บทที่ 361 ผนึกถูกทำลาย
บทที่ 361 ผนึกถูกทำลาย
ตอนแรกพ่อค้าไม่ได้สนใจการกระทำของลู่หยางมากนัก แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นตุ๊กตาของลูกสาวเขาก็รีบลุกขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“นี่มันของลูกสาวฉัน! คุณไปเจอมันมาจากไหน?”
“ที่ร่างของบันนัม” ลู่หยางตอบ
“คุณจะบอกว่าคุณฆ่าบันนัมไปแล้วงั้นเหรอ?” พ่อค้าถามอย่างตื่นเต้น
“ใช่ครับ”
“ขอบคุณมากสหาย ขอบคุณที่ช่วยแก้แค้นให้ภรรยาและลูกสาวของฉัน” พ่อค้าร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ ก่อนที่เขาจะหยิบขวดยาบางอย่างมาส่งให้กับลู่หยาง
“นี่คือสิ่งเดียวที่ฉันช่วยตอบแทนคุณได้ ฉันต้องขอบคุณคุณจริง ๆ ที่ช่วยแก้แค้นมันแทนฉัน”
น้ำศักดิ์สิทธิ์: สามารถถอดผนึกสูตรบางอย่างได้
ลู่หยางหยิบสูตรที่ถูกปิดผนึกออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะทำการเทน้ำศักดิ์สิทธิ์ขวดนี้ลงไป ทันใดนั้นมันก็มีแสงสีทองสว่างขึ้นมาอย่างฉับพลันพร้อมกับตัวอักษรบนกระดาษที่เริ่มปรากฏขึ้นมา
เอคโคออฟเมจิก
เอฟเฟกต์ ลดความต้านทานเวทมนตร์ของเป้าหมายในพื้นที่ลง 30%
ลู่หยางกำหมัดแน่นขึ้นมาด้วยความดีใจ เพราะถ้าหากรวมน้ำยาชนิดนี้เข้ากับเอฟเฟกต์เจาะทะลุพลังป้องกันเวทมนตร์ที่เขาได้รับมาจากหัวใจแห่งเทพอสูร มันก็ทำให้เขาสามารถไปเก็บเลเวลในแผนที่ระดับสูงได้อย่างง่ายดาย
ทันใดนั้นมันก็มีคนติดต่อเขาเข้ามา ก่อนที่เขาจะพบว่ามันเป็นสายจากเซี่ยหยู่เว่ย
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“ตอนนี้เราสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกภายในป้อมปราการวินด์ธันเดอร์หมดแล้วค่ะ หัวหน้าช่วยมาตรวจสอบความเรียบร้อยอีกทีได้ไหมคะ?” เซี่ยหยู่เว่ยกล่าว
“โอเค เดี๋ยวฉันไปดูให้เธอไปรอฉันที่ป้อมคริมสันได้เลย” ลู่หยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
การอยู่ที่นี่ต่อไปก็คงจะไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ลู่หยางจึงหยิบม้วนคัมภีร์เพื่อเทเลพอร์ตไปยังป้อมปราการคริมสันและทันทีที่เขาปรากฏตัวเขาก็เห็นว่าข้าง ๆ มีเซี่ยหยู่เว่ยปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกัน
“นี่ค่ะหัวหน้า” เซี่ยหยู่เว่ยกล่าวพร้อมกับมอบคัมภีร์เทเลพอร์ตไปยังป้อมวินด์ธันเดอร์ให้กับลู่หยาง และถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ม้วนกระดาษชิ้นเล็ก ๆ แต่มันก็เป็นตัวแทนของเกียรติยศที่ผู้ครอบครองป้อมปราการเท่านั้นถึงจะซื้อมันมาใช้การในช่วงเวลานี้ได้
ผู้ที่ไม่เคยครอบครองป้อมปราการย่อมไม่มีวันรู้ว่าการยืนอยู่บนกำแพงป้อมเพื่อมองไปยังเมืองภายใต้การควบคุมของตัวเองเป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจมากแค่ไหน และมันก็เห็นได้ชัดเลยว่าเซี่ยหยู่เว่ยได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นด้วยตัวเองแล้ว
“พวกเราไปกันเถอะค่ะ ทุกคนกำลังรอคุณอยู่” เซี่ยหยู่เว่ยกล่าว
