บทที่ 454: ท่านไม่คิดจะรับข้าเลยหรือ?!
“แต่ว่า...” เมื่อมู่ไป๋ไป่นึกถึงสิ่งที่อาเค่อเคยพูดกับเธอก่อนหน้านี้ เธอจึงรู้สึกลังเลขึ้นมา
ชายหนุ่มบอกว่าถึงแม้เสี่ยวหยินจะอ่อนไหวต่อแมลงพิษ แต่ก็มีแมลงพิษบางชนิดที่มันไม่สามารถรับรู้ได้
แล้วถ้าแมลงพิษที่อยู่ในตัวของมู่เทียนฉงเป็นเช่นนั้นล่ะ?
“ไป๋ไป่ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราจำเป็นจะต้องลงมืออย่างระมัดระวัง” สีหน้าของมู่จวินฝานเปลี่ยนเป็นจริงจังในขณะที่เขากล่าว
มู่ไป๋ไป่จึงพยักหน้ารับพร้อมกับตอบเบา ๆ ว่า “ข้ารู้”
แล้วมู่จวินฝานก็อยู่เป็นเพื่อนน้องสาวจนกระทั่งหว่านเฟยกลับมาที่ตำหนักอวี๋ชิง
ในตอนที่ซูหว่านกลับมา ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทแล้ว ในตอนแรกมู่ไป๋ไป่รู้สึกหมดแรง แต่แล้วเธอก็กลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่เธอเฝ้ารอมาหลายชั่วยาม
“ท่านแม่!” หญิงสาวรีบเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เธอก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น
นั่นเป็นเพราะเสื้อผ้าของผู้เป็นแม่นั้นมีสภาพต่างไปจากตอนกลางวันมาก
ทางด้านซูหว่านที่สังเกตเห็นสายตาของลูกสาว สีหน้าของนางได้เปลี่ยนเป็นอึดอัดใจและรีบอธิบายว่า “เสื้อผ้าตัวเดิมของแม่สกปรก แม่จึงเปลี่ยนชุดใหม่”
มู่ไป๋ไป่ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว พอเธอคิดถึงเสียงที่ได้ยินตอนอยู่ด้านนอกตำหนักตี้เฉินก่อนหน้านี้ เธอก็พอจะเดาได้คร่าว ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ท่านแม่ ท่านนั่งก่อนเถอะ” หญิงสาวพยักหน้าเหมือนกับว่าเธอไม่รู้เรื่อง พร้อมกับเข้าไปช่วยพยุงอีกฝ่ายไปที่ห้องของตัวเอง “ท่านพ่อทำให้ท่านแม่ลำบากใจหรือไม่เพคะ?”
ซูหว่านฝืนยิ้มพลางตอบว่า “ฝ่าบาทไม่มีทางบังคับฝืนใจแม่หรอก แม่ไม่เป็นไร แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ พวกเขา…”
นางอยากจะถามมู่ไป๋ไป่ว่านางกำนัลกับขันทีพวกนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?
แต่เมื่อนางคิดถึงคำตอบที่อาจเป็นไปได้ นางก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง
“พวกเขายังมีชีวิตอยู่เพคะ” มู่ไป๋ไป่รู้ว่าแม่ของตนอยากจะถามอะไร เธอจึงบอกออกไปว่าพวกนางกำนัลกับขันทีถูกขังเอาไว้ในคุกเพื่อรอการตัดสินจากมู่เทียนฉง “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะปกป้องพวกเขาให้ได้!”
เมื่อหว่านเฟยได้ยินว่าทุกคนยังมีชีวิตอยู่ นางก็ยิ้มออกมาได้อย่างสนิทใจ
มู่ไป๋ไป่ที่เห็นว่าผู้เป็นแม่ยังคงอารมณ์ไม่ค่อยดี เธอจึงไม่ได้พูดอะไรกับนางมากนัก แล้วสั่งให้นางกำนัลคนใหม่เข้ามาช่วยนางอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ในขณะที่เธอเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง
ปัจจุบันเธอไม่มีหลัวเซียวเซียวกับเจ้าส้มอยู่ข้างกาย เธอจึงไปเอนกายนอนอยู่ที่ขอบหน้าต่างพลางทอดสายตามองแสงจันทร์เย็น ๆ ด้วยความรู้สึกหดหู่
แล้วความคิดของเธอก็ถูกดึงไปในคืนนั้นเมื่อ 12 ปีก่อนโดยไม่รู้ตัว
คืนนั้น เธอกับเซียวถังถังกำลังจะออกเดินทางไปยังหุบเขาหมอเทวดา แล้วคนผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันในค่ำคืนที่เหมือนกับคืนนี้…
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบา ๆ ดังขัดจังหวะความคิดของมู่ไป๋ไป่ เธอรีบดึงสติกลับมาก่อนจะหันไปมองเมล็ดถั่วสีทองเล็ก ๆ ที่หล่นอยู่ตรงเท้า
ในตอนที่เธอเป็นเด็ก เธอคิดว่าถั่วทองเม็ดนั้นมันใหญ่มาก แต่พอโตขึ้นแล้วมันกลับดูเล็กมากกว่าที่เคยเห็น
หญิงสาวค่อย ๆ ก้มลงไปหยิบถั่วทองเล็ก ๆ ขึ้นมาและอารมณ์เศร้าหมองจู่ ๆ ก็จางหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
“ในเมื่อมาถึงแล้ว ก็จงแสดงตัวออกมาเถอะ” มู่ไป๋ไป่กลั้นยิ้มพร้อมกับยืดคอมองออกไปด้านนอก เธอพยายามหาว่าเซียวถังอี้ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
เธอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ข้างนอกมานานเพียงใดแล้ว
เขาได้กินโสมหรือยัง? แล้วอาการบาดเจ็บของเขาหายดีแล้วหรือ?
