บทที่ 432: พี่ชายของข้าคือเทพสงครามแห่งเป่ยหลง

-A A +A

บทที่ 432: พี่ชายของข้าคือเทพสงครามแห่งเป่ยหลง

“ใช่แล้ว…” เซียวถังถังที่ยืนอยู่ด้านข้างก้มหัวลงมาเกยคางบนไหล่ของมู่ไป๋ไป่พร้อมกับอ้าปากหาว “ท่านอาจารย์ ท่านสับสนเพราะอวี้เซิ่งหรือไม่?”

“นั่งตรง ๆ!” เจียงเหยาใช้ไม้ไผ่ในมือตีโต๊ะหินทำท่าข่มขู่เหล่าลูกศิษย์ “ดูพวกเจ้า 2 คนสิ ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วที่พวกเจ้าไม่มีเรียนตอนเช้า พวกเจ้าลืมกฎเกณฑ์ทั้งหมดไปแล้วหรือ?”

เซียวถังถังกับมู่ไป๋ไป่ถึงขั้นสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ และนั่งตัวตรงอย่างรวดเร็ว

อวี้หวานหว่านที่กำลังแอบอยู่ข้าง ๆ ก็เฝ้าดูพร้อมกับปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะ

ผู้เป็นแม่จึงหันไปถลึงตาใส่ลูกสาวของตน ก่อนจะเอ่ยเสียงเตือนเบา ๆ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงทุ้มลึกว่า “พวกเรากำลังจะไปถึงเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะเป็นเช่นไรถ้าอวี้เซิ่งกับข้าไม่ร่วมเดินทางไปกับเจ้าอีก”

“อะไรนะ?!” ท่าทีของมู่ไป๋ไป่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านอาจารย์ ทำไมถึงกะทันหันนักล่ะ เราไม่ได้ตกลงกันตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วหรือว่าจะไปเมืองหลวงด้วยกัน จากนั้นค่อยกลับหุบเขาหมอเทวดา?”

“อีกอย่างพวกท่านจะไม่ไปกับหวานหว่านหรือ?”

อวี้หวานหว่านที่กำลังแอบดูสถานการณ์เดินเข้ามาพูดด้วยความเป็นกังวล “ท่านแม่ ถ้าท่านกับท่านพ่อไม่ไปเมืองหลวง ข้าก็จะไม่ไปเหมือนกัน ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน ข้าจะไปกับท่านด้วย!”

“ไม่ได้” เจียงเหยาถอนหายใจเงียบ ๆ แล้วดึงลูกสาวตัวน้อยมานั่งข้างกาย “หวานหว่าน เจ้าจะต้องไปที่เมืองหลวง”

“ไทเฮาทรงเอ่ยถึงเจ้าในเทียบเชิญที่ส่งไปยังหุบเขาหมอเทวดา หากเจ้าไม่ไปเมืองหลวง นั่นถือว่าเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งไทเฮา”

ดวงตาของอวี้หวานหว่านแดงก่ำเมื่อได้ยินสิ่งที่แม่พูด นางไม่ต้องการแยกจากครอบครัวอีก “แต่ทำไมท่านพ่อกับท่านแม่ถึงไม่ไปล่ะเจ้าคะ?” 

“ใช่ ท่านอาจารย์ มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่เจ้าคะ?” พอมู่ไป๋ไป่พิจารณาจากท่าทางผิดปกติของผู้เป็นอาจารย์เมื่อสักครู่ สีหน้าของเธอก็จริงจังมากขึ้น “ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้น ท่านบอกให้พวกเรารู้เถอะ แล้วเราจะช่วยหาทางแก้ไขด้วยกันเจ้าค่ะ”

เจียงเหยามองลึกเข้าไปในดวงตาของลูกศิษย์คนโตและกล่าวว่า “ไป๋ไป่ เจ้าคิดเอาไว้แล้วหรือยังว่าเจ้าจะทำอะไรหลังจากจบงานเลี้ยงในครั้งนี้?”

เมื่อได้ยินคำถามนั้นมู่ไป๋ไป่ก็ตกตะลึง แล้วเธอก็เข้าใจทันที

เจียงเหยากับอวี้เซิ่งต่างเป็นคนฉลาด พวกเขาคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าการกลับเมืองหลวงในครั้งนี้จะไม่ราบรื่นนัก

ทั้งคู่ไม่ต้องการทำให้หญิงสาวตกที่นั่งลำบากจึงไม่สามารถเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องได้จริง ๆ

พอมู่ไป๋ไป่คิดถึงเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกผิดในใจ

“ไป๋ไป่ อาจารย์ไม่ได้ถามคำถามนี้เพื่อตำหนิเจ้า” ผู้เป็นอาจารย์เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายจึงลูบหัวปลอบด้วยความรักเหมือนตอนที่ยังเป็นเด็ก

