บทที่ 440: เธอคิดถึงคนผู้นั้นเล็กน้อย
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินว่าหมอหลวงมาถึงแล้ว เธอก็เลิกทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจและเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังทันที ก่อนจะบอกให้มู่เทียนฉงเรียกหมอหลวงเข้ามาให้เร็วที่สุด
แม้ว่าผู้เป็นพ่อจะถูกเร่งเร้า แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกโมโหเลย เขาเพียงแค่ลูบหัวลูกสาวด้วยความรักใคร่ก่อนจะสั่งให้อันกงกงพาคนเข้ามา
หมอหลวงที่เดินเข้ามานั้นอายุยังน้อยมาก มู่ไป๋ไป่ไม่คุ้นหน้าเขาเลย เธอจึงเดาว่าเขาคงจะเป็นหมอหลวงที่เพิ่งได้รับการคัดเลือกเข้ามาทำงานในวังหลวงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
“ฝ่าบาท กระหม่อมหลิ่วจื้ออี้ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงมีพระชนม์อายุยืนนานหมื่นปี” หลังจากหมอหลวงหนุ่มทำความเคารพผู้เป็นฮ่องเต้แล้ว เขาก็หันไปหาองค์ชายรองและองค์หญิงหก
เนื่องจากมู่ไป๋ไป่กับมู่จวินเซิ่งอยู่นอกวังหลวงมาตลอดจึงไม่ได้สนใจพิธีรีตองมากนัก ทั้ง 2 จึงพูดขัดจังหวะอีกฝ่ายออกไปโดยตรง
“ไม่ต้องมากพิธี หมอหลวงหลิ่ว ข้ามีเทียบยาอยู่แล้ว ขอให้ท่านช่วยจัดยาตามเทียบยานี้แล้วส่งไปให้พี่รองของข้าด้วย”
การจะรับยาในวังหลวงจะต้องผ่านสำนักหมอหลวงเพียงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้แม้ว่ามู่ไป๋ไป่จะรู้ว่ามู่จวินเซิ่งต้องการใช้ยาอะไร แต่เธอก็ต้องเรียกหมอหลวงมาจัดการให้อยู่ดี
“กระหม่อมรับพระบัญชา!” แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ ‘หลิ่วจื้ออี้’ ได้พบกับองค์หญิงหก แต่เขาก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับอีกฝ่ายมาเยอะมากจากศิษย์พี่ในสำนักหมอหลวง
เขารู้ว่ามู่ไป๋ไป่นอกจากจะเป็นองค์หญิงที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานมากที่สุดแล้ว นางยังไม่ใช่บุคคลธรรมดาอีกด้วย
จากนั้นหญิงสาวก็ได้เอ่ยชื่อสมุนไพรชุดหนึ่งออกมา หลังจากที่หลิ่วจื้ออี้เขียนเทียบยาเสร็จและยื่นให้เธอทวนอีกครั้ง เธอก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ดีมาก ต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการบดสมุนไพรพวกนี้ให้เป็นผง?”
ปัจจุบันพิษในร่างกายของมู่จวินเซิ่งถูกขัดจัดออกไปจนหมดแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคือการรักษาบาดแผลภายนอก
ยาพวกนี้จะต้องถูกบดให้เป็นผงละเอียด แล้วนำมาใช้ทาที่บาดแผล
“ยาพวกนี้ใช้เวลาเพียง 2 เค่อเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” หลิ่วจื้ออี้รู้ว่ายานี้มีไว้สำหรับองค์ชายรองซึ่งขณะนี้เป็นแม่ทัพรักษาชายแดน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าละเลยมันอย่างแน่นอน
“ตกลง เช่นนั้นท่านรีบไปจัดการเถอะ” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าโดยไม่ลืมที่จะกำชับว่า “ถ้าเสร็จแล้วให้ท่านนำมันไปส่งด้วยตัวเอง”
เหตุผลที่หญิงสาวสั่งให้หมอหลวงหนุ่มคนนี้ไปจัดส่งยาด้วยตัวเองเนื่องจากเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน
วังหลวงแห่งนี้แตกต่างจากโลกภายนอก จิตใจของคนที่อยู่ภายในนั้นยากจะคาดเดา นอกจากนี้แคว้นหนานซวนก็ยังมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เธอจะไม่ปล่อยให้คนอื่นมีโอกาสมาทำร้ายมู่จวินเซิ่งได้โดยง่าย
ขณะนั้นมู่เทียนฉงเฝ้าดูลูกสาวเตรียมทุกอย่างเงียบ ๆ จากด้านข้างโดยที่สายตาของเขามีร่องรอยของความภาคภูมิใจปรากฏขึ้นทีละน้อย
“ท่านพ่อ เรายังต้องรอหมอหลวงทำยาอีก 2 เค่อ เอาแบบนี้ดีหรือไม่ ท่านสั่งให้คนไปเตรียมอาหารเอาไว้ให้หม่อมฉันกับพี่รองกินรองท้องระหว่างรอไปก่อน” มู่ไป๋ไป่ลูบท้องตัวเองที่เริ่มส่งเสียงร้องประท้วงและยิ้มแหย ๆ ให้ผู้เป็นพ่อ
“เจ้าหมูน้อย” มู่เทียนฉงมองลูกสาวด้วยท่าทางมันเขี้ยว “ที่นี่คือตำหนักตี้เฉิน เจ้าเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าขอมากินอาหารที่นี่”
“ฮี่ ๆ… ก็หม่อมฉันหิวแล้ว” มู่ไป๋ไป่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวพ่อตัวเองเลย เธอยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปกอดแขนอีกฝ่ายโดยทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจเช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเป็นเด็ก “อีกอย่างนะท่านพ่อ ไป๋ไป่ก็ยังมีเรื่องมากมายที่จะเล่าให้ท่านฟัง…”
“เราไปคุยกันระหว่างกินข้าวดีหรือไม่?”