เขารู้หรือไม่ว่ามู่เทียนฉงถูกวางยาพิษ?
คำถามมากมายนับไม่ถ้วนประดังประเดเข้ามาในหัวของหญิงสาว แต่ก่อนที่เธอจะทันได้คิดอะไรต่อ กลิ่นที่คุ้นเคยทว่าแปลกประหลาดก็ลอยมาตามสายลม
อึดใจต่อมา ชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีดำและสวมหน้ากากสีเงินก็ปรากฏตัวขึ้นใต้แสงจันทร์
ร่างสูงมองดูคนตัวเล็กกว่าอยู่เงียบ ๆ ด้วยดวงตาที่ล้ำลึกคู่หนึ่ง ซึ่งนัยน์ตาสีดำสนิทดั่งเหวไร้ก้นบึ้งนั้นได้ดึงดูดหญิงสาวเข้าไป
หัวใจของมู่ไป๋ไป่เต้นเร็วขึ้นในเร็วพลัน
“เจ้าอยากดื่มสักหน่อยหรือไม่?”
เมื่อชายคนนั้นเข้ามาใกล้ หญิงสาวก็รู้ว่าเขากำลังถือไหสุราไว้ในมือ
ไหสุรานั้นสะท้อนแสงจันทร์เป็นสีขาวดูงดงาม
“เอาสิ” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าราวกับถูกมนต์สะกด “ท่านมีอะไรกินคู่กับสุราหรือไม่?”
เซียวถังอี้นิ่งคิดสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นเสนอว่า “เราไปที่ห้องครัวเพื่อหากับแกล้มดีหรือไม่ ตอนนี้คงไม่สะดวกออกจากวังหลวง”
หญิงสาวพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “ไม่จำเป็น ท่านพี่นำของกินอร่อย ๆ มาให้ในช่วงค่ำวันนี้ ข้ายังไม่ได้กินมันเลย ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปหยิบมันมา”
หลังจากพูดจบเธอก็พลิกตัวเดินออกไปจากหน้าต่าง
อย่างไรก็ตาม เธอลนลานมากเกินไปจึงไม่ทันดูเท้าของตัวเอง ทำให้เธอเสียหลักหล่นลงจากหน้าต่าง
มู่ไป๋ไป่ตกใจมากจนหัวใจเต้นรัว แต่เมื่อเธอคิดถึงเซียวถังอี้ที่อยู่ด้านข้าง เธอก็รู้สึกเบาใจขึ้น
หญิงสาวคิดว่าด้วยฝีมือของชายหนุ่ม เขาจะสามารถรับเธอได้ทันท่วงที
แต่ความเป็นจริงแล้ว… เธอได้แต่รอคอยช่วงเวลานั้น
“โอ๊ย!!” มู่ไป๋ไป่ร่วงลงไปนอนกองอยู่กับพื้นในขณะที่รู้สึกปวดไปทั่วตัว
สิ่งที่เธอคาดคิดเอาไว้ไม่ได้เกิดขึ้น
“เจ้าอยากให้ข้าช่วยหรือ?” เสียงกลั้วหัวเราะของเซียวถังอี้ดังมาจากด้านบน มู่ไป๋ไป่จึงตวัดตามองเขาด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเห็นเพียงขอบหน้าต่างที่สะท้อนแสงจันทร์ซึ่งนั่นทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบมันมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เซียวถังอี้!” หญิงสาวกัดฟันเรียกอีกฝ่ายและพยายามลุกขึ้นจากพื้น จากนั้นก็พูดเสียงลอดไรฟันว่า “นี่ท่านไม่คิดจะรับข้าเลยหรืออย่างไร?!”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นจนแทบจะมองไม่เห็นและพูดออกมาว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่ตก”
“...” ฝ่ายที่ได้ฟังถึงกับพูดไม่ออก
“ถึงอย่างไรเจ้าก็ได้ร่ำเรียนวรยุทธมาจากหุบเขาหมอเทวดาตั้งหลายปี” เซียวถังอี้พูดพลางชี้ไปที่ขอบหน้าต่างที่สูงประมาณครึ่งเอว “ในความสูงเท่านี้—”
“พอแล้ว!” มู่ไป๋ไป่เอ่ยขัดจังหวะเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ท่านไม่รู้หรอกว่าคนเราสามารถผิดพลาดกันได้ สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ข้าไม่ใช่ปรมาจารย์สักหน่อย มันก็ต้องมีล้มกันบ้าง!”
