บทที่ 438: ที่แท้… เป็นเพราะแบบนี้
“เจ้าค่ะ” อวี้หวานหว่านกัดริมฝีปากพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ศิษย์พี่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง หวานหว่านจะทำตัวดี ๆ จะไม่ทำให้หุบเขาหมอเทวดาต้องอับอาย”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกขบขันกับท่าทางของนาง เธอจึงอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มคนตรงหน้าเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว “เจ้าพูดเองนะ หลังจากที่อยู่กับศิษย์พี่ของเจ้า 1 คืน เจ้าก็อย่าได้ลืมคำพูดของตัวเองไปเสียหมดล่ะ”
หญิงสาวรู้ดีถึงนิสัยชอบก่อเรื่องของเซียวถังถัง ไม่ว่าใครที่ได้อยู่กับนางย่อมถูกชักชวนให้หลงทางได้ทั้งนั้น
หลังจากส่งตัวอวี้หวานหว่านให้กับคนรับใช้ตำหนักอ๋องเซียวดูแล มู่ไป๋ไป่ก็เงยหน้ามองชายที่ยืนอยู่เงียบ ๆ ด้านข้าง
“ข้าขอฝากให้ท่านดูแลหวานหว่านกับถังถังด้วย” ด้วยเหตุผลบางประการ หญิงสาวรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เธอจึงกระแอมในลำคอก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ขอท่านช่วยดูแลพวกนางแทนข้าด้วย ไม่เช่นนั้นท่านจะต้องชดใช้”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองพูดผิดไป
เซียวถังถังเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของเซียวถังอี้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะต้องปกป้องน้องสาวตัวเอง
แต่คำพูดเหล่านั้นถูกเอ่ยออกไปแล้ว ถ้าเธออธิบายเพื่อแก้ตัวตอนนี้ มันจะทำให้เธอยิ่งดูโง่เขลามากขึ้น
เซียวถังอี้จ้องมองมู่ไป๋ไป่อยู่เงียบ ๆ เขาจึงรับรู้ท่าทีที่แปลกไปเล็กน้อยของเธอ และค่อย ๆ มีรอยยิ้มปรากฏที่มุมปากขณะที่เขากล่าวว่า “องค์หญิงหกไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะดูแลคนที่เจ้าฝากฝังเอาไว้เป็นอย่างดี”
พอหญิงสาวเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้ล้อเลียนสิ่งที่ตนพูดไปเมื่อครู่ เธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้น จากนั้นเธอก็กำมือแน่นแล้วพูดว่า “จำคำพูดของท่านเอาไว้ให้ดี เอาล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้า… ข้าขอตัวก่อน”
สิ้นเสียงพูด มู่ไป๋ไป่ก็หันหลังเตรียมเดินจากไป
“ช้าก่อน” เซียวถังอี้พูดรั้งอีกฝ่ายเสียงจริงจัง “มีอีกเรื่อง”
หญิงสาวชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมามองคนตัวสูงกว่าด้วยความสับสน “มีอะไรอีกหรือ?”
“จวงอี้หราน จอมยุทธ์จวง” เซียวถังอี้พูดพลางชี้ไปที่ชายหนุ่มในชุดสีฟ้าที่ลงมาจากรถม้าเมื่อสักครู่ “จอมยุทธ์จวงไม่มีที่พักในเมืองหลวง ตอนนี้เกิดเรื่องฉุกละหุกขึ้น ฉะนั้นก็ให้เขาพักอยู่กับข้าเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าดูแลพวกเขาเอง”
ช่วงนี้จวงอี้หรานได้ติดตามพวกเธอกลับเมืองหลวงด้วย แล้วพฤติกรรมของเขาก็ดูปกติมากตลอดการเดินทางที่ผ่านมา
นอกจากมู่ไป๋ไป่แล้ว ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปจากเดิมเลย
ดวงตาเรียวของหญิงสาวฉายแววเข้าใจอะไรบางอย่างชัดขึ้น เธอไม่รู้ว่าเซียวถังอี้กำลังวางแผนจะทำอย่างไรต่อไป ในเมื่อเขาฉลาดมากขนาดนั้น
ผู้ชายคนนี้ทำตัวเลียนแบบเซียวถังอี้ได้เกือบทุกอย่าง เขาเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าตัวเองถูกจับได้แล้ว?