เมื่อมู่เทียนฉงต้องเผชิญกับดวงตาใสแจ๋วของลูกสาว เขาจะกล้าปฏิเสธลงได้อย่างไร
ต่อมา เขาเรียกอันกงกงมาสั่งให้เขาไปบอกห้องครัวเพื่อเตรียมอาหาร
“ฝ่าบาท… ทางห้องครัวได้จัดเตรียมอาหารเอาไว้แล้วและกำลังรอฝ่าบาทรับสั่งอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ” อันกงกงก้มหัวพูดอย่างไม่แน่ใจ “พวกเขาแจ้งว่าเมื่อไม่นานมานี้แม่นางหลัวได้ทำอาหารด้วยตัวเอง”
หลัว?
มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เธอจะรู้ว่าแม่นางหลัวที่อันกงกงพูดถึงเป็นใคร
ในตอนที่ลี่เฟยถูกเนรเทศไปยังตำหนักเย็น นางก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งพระสนม
บัดนี้นางได้รับการอภัยโทษจากมู่เทียนฉงและถูกปล่อยตัวออกจากตำหนักเย็นแล้ว ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่ได้รับตำแหน่งพระสนมกลับคืนมา ดังนั้นนางจึงเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาเพียงเท่านั้น
มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อันกงกงจะเรียกนางเพียงแซ่
“นางหรือ?” พอมู่เทียนฉงได้ยินว่าลี่เฟยเป็นคนเตรียมอาหารเอาไว้ล่วงหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็จางหายไป แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจมากนัก
หลังจากผู้เป็นฮ่องเต้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็โบกมือส่งสัญญาณให้ชายชราเพื่อบอกให้ส่งอาหารเข้ามา “ไป๋ไป่ เจ้าหิวแล้วใช่หรือไม่ กินอะไรก่อนสิ ไม่อย่างนั้นคงต้องใช้เวลานานกว่าที่พ่อครัวจะปรุงอาหารขึ้นมาใหม่”
มู่ไป๋ไป่ที่เห็นท่าทีของมู่เทียนฉงก็รู้สึกตกตะลึงในใจ
ในช่วงที่เธอไม่อยู่ในวังหลวงมันเกิดอะไรขึ้น?
ลี่เฟยเคยทำผิดพลาดใหญ่หลวงมากจนทำให้ท่านพ่อเกือบตัดสินประหารชีวิตนาง
แล้วเหตุใดท่านพ่อถึงได้นำตัวลี่เฟยออกมาจากตำหนักเย็นแล้วปล่อยให้นางได้มีโอกาสตั้งครรภ์?