“ในทางตรงกันข้าม อาจารย์หวังว่าเจ้าจะทำสิ่งที่อยากทำให้ดีที่สุดโดยไม่ต้องกังวลอะไร”

“หากครั้งนี้อวี้เซิ่งกับข้าตามเจ้ากลับไปที่เมืองหลวง มีความเป็นไปได้สูงมากที่พวกเราจะกลายเป็นจุดอ่อนของเจ้า”

เจียงเหยาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดต่อว่า “ดังนั้น หลังจากที่ข้าหารือกับอวี้เซิ่งแล้ว พวกเราตัดสินใจที่จะแยกทางออกไปหลังจากที่เราออกเดินทางในวันพรุ่งนี้”

“แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป เราจะคอยอยู่ใกล้ ๆ หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือ เจ้าสามารถติดต่อเราโดยใช้วิธีการของหุบเขาหมอเทวดา”

“ท่านอาจารย์ ถ้าเช่นนั้นท่านก็ควรพาหวานหว่านไปด้วย” มู่ไป๋ไป่กัดฟันพูดโต้แย้ง “ข้าจะหาวิธีพูดคุยกับไทเฮาเอง ท่านพ่อรักข้า คงไม่มีใครขัดใจข้าหรอก”

“ไม่ได้ หวานหว่านจะต้องไปเมืองหลวงกับเจ้า” ดวงตาของเจียงเหยาเผยให้เห็นถึงความรู้สึกปวดใจ แต่สีหน้าของนางยังคงแสดงออกอย่างแน่วแน่ “ถ้าพวกเรา 3 คนไม่ไปกันหมด มันจะยิ่งดูน่าสงสัย อีกอย่าง หวานหว่านก็เป็นเพียงเด็ก คนพวกนั้นคงไม่สนใจนางมากนัก”

“นอกจากนี้ข้าได้หารือกับเซียวถังอี้ไปแล้วว่า หลังจากที่หวานหว่านเข้าไปในเมืองหลวง นางจะไปอาศัยอยู่ที่ตำหนักอ๋องเซียวเป็นการชั่วคราว เซียวถังอี้ย่อมต้องปกป้องหวานหว่าน”

มู่ไป๋ไป่คิดถึงสิ่งที่เซียวถังถังพูดเมื่อคืนที่บอกว่าเซียวถังอี้กับอวี้เซิ่งดื่มอยู่ที่ลานบ้านอยู่นาน และคิดว่าพวกเขาน่าจะกำลังพูดคุยกันเรื่องนี้

“ข้าเข้าใจแล้ว” หญิงสาวรับปากขณะที่ในใจเธอรู้สึกหนักอึ้งอย่างอธิบายไม่ถูก

เธอเฝ้ารอที่จะได้กลับไปยังเมืองหลวง แต่พอเธอเข้าใกล้เมืองหลวงมากขึ้น นอกจากสำนักตระกูลถังจะไม่ยอมรามือแล้ว พวกเขายังเหิมเกริมมากขึ้นด้วย รวมถึงท่าทีผิดปกติของเซียวถังอี้ อวี้เซิ่งและคนอื่น ๆ ทำให้เธอสามารถคาดเดาอะไรบางอย่างได้มากขึ้น

หรือว่าท้ายที่สุดแล้วเธอไม่อาจหนีจากชะตากรรมขององค์หญิงไปได้จริง ๆ?

ชีวิตที่เธอเคยวาดฝันว่าอยากจะออกไปท่องโลกกว้างจะกลายเป็นเพียงแค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ จริงหรือ?

“ไป๋ไป่…” เซียวถังถังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเจียงเหยากับมู่ไป๋ไป่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร นางรู้สึกเพียงว่าบรรยากาศรอบตัวตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย นางจึงเอนตัวเข้าไปหาศิษย์พี่ใหญ่แล้วพูดด้วยความเป็นกังวลว่า “จะเป็นอย่างไรหากเรา… กลับเมืองหลวงในครั้งนี้ มันจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นหรือ?”

“ไม่มีทาง” มู่ไป๋ไป่เก็บงำอารมณ์ของตัวเองและยิ้มปลอบโยนศิษย์น้อง “งานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮาจะเกิดเรื่องเลวร้ายได้อย่างไร?”

“มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น วังหลวงเป็นสถานที่แบบใดเจ้าก็รู้”

เนื่องจากเซียวถังถังมักจะเชื่อฟังมู่ไป๋ไป่เสมอ นางจึงโล่งใจที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แล้วนางก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง “ที่แท้เป็นเพียงอุบายของเหล่าสนมเท่านั้น”

“แต่ใครในวังหลังตอนนี้ที่มีสถานะเท่าเทียมกับท่านแม่ของท่านอีก? ตัวอย่างเช่นลี่เฟย แม้ว่านางจะให้กำเนิดองค์ชายน้อยแก่เสด็จพ่อของท่านเมื่อปีที่แล้วจนได้รับการปล่อยตัวจากตำหนักเย็น แต่เสด็จพ่อของท่านก็ไม่ได้คืนสถานะให้กับนางไม่ใช่หรือ?”

