บทที่ 475: ขี้หึงใช่เล่น

-A A +A

บทที่ 475: ขี้หึงใช่เล่น

ขณะที่ฉินเซียวกล่าวขอโทษ เขาก็ลุกขึ้นคำนับให้กับหลัวเซียวเซียว

แม้ว่าหญิงสาวจะติดตามมู่ไป๋ไป่มานานหลายปี แต่นางก็เป็นเพียงสตรีสามัญธรรมดาคนหนึ่ง ดังนั้นนางจึงไม่กล้ารับการคำนับจากอีกฝ่าย

ในขณะที่นางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร มู่จวินเซิ่งก็ก้าวออกมาเพื่อขวางการกระทำของฉินเซียวเอาไว้

“เจ้าเลิกแกล้งนางได้แล้ว เซียวเซียวรับไม่ไหวหรอก” แม่ทัพหนุ่มส่งสายตาปรามสหายของตน จากนั้นเขาก็หันกลับไปคว้าเจ้าส้มออกจากมือหลัวเซียวเซียว

“ท่านแม่ทัพ” หญิงสาวเม้มปากแน่นก่อนจะถามออกไปอย่างลังเลว่า “ในวังหลวงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเจ้าคะ? องค์หญิงหกปลอดภัยดีหรือไม่?” 

นับตั้งแต่ที่มู่ไป๋ไป่ส่งนางออกจากวัง ไม่มีวันไหนเลยที่นางจะไม่เป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในวัง

“คุณหนูหลัว ท่านไม่รู้หรือ?” ฉินเซียวเลิกคิ้วขึ้น “เช้านี้ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทถูกมือสังหารลอบปลงพระชนม์ในตำหนักตี้เฉิน โชคดีที่องค์หญิงหกกับท่านอ๋องเซียวเสด็จมาช่วยพวกพระองค์ได้ทันเวลา”

“องค์หญิงหกส่งเจ้าส้มให้นำจดหมายมาให้องค์ชายรองในครั้งนี้อาจเป็นเพราะเหตุการณ์นั้นก็ได้”

“มือสังหาร?” หลัวเซียวเซียวอ้าปากค้างในขณะที่แววตาเต็มไปด้วยความกังวล “ใครช่างบังอาจยิ่งนัก พวกเขากล้าลงมือในตำหนักตี้เฉินเชียวหรือ?”

“แล้วองค์หญิงหกได้รับบาดเจ็บหรือไม่เจ้าคะ?”

ฉินเซียวกำลังจะตอบ แต่มู่จวินเซิ่งพูดขัดจังหวะขึ้นมาก่อน “ตามรายงานที่ข้าได้รับ ไป๋ไป่ปลอดภัยดี”

“โล่งอกไปที…” หลัวเซียวเซียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ถ้าหากมู่ไป๋ไป่ได้รับบาดเจ็บ นางคงไม่สามารถทนอยู่เฉยได้อีก

“เซียวเซียว เจ้าช่วยไปชงชาให้พวกเราหน่อยได้หรือไม่” มู่จวินเซิ่งกล่าวพลางเหลือบมองถ้วยชาที่กำลังปล่อยไอสีขาวในมือของฉินเซียว “ชามันเย็นไปหน่อยน่ะ”

ปัจจุบันความคิดของหลัวเซียวเซียวจดจ่ออยู่ที่วังหลวง นางจึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าชายหนุ่มกำลังพยายามกันนางออกไป นางจึงพยักหน้าและเดินออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก

“...” ฉินเซียวจิบชาอุ่น ๆ แล้วยิ้มหยอกล้อคนที่เหลืออยู่ในห้อง “พี่จวินเซิ่ง ข้าไม่ยักรู้เลยว่าท่านก็มีด้านนี้เช่นกัน ดูเหมือนว่าท่านจะพร้อมสร้างครอบครัวก่อนข้านะพี่ชาย”

“พอท่านแต่งงานกับคุณหนูเซียวเซียวแล้วก็อย่าลืมส่งเทียบเชิญมาให้ข้าด้วย”

มู่จวินเซิ่งปรายตามองคนพูด “เจ้าสนิทกับนางหรืออย่างไร? เรียกนางว่าคุณหนูหลัวเสีย”

“ฮ่า ๆ” ฉินเซียวรู้สึกขบขัน “ข้าไม่ยักรู้ว่าท่านเป็นคนขี้หึงเช่นกัน เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ก็ยังหึงอย่างนั้นหรือ?”

แต่เมื่อผู้บัญชาการหนุ่มได้รับสายตาคมดุขององค์ชายรอง เขาก็ยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ “ก็ได้ ๆ คุณหนูหลัว ท่านพอใจหรือยัง?” 