มู่ไป๋ไป่คิดแผนในใจอย่างรวดเร็ว เธอเอามือไพล่หลังแล้วยิ้มให้ชายหนุ่ม “เสด็จอาเล็ก นี่อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดี จอมยุทธ์จวงเป็นคนไข้ของข้า พรุ่งนี้เขาจะต้องเข้ารับการรักษาครั้งสุดท้าย หากเขาไปอยู่กับท่าน พรุ่งนี้ข้าอาจจะไม่สามารถออกจากวังหลวงได้ แบบนี้มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการรักษาของจอมยุทธ์จวงหรอกหรือ?”
“...” เซียวถังอี้เลิกคิ้วขึ้นเงียบ ๆ
เจ้าตัวเล็กนี่ฉลาดจริง ๆ
“แล้วเจ้าคิดจะพาเขาเข้าไปพักอยู่ในวังหรือ?” ชายหนุ่มเอ่ยปากถาม
“องค์หญิงหก เจ้าควรจะรู้ตัวว่าการที่เจ้ากลับมาถึงเมืองหลวงในครั้งนี้ มีสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่เจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าถ้าพาคนผู้หนึ่งกลับเข้าไปในวัง ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร?”
“ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรก็ช่าง มันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง” มู่ไป๋ไป่เชิดคางขึ้นพูดด้วยท่าทางเอาแต่ใจ และเธอได้กลับมาวางท่าทีเป็นองค์หญิงหกอีกครั้ง
เมื่อเซียวถังอี้เห็นหญิงสาวแสดงออกเช่นนี้ ดวงตาดุจเหยี่ยวก็มีแสงสลัว เขาได้เบนสายตาไปทางอื่นเพื่อปกปิดอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในดวงตา และกระแอมในลำคอเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้น ทำไมเราไม่ถามความเห็นของจอมยุทธ์จวงก่อนล่ะ?”
“หากเจ้ากังวลว่าพรุ่งนี้จะออกจากวังหลวงไม่ได้จนทำให้แผนการรักษาจอมยุทธ์จวงล่าช้า เอาแบบนี้ดีหรือไม่ ข้าจะส่งจอมยุทธ์จวงเข้าไปในวังเงียบ ๆ…”
“จวงอี้หราน ท่านจะไปกับข้าหรือไม่?” มู่ไป๋ไป่หันกลับไปหรี่ตามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยรอยยิ้มมุมปาก แต่เธอรู้สึกว่าท่าทีของอีกฝ่ายดูแปลก ๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็ดูแปลกมาก
ทางด้านจวงอี้หรานยังคงมีรอยยิ้มจาง ๆ ประดับบนใบหน้า แต่ในใจของเขากลับร้อนรนและแอบส่งสายตาไปหาเซียวถังอี้เพื่อขอความช่วยเหลือ
นายท่าน ข้า… ข้าควรตอบเรื่องนี้ว่าอย่างไรดีขอรับ?
“ท่านไม่อยากไปกับข้าหรือ?” เมื่อมู่ไป๋ไป่เห็นว่าจอมยุทธ์จวงไม่ยอมตอบอะไร เธอก็มีคำตอบในใจอยู่แล้ว
ดูเหมือนว่าเซียวถังอี้จะเตรียมการทุกอย่างเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย
ช่างมันเถอะ
ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้สนใจเขาตั้งแต่แรก
หญิงสาวเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา แล้วก้าวขึ้นรถม้าด้วยความโมโหก่อนจะสั่งให้จื่อเฟิงบังคับรถม้าเข้าไปในประตูวังหลวง
หลังจากจวงอี้หรานเห็นรถม้าของมู่ไป๋ไป่เคลื่อนตัวออกไป เขาก็เดินเข้าไปหาเซียวถังอี้และพูดด้วยระดับเสียงที่ได้ยินเพียง 2 คนว่า “นายท่าน ถ้าปล่อยให้ข้าน้อยติดตามองค์หญิงหกเข้าไปในวังหลวง มันก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่เสียทีเดียว”
“ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ฝ่าบาทจะต้องเรียกท่านให้เข้าเฝ้าแน่นอน แล้วเราจะ—”
“ไม่ได้” เซียวถังอี้รอจนกระทั่งเงาของรถม้าหายไปที่ปลายถนน ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ละสายตาออกมา
สิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้นั้นคือความจริง
ในวังหลวงตอนนี้มีสายตาจำนวนมากคอยจับจ้องไปที่มู่ไป๋ไป่ ไม่ว่าจะเป็นในท้องพระโรงหรือในวังหลังก็ตาม
ขณะนั้นจวงอี้หรานสังเกตเห็นอารมณ์วูบไหวในดวงตาของผู้เป็นนาย เขาตกตะลึงทันทีและรีบก้มหน้าลงด้วยความตื่นตระหนก เขาแสร้งทำเป็นว่าเมื่อครู่นี้ตนมองไม่เห็นอะไร
ไม่แปลกใจที่นายท่านจะเข้าไปช่วยองค์หญิงหกแม้ว่าร่างกายตัวเองจะอ่อนแอเพราะได้รับพิษอยู่แล้ว
…นั่นคือเหตุผลสินะ
ตำหนักอ๋องเซียวตั้งอยู่ไม่ไกลจากวังหลวงมากนัก ก่อนที่มู่ไป๋ไป่จะได้โมโหนานไปกว่านี้ รถม้าก็เคลื่อนตัวเข้าสู่เขตพระราชฐานแล้ว
ที่หน้าประตูวังสีแดงเข้มบานใหญ่ปิดลงช้า ๆ ตามหลังรถม้า แล้วหญิงสาวก็กระโดดลงจากรถม้าก่อนจะเห็นคนหลายคนเดินเข้ามาหาตนด้วยท่าทางเร่งรีบ
เธอจ้องมองไปยังสตรีที่ดูอ่อนโยนซึ่งเดินนำทุกคนมาและใช้เวลาสักพักจึงจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร ดวงตาคู่สวยจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำและเธอก็รีบวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย
“ท่านแม่!”
