตาถ่านและขนมแป้งทอด ทำให้ทั้งตลาดอบอวลด้วยความอบอุ่นและเย้ายวน เสียงดนตรีจากพิณอูด ขลุ่ยไม้ และการตีกลองจังหวะเร็วกระตุ้นให้ขาเริ่มขยับตามโดยไม่รู้ตัว นักเต้นระบำหน้าท้องสวมชุดประดับเหรียญโลหะวาววับ ส่ายเอวอย่างอ่อนช้อยใต้ผืนผ้าชีฟองบางเบา
กษัตริย์ไลโอเนลในชุดชาวบ้านธรรมดา ผ้าคลุมสีเข้มปิดบังใบหน้าที่คุ้นเคย เดินเคียงข้างลอร์ดออรักค์และเซอร์โอริกซ์ที่ปลอมตัวไม่ต่างกัน ทั้งสามลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยที่คึกคักของตลาดกลางคืน จุดหมายปลายทางของพวกเขาคือตลาดมืดใต้ดิน สถานที่ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ความวุ่นวายของตลาดเบื้องบน ที่นั่นเล่าลือกันว่ามีของเวทมนตร์โบราณซุกซ่อนอยู่ และกษัตริย์ไลโอเนลทรงหวังว่าจะพบวัตถุที่สามารถช่วยให้ราชินีเวโรนิกาทรงครรภ์ได้อีกครั้ง ความปรารถนาอันแรงกล้าผลักดันให้พระองค์เสี่ยงภัยมายังสถานที่อันตรายแห่งนี้ เซอร์โอริกซ์เลี้ยวนำเข้าไปในตรอกเล็กๆ เมื่อทั้งสามแทรกตัวลงสู่บันไดหินแคบๆ ที่นำไปสู่โลกใต้ดิน กลิ่นอับชื้นและเครื่องเทศผสมปนเปก็โชยมาแตะจมูก เสียงดนตรีทุ้มต่ำและเสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาแต่ไกล บรรยากาศเปลี่ยนจากความคึกคักแบบเปิดเผย กลายเป็นการซ่อนเร้นและเย้ายวน
ไม่นานนัก ทางเดินก็เปิดออกสู่ลานกว้างใต้ดิน ที่ซึ่งเต็มไปด้วยแผงค้าที่สว่างไสวด้วยตะเกียงหลากสี ผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์เดินขวักไขว่ บ้างซุบซิบนินทา บ้างต่อรองราคาสินค้าต้องห้าม และในมุมหนึ่งของลาน กษัตริย์ไลโอเนลทรงสังเกตเห็นกลุ่มอาคารที่ดูแตกต่างออกไป แสงสีแดงสลัวๆ ลอดออกมา พร้อมกับเสียงเพลงที่ดังกระตุ้นอารมณ์ ทันใดนั้นเอง ก่อนที่ทั้งสามจะทันได้ก้าวเข้าไปสำรวจตลาดมืดอย่างจริงจัง สองร่างระหงในชุดผ้าไหมบางเบาที่เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าก็เข้ามาประชิด พวกนางมีใบหน้างดงามราวกับภาพวาด ดวงตาคมหวานที่ฉายแววเย้ายวน และรอยยิ้มที่พร้อมจะละลายหัวใจชายใดก็ตาม
"ท่านสุภาพบุรุษ สนใจจะเข้ามาพักผ่อนคลายความเหนื่อยล้าสักครู่ไหมเจ้าคะ?" หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานปานน้ำผึ้ง พร้อมกับส่งสายตาเชิญชวนมายังกษัตริย์ไลโอเนล
อีกคนหนึ่งคล้องแขนลอร์ดออรักค์ด้วยท่าทีสนิทสนม "ที่นี่มีความสุขรอท่านอยู่มากมาย ท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอน"
ลอร์ดออรักค์และเซอร์โอริกซ์ชะงักไปเล็กน้อย มองหน้ากันอย่างลังเล กลิ่นกายหอมหวานของหญิงสาวทั้งสอง และรอยยิ้มที่แสนเย้ายวนนั้นช่างยากที่จะปฏิเสธ แต่กษัตริย์ไลโอเนลทรงขมวดพระขนงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พระองค์จะทันได้ตรัสอะไร หญิงสาวทั้งสองก็ออกแรงดึงแขนของลอร์ดออรักค์และกษัตริย์ไลโอเนลเบาๆ ราวกับต้องการนำทางพวกเขาเข้าไปในอาคารที่แสงสีแดงสลัวๆ ส่องออกมา กลิ่นหอมของดอกไม้และเครื่องเทศอบอวลจนแทบจะทำให้เคลิบเคลิ้ม บรรยากาศรอบข้างดูเหมือนจะสนับสนุนการตัดสินใจที่จะก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น สถานที่ที่ซึ่งความปรารถนาและความลับดำมืดยินดีต้อนรับผู้มาเยือนอย่างเปิดเผย สถานที่ที่ซึ่งพวกเขาอาจจะพบสิ่งที่ตามหา หรืออาจจะสูญเสียมากกว่าที่คาดคิด
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 134
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น