และนั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด…
ดูเหมือนว่าลี่เฟยจะได้รับการโปรดปรานจากท่านพ่อไม่น้อย
มิฉะนั้นเขาคงไม่สั่งให้อันกงกงนำอาหารที่ลี่เฟยปรุงเองเข้ามาแบบนี้
ไม่นานเหล่านางกำนัลก็เดินเรียงแถวเข้าออกตำหนัก ในไม่ช้าบนโต๊ะก็มีอาหารละลานตา
มู่ไป๋ไป่กวาดตามองอาหารบนโต๊ะไว ๆ แล้วรู้สึกว่ามันดูน่ากิน แต่ในใจของเธอกลับไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด
แม้แต่ความสุขที่ได้รับตอนที่พบผู้เป็นพ่อก็จางหายไป
“ฝีมือการทำอาหารของแม่นางหลัวอาจจะไม่เก่งเท่ากับไป๋ไป่ แต่ก็นับว่าไม่เลวเช่นกัน” มู่เทียนฉงดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของลูกสาว เขาจึงได้คีบอาหารมาให้อีกฝ่าย “ไป๋ไป่ เจ้าลองชิมดูสิ”
หญิงสาวหยิบตะเกียบมากำไว้แน่น แต่เธอก็ไม่สามารถคีบอาหารเข้าปากได้แม้แต่คำเดียว
พอมู่เทียนฉงเห็นว่าลูกสาวไม่ยอมขยับตะเกียบ เขาก็เลิกคิ้วอ้าปากเตรียมจะถามอะไรบางอย่าง แต่จู่ ๆ มู่จวินเซิ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างก็เอ่ยขัดจังหวะขึ้นมา
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับแคว้นหนานซวนต้องรายงานพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มก้าวขึ้นมาบดบังน้องสาวเอาไว้ด้านหลังอย่างแนบเนียนโดยที่ไม่ให้ใครสังเกตเห็น
ในเวลาเดียวกัน เมื่อมู่เทียนฉงได้ยินว่าเป็นเรื่องสำคัญของหนานซวน เขาก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจทันที “เรื่องอะไรหรือ? เกี่ยวกับแมลงพิษที่เจ้าพูดถึงในจดหมายครั้งก่อนหรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะ” มู่จวินเซิ่งได้เขียนจดหมายรายงานให้เสด็จพ่อทราบเมื่อไม่นานมานี้ โดยในนั้นเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาพบในจวนตระกูลเฉิน “กระหม่อมคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลเฉินจะต้องเกี่ยวข้องกับแคว้นหนานซวน เราต้องรีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว”
พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าผู้เป็นพ่อละความสนใจไปจากตน เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หึ… ยิ่งอยู่นานยิ่งถดถอย
ไม่ว่าในอดีตจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จดจำคำพูดของผู้คนที่บอกว่า ฮ่องเต้ผู้นี้โหดเหี้ยมได้เสมอ แต่ตอนนี้เธอกลับแสดงท่าทีไม่พอใจต่อหน้าอีกฝ่าย
ดูเหมือนว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเธอจะใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกอย่างมีความสุขมากเกินไปจนทำให้หลงลืมไปว่าในวังหลวงนั้นเป็นเช่นไร
การที่เธอเป็นลูกสาวของมู่เทียนฉงแล้วอย่างไร?
เขาไม่ได้มีเธอเป็นลูกคนเดียวสักหน่อย
พอมู่ไป๋ไป่คิดถึงท่าทีผิดปกติของซูหว่านที่ประตูวังก่อนหน้านี้ รวมไปถึงการกระทำของลี่เฟย เธอก็ยิ่งรู้สึกหนักใจมากขึ้น
หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวงไม่กี่ชั่วยาม เธอก็อยากจะออกไปจากที่นี่แล้ว
เธอคิดถึงหุบเขาหมอเทวดา… เธอคิดถึงเซียวถังถังและอวี้หวานหว่าน…
และเธอก็คิดถึงคนผู้นั้นเล็กน้อย…
ในเวลาเดียวกัน ที่โต๊ะรับประทานอาหารในตำหนักอ๋องเซียว เสียงจามก็ดังขึ้นต่อหน้าเซียวถังอี้
ชายหนุ่มมองดูเซียวถังถังที่กำลังนั่งตัวสั่นอยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ขณะที่คิ้วหนากระตุก
“เอ่อ… ท่านพี่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง แต่นางไม่กล้ามองหน้ากากสีเงินที่ปิดบังใบหน้าของพี่ชาย “บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อคืนฝนตก ข้าถูกลมหนาวก็เลยเป็นหวัด”
ทางด้านชิงหานพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้เต็มที่ก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับผู้เป็นนาย
เซียวถังอี้รับผ้าเช็ดหน้าที่องครักษ์เงาส่งให้มาเช็ดน้ำลายออกจากหน้ากากของตัวเองแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ข้าสอนมารยาทบนโต๊ะอาหารให้เจ้าแบบนี้หรือ?”
ทันใดนั้นตะเกียบของเซียวถังถังก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ จนกระทั่งนางถูกสายตากดดันจากคนเป็นพี่ชาย นางจึงรีบชักตะเกียบของตัวเองกลับมา “ท่านพี่… ข้าผิดไปแล้ว…”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 486
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น