“ส่วนหรงเฟย ข้าได้ยินมาว่านางไปถือศีลกินเจและสวดมนต์กับเสด็จย่าของท่านตั้งหลายวัน นางก็ดูเป็นคนซื่อสัตย์มาก ท่านจะต้องกังวลเรื่องอะไรอีก?”

มู่ไป๋ไป่แย้มยิ้มขมขื่น “หยุดพูดเถอะ สิ่งที่เจ้าพูดทำให้ข้าเป็นกังวลมากพอแล้ว”

ในตอนแรก ลี่เฟยได้พาราชครูปลอมมาทำนายในวันเกิดอายุครบ 5 ขวบของเธอโดยหวังว่าจะตราหน้าว่าเธอเป็นตัวซวยที่ทำให้แว่นแคว้นต้องล่มสลาย เพื่อที่จะกำจัดเธอไปให้พ้นทาง

โชคดีที่หญิงสาวฉลาดมากพอจึงได้วางแผนตลบหลังจนรอดพ้นภัยพิบัติมาได้ เมื่อลี่เฟยคิดจะทำร้ายเธอ เธอก็ได้ส่งนางให้เข้าไปอยู่ตำหนักเย็น

เดิมทีเธอคิดว่าลี่เฟยจะไม่ก่อปัญหาอะไรอีกแล้ว

ใครจะไปคาดคิดว่าเมื่อปีที่แล้ว จดหมายที่ท่านพี่รัชทายาทส่งมาให้เธอได้กล่าวถึงลี่เฟยขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาบอกว่านางได้รับการอภัยโทษจากเสด็จพ่อและได้รับการปล่อยตัวออกจากตำหนักเย็น ไม่เพียงเท่านั้น อีกฝ่ายยังตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนแล้ว

ทั้งที่นางถูกขังอยู่ในตำหนักเย็น นางก็ยังตั้งครรภ์ลูกของเสด็จพ่อได้ นับเป็นอุบายที่ชาญฉลาดจริง ๆ

ในส่วนของหรงเฟยนั้น ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งเก่งยิ่งกว่าใครเสียอีก

นางหลอกทุกคนด้วยการแสร้งทำตัวเป็นคนดีอยู่ที่วัดฮู่กั๋วตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือ?

ตอนที่เธอถูกหรงเฟยและขันทีจับโยนลงเขา หากเซียวถังอี้ไม่ได้ผ่านมาเห็นและช่วยชีวิตเธอเอาไว้ เธอคงกลายเป็นซากศพอยู่ใต้หน้าผาด้านหลังวัดฮู่กั๋วไปแล้ว

ต้องบอกว่าพระสนม 2 คนนี้ไม่ใช่คนดีเลย

นอกจากนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาท่านพ่อของเธอก็โปรดเพียงท่านแม่ของเธอเท่านั้น ดังนั้นเธอจะต้องเป็นหนามยอกอกในสายตาของพวกนางทันทีที่เธอกลับไปวังหลวงครั้งนี้

“อ้าว ถ้าท่านกังวลจริง ๆ ก็ขอให้ท่านพี่ของข้าช่วยปกป้องท่านสิ” เซียวถังถังพูดขึ้นมาอย่างมีความสุข “พี่ชายของข้าเป็นเทพสงครามแห่งเป่ยหลงซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยอดีตฮ่องเต้เชียวนะ ทั่วทั้งเป่ยหลงไม่มีใครกล้าหือกับท่านพี่ข้าหรอก”

“ขอเพียงท่านพี่ข้าปกป้องท่าน ย่อมไม่มีใครกล้ารังแกท่านแน่”

“โอ๊ย! ท่านอาจารย์ตีข้าทำไม?!”

หญิงสาวยกมือขึ้นกุมหัวที่เพิ่งถูกตีไปและทำตาปรอยมองเจียงเหยา

“เจ้านี่มันจริง ๆ เลย เรื่องแบบนี้อาจจะพูดต่อหน้าพวกเราได้เพราะถึงอย่างไรพวกเราก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน” ผู้เป็นอาจารย์ดุพร้อมกับบิดแก้มของลูกศิษย์ “แต่ถ้าหากเราไปถึงเมืองหลวงแล้ว เจ้าห้ามพูดออกมาอีกเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”

“แม้แต่ในตำหนักอ๋องเซียวก็ห้าม!”

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: มึนตึ๊บเลยทีนี้ ไปทำอีท่าไหนถึงท้องได้ทั้งที่อยู่ในตำหนักเย็น? เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่!

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.