มู่จวินเซิ่งพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงถอดจดหมายในหลอดไม้ไผ่ที่ห้อยอยู่ที่คอของเจ้าส้มออกมา

“องค์หญิงหกบอกว่าอะไรหรือ?” เมื่อฉินเซียวเห็นสีหน้าของแม่ทัพหนุ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง เขาในฐานะผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ย่อมต้องมีส่วนรับผิดชอบในเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างเช่นการลอบสังหารในตำหนักตี้เฉิน

ดังนั้นทันทีที่เขาออกเวร เขาก็รีบมาหามู่จวินเซิ่งเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ “พระนางทราบแล้วหรือไม่ว่าใครเป็นคนส่งมือสังหารมา?”

“ไม่ใช่เรื่องการลอบสังหาร” แม่ทัพหนุ่มมองดูชื่อที่ถูกเขียนเอาไว้ในจดหมายซึ่งก็คือเจ้าของหอไป่เฉ่าที่มีนามว่า ‘เสิ่นจวินเฉา’

มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?

ชื่อของเถ้าแก่คนนี้คล้ายกับน้องสามของเขามาก

ทันทีที่ฉินเซียวได้ยินว่าสิ่งที่เขียนในจดหมายไม่เกี่ยวกับเรื่องการลอบสังหาร เขาก็แสดงสีหน้าผิดหวัง “ข้ารู้สึกปวดหัวกับเรื่องนี้มากจริง ๆ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ฝากความหวังไว้กับองค์หญิงหกหรอก”

“แม้ว่าองค์หญิงหกจะสามารถเข้าใจภาษาสัตว์ได้ แต่พระนางก็ยังคงเป็นองค์หญิงที่ออกไปโลดแล่นในยุทธภพ”

“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”

มู่จวินเซิ่งเหลือบมองสหายด้วยความไม่พอใจ “ไป๋ไป่ไม่ใช่องค์หญิงที่วัน ๆ เก็บตัวอยู่ในห้องหอ นางแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไป”

เขาเองก็คอยอยู่ดูแลปกป้องชายแดนตลอด เขาเคยพบเจอผู้หญิงมามากหน้าหลายตา แต่ไม่มีผู้หญิงคนใดที่มีเอกลักษณ์เท่ากับน้องสาวของเขาเลย

“ใช่ ๆ น้องสาวของท่านไม่เหมือนคนอื่น” ฉินเซียวคิดว่ามู่จวินเซิ่งแค่อยากปกป้องมู่ไป๋ไป่ ดังนั้นเขาจึงยิ้มพร้อมกับรีบปฏิเสธว่า “แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยังคงยึดมั่นในความคิดเดิมของตัวเอง การลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทกับองค์รัชทายาทในครั้งนี้ไม่ได้ตื้นเขิน ข้าได้สืบสวนมือสังหารพวกนั้นแล้ว พวกเขาล้วนแต่เป็นลูกหลานของตระกูลขุนนางในเมืองหลวง ครอบครัวของพวกเขาล้วนมีเบื้องหลังที่ใสสะอาด”

“มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จู่ ๆ พวกเขาจะลุกขึ้นมาก่อกบฏ และยอมเสี่ยงเอาคนทั้งตระกูลมาร่วมรับโทษการลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทกับองค์รัชทายาท”

“ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติ มันอาจจะเกี่ยวข้องกับวิชาประหลาดในยุทธภพก็เป็นได้”

มู่จวินเซิ่งพับเก็บจดหมายที่มู่ไป๋ไป่เขียน แล้วลูบหัวเจ้าแมวส้มตัวใหญ่ก่อนจะส่งสัญญาณให้มันกลับไปบอกไป๋ไป่ว่าเขาได้รับจดหมายแล้ว และจะทำตามที่นางบอก

อย่างไรก็ตาม แมวตัวอวบอ้วนยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ขณะใช้ดวงตากลมโตสีทองจ้องชายหนุ่มตรงหน้าตาไม่กะพริบ

“...ไป๋ไป่มีคำพูดอื่นฝากถึงข้าอีกหรือ?” มู่จวินเซิ่งเอ่ยถาม

“ใช่แล้ว นางขอให้เจ้าช่วยบอกให้พ่อครัวคนใหม่ทำอาหารอร่อย ๆ ให้ข้ากินก่อนกลับ” เจ้าส้มพยักหน้าตอบ 

“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร เจ้าเขียนได้หรือไม่ ทำไมไม่เขียนให้ข้าดูล่ะ?”

“...เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ เห็นข้าเป็นมนุษย์หรืออย่างไร?” แมวตัวโตจ้องมู่จวินเซิ่งด้วยสายตาไม่พอใจ “แมวที่ไหนเขียนหนังสือเป็นบ้าง!”