“อือ” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับพยักหน้ารับ จากนั้นทั้งสองคนก็ใช้ม้วนคัมภีร์เพื่อเทเลพอร์ตไปยังป้อมวินด์ธันเดอร์
ทั้งสองได้ปรากฏตัวบริเวณจุดวาร์ปภายในเขตเมืองชั้นในของป้อมปราการ ซึ่งบริเวณใกล้ ๆ ก็มีเจียงเจ๋อกับฉิงชางกำลังนำทุกคนยืนรอกันอยู่ก่อนแล้ว
“หัวหน้ามาแล้ว” ทุกคนพูดพร้อมกัน
“ทุกคนมากันหมดเลยเหรอ?” ลู่หยางกล่าว
ทุกคนต่างก็พยักหน้ารับ
“หัวหน้า วิธีการที่คุณให้มามันใช้ได้ดีมากเลย ไม่คิดเลยว่าในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันพวกเราจะครอบครองป้อมปราการได้ถึง 2 แห่ง” ฉิงชางกล่าวอย่างตื่นเต้นเพราะท้ายที่สุดในช่วงเวลานี้ของเกมก็มีเพียงแค่บลัดบราเธอร์ที่ครอบครองป้อมปราการได้ 2 แห่งในเวลาเดียวกัน มันจึงเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกภาคภูมิใจมาก
“หัวหน้าช่วยดูหน่อยสิคะว่าฉันจัดการทุกอย่างเป็นยังไงบ้าง?” เซี่ยหยู่เว่ยกล่าว
ลู่หยางเดินสำรวจดูอาคารโดยรอบด้วยตัว อาคารภายในเมืองชั้นในได้ถูกจัดวางเอาไว้ใกล้กับกำแพงเมืองทำให้ไม่มีใครสามารถเข้ามาซ่อนตัวตรงบริเวณหลังอาคารได้
พื้นที่ว่างตรงกลางถูกแบ่งออกเป็น 16 โซนและมีลานกว้างถูกเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งถ้าหากพื้นที่ด้านนอกของป้อมปราการถูกโจมตี ผู้เล่นก็สามารถใช้พื้นที่ในเมืองชั้นในในการต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
“ออกแบบได้ดีมาก” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ไม่เสียแรงที่ฉันใช้เวลาออกแบบทุกอย่างมาตั้ง 3 วัน” เซี่ยหยู่เว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ดีมาก แต่หลังจากนี้ทุกคนจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะสงครามครั้งต่อไปมันใกล้เข้ามาแล้ว” ลู่หยางกล่าว
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอคะ?” เซี่ยหยู่เว่ยถามพร้อมกับมองไปทางลู่หยางด้วยความประหลาดใจ
“ฉันเพิ่งเห็นลิ่วเจียอยู่กับโซลออฟอีเทอนิตี้ที่เมืองซีเอ็มเพอเรอร์ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดภายในครึ่งเดือนนี้ลิ่วเจียก็คงจะครอบครองดีวายโซลได้สำเร็จ ขณะเดียวกันโซลออฟอีเทอนิตี้ก็มีคำสั่งบุกโจมตีป้อมวินด์ธันเดอร์ที่ได้มาจากแบล็คบลัด ดังนั้นป้อมปราการนี้จะต้องเป็นป้อมปราการแรกหลังจากที่พวกเขาได้รับเงินทุนก้อนใหญ่มาสนับสนุนอย่างแน่นอน” ลู่หยางกล่าว
“หัวหน้าวางใจได้เลยค่ะ ตอนนี้เรามีกองกำลังคอยปกป้องป้อมปราการอยู่ 100,000 คน แล้วถึงแม้โซลออฟอีเทอนิตี้มันจะได้รับเงินทุนสนับสนุนมาอย่างมหาศาล แต่ฉันก็มั่นใจว่าจะปกป้องป้อมแห่งนี้เอาไว้ได้” เซี่ยหยู่เว่ยกล่าวด้วยแววตาอันเย็นชา
“ใครจะปล่อยให้เธอป้องกันป้อมอยู่คนเดียวล่ะ ถ้าเธอถูกโจมตีพวกเราก็ต้องมาช่วยเธออยู่แล้ว สิ่งที่ฉันเตือนคืออย่าปล่อยให้พวกมันแอบโจมตีลับหลังพวกเราได้ ช่วงนี้เธอก็สั่งให้ลูกน้องออกไปเก็บเลเวลแถว ๆ ป้อมปราการ พวกเราจะได้เห็นการเคลื่อนไหวของพวกมันล่วงหน้า หากพวกมันคิดจะแอบซุ่มโจมตี” ลู่หยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยหยู่เว่ยพยักหน้ารับ