“ถ้าท่านยังหัวเราะอีก ข้าจะวางยาพิษท่าน! และชีวิตหลังจากนี้ที่เหลือ ท่านก็นอนอยู่บนเตียงไปอย่างเดียวเลย”
เมื่อชายหนุ่มเห็นท่าทางข่มขู่เหมือนลูกแมวของหญิงสาว เขาก็ยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่เลว อย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องวิ่งวุ่นไปมา และข้าก็จะได้อยู่อย่างอิสระ”
นี่เขากำลังวิ่งวุ่นอยู่หรือ?
มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงไปชั่วขณะ ในเวลานั้นเธอไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร
ขณะที่เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ฝ่ายตรงข้ามก็ยัดไหสุราเข้ามาในมือเธอ
“กับแกล้มอยู่ที่ไหน ข้าจะเอามาให้เอง” เซียวถังอี้พูดพร้อมกับอุ้มมู่ไป๋ไป่ขึ้นบนไหล่เหมือนตอนเด็ก ๆ ก่อนจะนำตัวเธอไปวางที่ขอบหน้าต่างดังเดิม “รออยู่ตรงนี้ อย่าขยับไปไหนล่ะ”
ใบหน้าของคนที่ถูกอุ้มเห่อร้อนขึ้นเพราะการกระทำของอีกฝ่าย เธอพูดติด ๆ ขัด ๆ ในขณะที่ชี้ไปยังทิศทางที่ของวางเอาไว้
พอเธอเห็นร่างสูงหายไปท่ามกลางความมืด เธอก็รีบยกมือขึ้นมากุมใบหน้าตัวเองเอาไว้
“มู่ไป๋ไป่ เธอจะหน้าแดงทำไม เขาเป็นเจ้าสัตว์ประหลาดที่รังแกเธอมาตั้งแต่เด็กนะ!”
“ถึงแม้ว่าเขาจะหน้าตาดีนิดหน่อย แถมยังช่วยเธอไว้หลายครั้ง แต่เธอก็จะรู้สึกแบบนั้นกับเขาไม่ได้เด็ดขาด!”
“พวกผู้ชายอายุมากกว่ามักจะเอาอกเอาใจเก่ง เจ้าไม่เข้าใจหรอกเจ้าเด็กน้อย”
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังพูดกับตัวเอง จู่ ๆ ก็มีเสียงยืดยานดังแทรกเข้ามา
มู่ไป๋ไป่ตกใจมากจึงหันไปมองรอบกายเพื่อมองดูว่าเสียงนั้นมาจากไหน
เธอใช้เวลาสักพักหนึ่งจึงจะหาต้นตอของเสียงได้ว่าอยู่ในสระน้ำกลางลานบ้าน
เต่าตัวหนึ่งกำลังนอนอาบแสงจันทร์อยู่บริเวณที่ถูกจัดให้เป็นพื้นดิน และมองมายังทิศทางหน้าต่างที่มู่ไป๋ไป่อยู่พอดี
“เจ้าเป็นตัวที่พูดเมื่อกี้ใช่หรือไม่?” หญิงสาวเดินไปเอานิ้วเขี่ยเต่าเบา ๆ พร้อมถามมันอย่างไม่แน่ใจ หลายปีที่ผ่านมา สัตว์ส่วนใหญ่ที่สื่อสารกับเธอคือสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบก
เธอแทบจะไม่เคยสื่อสารกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเลย
“เจ้าเด็กน้อย เจ้านี่มันหยาบคายจริง ๆ” เต่าขยับหัวมาจ้องมองเธอด้วยดวงตาขนาดเท่าเมล็ดถั่ว “ถ้านับจากอายุของเจ้า ข้าเป็นปู่เจ้าได้เลยนะ!”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: แหม ๆ แกล้งน้องเก่งงงง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 146
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น