“นี่ท่านกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” ฉินเซียวเห็นองค์ชายรองกำลังพูดคุยกับเจ้าส้มด้วยท่าทางจริงจัง เขาจึงเดินเข้ามาดูด้วยความอยากรู้

“ท่านกำลังคุยกับแมวตัวนี้อยู่หรือ อย่าบอกนะว่าท่านก็ได้เรียนรู้ภาษาสัตว์มาจากองค์หญิงหกด้วยเช่นกัน?”

“เปล่า” มู่จวินเซิ่งส่ายหัวพลางกล่าวว่า “แมวตัวนี้ติดตามไป๋ไป่มานานมากกว่า 10 ปีแล้ว มันคงเป็นแมวที่มีจิตวิญญาณ มันส่งจดหมายเสร็จแล้วแต่ก็ไม่ยอมกลับ มันคงจะมีเหตุผลอื่นอีก”

“อ๋อ แมวทรงเลี้ยงใช่หรือไม่?” ฉินเซียวอุทานก่อนจะขยับเข้าไปใกล้แมวส้มตัวใหญ่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ในตอนที่ข้าเข้าเวร ข้าไม่เคยเห็นเจ้าแมวตัวนี้มาก่อน แต่ข้าได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับมันมากมายในวัง มันเป็นตำนานมากจริง ๆ แต่ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ”

“จริงหรือ?” เจ้าส้มส่ายหางเบา ๆ บ่งบอกว่ามันกำลังอารมณ์ดี “ในวังหลวงมีข่าวลือเกี่ยวกับข้ามากมายเลยหรือ พวกเขาพูดเกี่ยวกับข้าว่าอย่างไรล่ะ แสดงว่าแมวตัวนี้เก่งใช่หรือไม่?”

มู่จวินเซิ่งถามสหายด้วยคำถามเดียวกันว่า “มีข่าวลืออะไรเกี่ยวกับมันหรือ? พวกเขาพูดถึงมันว่าอย่างไร?”

“จะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ ก็เรื่องกินของมันน่ะสิ” ฉินเซียวตอบพลางยื่นมือออกไปลูบหัวแมวตัวโต “จุ๊ ๆ องค์หญิงหกดูแลมันดีมาก ขนทั้งเงาและเรียบเนียนน่าสัมผัส ข้าได้ยินมาว่ามันมักจะไปขโมยอาหารในห้องครัวทุกคืน พ่อครัวในห้องครัวหลวงทำอย่างไรก็ไม่สามารถป้องกันมันได้ เขาก็เลยโวยวายเสียยกใหญ่”

“...” เจ้าส้มทำหน้าเอือมระอาทันที

“ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าทำไมแมวตัวนี้ถึงได้ตะกละตะกลามขนาดนั้น” ผู้บัญชาการหนุ่มรู้สึกว่าขนบนตัวของเจ้าแมวอ้วนนุ่มลื่นดีมาก แถมมันยังนั่งอยู่นิ่ง ๆ ให้เขาลูบมันด้วย

“มันค่อนข้างเชื่องทีเดียว ข้าอยากจะเลี้ยงแมวแบบนี้สักตัว— โอ๊ย!”  

ฉินเซียวกุมมือที่มีรอยข่วนสีแดง 3 รอยเอาไว้พร้อมกับจ้องเจ้าส้มด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ มันถึงข่วนข้า!”

“ข้าบอกเจ้าไปตั้งนานแล้ว” มู่จวินเซิ่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แมวตัวนี้อยู่กับไป๋ไป่มากกว่า 10 ปี มันฉลาดมาก มันเข้าใจทุกอย่างที่เจ้าพูด มันคงจะโมโหที่เจ้าไปหาว่ามันตะกละ”

“...” ฝ่ายที่ได้ยินนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง

“เฮอะ แมวตัวนี้ไม่ได้ตะกละสักหน่อย” เจ้าส้มเลียอุ้งเท้าพร้อมทำหน้าเหนือกว่า “แต่ละวันอาหารในวังหลวงมีเหลือทิ้งมากแค่ไหนเจ้ารู้หรือไม่ แมวตัวนี้แค่กำลังช่วยกำจัดขยะเพียงเท่านั้น เจ้ามนุษย์นี่ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย”

“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว” มู่จวินเซิ่งนึกอะไรบางอย่างได้ทันที “มันช่วยมาทำธุระให้ไป๋ไป่ มันก็ควรจะได้รับอาหารเป็นของตอบแทน”

ถัดมา แม่ทัพหนุ่มหันกลับมาสั่งให้คนรับใช้ไปแจ้งห้องครัวให้นำอาหารมาให้เจ้าส้ม 

“ข้อแลกเปลี่ยนในการมาทำธุระให้คืออาหารใช่หรือไม่? เจ้าถึงไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะได้กินอาหาร” ฉินเซียวตกใจ เขาสัมผัสได้ทันทีว่าเจ้าแมวอ้วนที่ดูเผิน ๆ น่ารักน่าเอ็นดูตัวนี้เป็นเพียงแมวอันธพาลตัวหนึ่ง

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.