“อีกอย่างคือเธอจะต้องจัดสรรเวลาคนมาดูแลป้อมปราการให้ดี ๆ โดยเฉพาะตอนกลางคืนจะต้องมีเวรยามคอยปกป้องป้อมปราการไม่น้อยกว่า 600 คน สิ่งที่พอจะดึงดูดใจของพวกเขาได้ก็คือการให้คะแนนกิลด์กับเวรยามคนละ 30 แต้มต่อคืน” ลู่หยางพูดต่อ
คะแนนกิลด์ระดับนี้จัดได้ว่าเป็นคะแนนในระดับที่สูงมาก เพราะขอแค่พวกเขาเข้าเวรเพียงแค่ 1 สัปดาห์ พวกเขาก็สามารถแลกอุปกรณ์ระดับทองเลเวล 30 ไปใช้งานได้ 1 ชิ้นแล้ว
“ขอบคุณค่ะหัวหน้า” เซี่ยหยู่เว่ยกล่าว
“ไม่ต้องมาเกรงใจฉัน พวกเราไปจัดการป้อมชั้นนอกกันเถอะ”
ป้อมปราการวินด์ธันเดอร์แตกต่างจากป้อมปราการคริมสันที่ถูกสร้างอยู่บนภูเขาสูงและมีประตูบานใหญ่อยู่เพียงแค่ประตูเดียว เพราะป้อมวินด์ธันเดอร์ตั้งอยู่บนที่ราบและมีประตูใหญ่เปิดใช้งานได้ถึง 4 ประตู
ลู่หยางได้ทำการปรับแผนผังบริเวณด้านหลังประตูทั้ง 4 ทิศให้กลายเป็นรูปตัว U นอกจากนี้เขายังสร้างหอธนูทั้งหมดอีก 60 หอ ซึ่งมันก็ใช้เงินไปทั้งสิ้นประมาณ 20,000 เหรียญทอง
“หัวหน้าพอแล้วค่ะ นี่มันมากเกินไปแล้ว” เซี่ยหยู่เว่ยพูดอย่างอ่อนใจหลังจากได้เห็นลู่หยางใช้เงินไปอย่างมหาศาล
ระหว่างนั้นลู่หยางก็ได้สร้างหอธนูเพิ่มอีก 30 หอกระจายไปยังประตูทั้ง 4 ทิศ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาว่า
“แค่นี้น่าจะพอแล้ว ต่อไปหากใครต้องการจะเข้ามาโจมตีป้อมของเธอ พวกเขาก็คงจะถูกธนูยิงจนตัวพรุน”
เซี่ยหยู่เว่ยมองลู่หยางด้วยความซาบซึ้ง
“ตอนนี้ผมชักอยากจะเห็นตอนที่โซลออฟอีเทอนิตี้มันบุกเข้ามาซะแล้วสิ หลังจากได้เห็นการป้องกันที่หัวหน้าได้ออกแบบมาไว้ พวกมันก็คงจะปวดหัวจนไปไหนไม่รอดแล้ว” บิทเทอร์เลิฟกล่าว
ทุกคนต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยและพวกเขาก็ไม่เคยคิดถึงวิธีการปรับแผนผังป้อมปราการในลักษณะนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังไม่คิดว่าลู่หยางจะยอมทุ่มเงินทุนกับป้อมปราการมากขนาดนี้
“จำเอาไว้ว่าสงครามที่กำลังจะมาถึงไม่ใช่เรื่องที่เราจะจัดการได้ง่าย ๆ ลิ่วเจียสามารถลงทุนเงินหลายร้อยล้านได้สบาย ๆ และมันก็ซื้อกิลด์ใหญ่ ๆ ในเผ่าสัตว์อสูรและเผ่าเอลฟ์ไปได้หลายกิลด์แล้ว เท่าที่ดูเป้าหมายของมันคือการยึดครองทุกอย่างทั่วทั้งเซิฟเวอร์จีนอย่างแน่นอน เมื่อไหร่ก็ตามที่มันกำหนดเป้าหมายมาที่เราในเวลานั้นเราก็ต้องเตรียมตัวรับศึกหนักจากทุก ๆ ด้าน” ลู่หยางกล่าว
“เกมนี้ไม่ใช่ของมันคนเดียวสักหน่อย ทำไมมันต้องทำอะไรเอาแต่ใจแบบนั้นด้วย” ไป๋เหลิงกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ใช่ ถ้ามันกล้าก็ให้มันบุกเข้ามาเลย พวกเราจะสั่งสอนให้มันได้รู้จักความพ่ายแพ้เอง” ซุนหยูกล่าว
“ตอนนี้พวกเราก็ไม่ได้อ่อนแอเหมือนเดิมแล้วนะ หลังจากชัยชนะในสงครามครั้งก่อนมันก็ทำให้สมาชิกกิลด์ของเราทะลุ 260,000 คนแล้วและทุกคนต่างก็มีเลเวล 25 ขึ้นไปถือได้ว่าพวกเราได้กลายเป็นกิลด์อันดับ 1 ของเมืองเซนต์กอลล์อย่างเป็นทางการ” ถูเฟิงกล่าว