ซูหว่านดันมือสาวใช้ส่วนตัวออกแล้วเอื้อมมือไปจับมือมู่ไป๋ไป่ไว้แน่น ก่อนที่นางจะกอดลูกสาวพร้อมกับหลั่งน้ำตาแห่งความปีติยินดี “ไป๋ไป่… ไป๋ไป่ของแม่กลับมาแล้ว”
แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้อยู่ข้างกายซูหว่านมานาน แต่เธอก็ยังสัมผัสได้ถึงความรักจากแม่คนนี้จริง ๆ
ดังนั้นเธอจึงนับว่าอีกฝ่ายเป็นแม่ของเธอเสมอ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซูหว่านได้ส่งคนให้เอาของมาให้เธอในเกือบทุก ๆ 2-3 วัน
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเสื้อผ้าหรือถุงหอมที่นางเย็บและปักเอง
มู่ไป๋ไป่จึงรู้สึกซาบซึ้งถึงความรักของผู้เป็นแม่มาก
“ไป๋ไป่กลับมาแล้ว” หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของซูหว่านพยายามสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่เอ่อล้นออกมา “ไป๋ไป่คิดถึงท่านแม่มากเลยเพคะ”
“แม่เองก็คิดถึงไป๋ไป่เช่นกัน” คนเป็นแม่คลายอ้อมแขนออกจากลูกสาวสุดที่รักและจับแขนมองสำรวจใบหน้าของอีกฝ่าย “มานี่ ให้แม่ดูเจ้าหน่อย”
“ดูสิ ไป๋ไป่ของแม่ตัวสูงขึ้นอีกแล้วใช่หรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่ยืนนิ่ง ๆ ให้ผู้เป็นแม่สำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนกว่านางจะพอใจ
“พระสนม ฝ่าบาทเองก็ทรงเฝ้ารอองค์หญิงหกอยู่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้น้อยที่มู่ไป๋ไป่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนก้าวออกมาเตือนเบา ๆ “หากองค์หญิงหกยังไม่ไปเข้าเฝ้า ฝ่าบาทจะทรงเป็นกังวล”
ซูหว่านชะงักไปชั่วครู่และเหลือบตามองขันทีหนุ่มอย่างใจเย็น ก่อนที่นางจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้ารู้ขอบเขตของตัวเองดี ไม่ถึงคราวที่เจ้าจะต้องมาตักเตือน”
หลายปีที่ผ่านมาหลังจากที่มู่ไป๋ไป่ออกจากวังหลวงไป ซูหว่านก็มีตำแหน่งที่สูงขึ้น นางไม่ใช่หว่านผินผู้ต่ำต้อยที่จะถูกผู้อื่นรังแกได้ง่าย ๆ อีกต่อไป
นางรู้ว่ามีเพียงแค่ต้องมีอำนาจเพิ่มขึ้นเท่านั้น นางจึงจะสามารถปกป้องมู่ไป๋ไป่และเป็นแรงสนับสนุนของอีกฝ่ายยามที่อยู่ในวังหลวงได้
นางไม่สามารถทำตัวอ่อนแอเอาแต่พึ่งพาลูกสาวของตนเองไปทุกเรื่องเหมือนอย่างเคยได้อีกต่อไป


แสดงความคิดเห็น