ข่าวเรื่องที่บลัดบราเธอร์ครอบครองป้อมปราการ 2 แห่งแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองเซนต์กอลล์ มันจึงทำให้กิลด์ของพวกเขาดึงดูดผู้เล่นระดับสูงได้เป็นจำนวนมาก และจำนวนตัวเลขของกิลด์ก็คงจะทะลุ 300,000 คนในระยะเวลาอันสั้น
อย่างไรก็ตามการรับสมาชิกเข้ามามากขึ้นก็จะทำให้องค์ประกอบของสมาชิกภายในกิลด์มีความซับซ้อนขึ้นกว่าเดิมเช่นเดียวกัน แน่นอนว่ามันอาจจะมีสายลับของที่อื่น ๆ หรือสายลับของศัตรูแฝงเข้ามาในคราบของสมาชิกใหม่เหล่านี้ด้วย
ด้วยเหตุนี้ลู่หยางจึงจำเป็นจะต้องสร้างกลุ่มคนที่จงรักภักดีต่อเขาอย่างแท้จริง และคนกลุ่มนี้จะต้องไม่มีทางทิ้งเข้าไปไหนแม้ว่าพวกเขาจะต้องตกอยู่ในความกดดันแค่ไหนก็ตาม
“เอาล่ะ ช่วงนี้ทุกคนพาลูกน้องแยกย้ายกันไปเก็บเลเวลก่อน ฉันยังมีธุระที่ต้องกลับไปจัดการ” ลู่หยางกล่าว
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าลู่หยางคงจะไปหาฆ่าบอสที่ไหนสักที่แน่ ๆ พวกเขาจึงต่างพยักหน้ารับกันอย่างเข้าใจ
“หัวหน้าไว้ใจได้เลยครับ ถ้าหากกิลด์มีปัญหาอะไรพวกเราจะรีบรายงานคุณในทันที” ฉิงชางกล่าว
ลู่หยางพยักหน้าก่อนที่เขาจะหยิบม้วนคัมภีร์ขึ้นมาเพื่อเทเลพอร์ตไปยังเมืองเซนต์กอลล์
—
บริเวณลานกว้างกลางเมืองเซนต์กอลล์มีผู้เล่นเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ และผู้เล่นส่วนใหญ่ที่ยืนอยู่ในบริเวณนี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เล่นใหม่ที่เพิ่งเข้าเกมได้ไม่นาน
ชายหนุ่มเดินตามถนนใหญ่ไปจนถึงร้านค้าประมูล จากนั้นเขาก็ได้ทำการค้นหาสมุนไพรจำนวน 12 ชนิด
สมุนไพรเหล่านี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุดิบสำหรับการสร้างน้ำยาเอคโคออฟเมจิก และถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นวัตถุดิบระดับสูง แต่ในช่วงนี้พวกมันก็ยังไม่มีความต้องการของตลาด มันจึงมีสินค้าค้างอยู่ในร้านค้าประมูลเป็นจำนวนมาก
ชายหนุ่มทำการกว้านซื้อทุกอย่างมาจนหมด จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังสมาคมนักปรุงยาแล้วนำสมุนไพรทุกอย่างออกมาทำการทดลอง
แม้จะเป็นในชาติก่อนเขาก็ไม่เคยได้ปรุงน้ำยาเอคโคออฟเมจิกเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะราคาของสูตรน้ำยาชนิดนี้เคยพุ่งขึ้นไปสูงถึง 5,000 เหรียญทอง แต่ถึงแม้ว่ามันจะมีคนตั้งรับแต่มันก็ไม่มีใครคิดจะเอาสูตรน้ำยามาขาย
อย่างไรก็ตามหลักการปรุงยาทุกชนิดก็มีความคล้ายคลึงกัน ดังนั้นตราบใดก็ตามที่เขาสามารถควบคุมตัวแปรทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องหาวิธีปรุงน้ำยาขึ้นมาได้
หลังจากลองผิดลองถูกอยู่ประมาณ 20 นาที เขาก็ปรุงน้ำยาเอคโคออฟเมจิกขวดแรกได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็เริ่มทดลองใช้หม้อขนาดใหญ่ ซึ่งหลังจากเวลาผ่านพ้นไป 2 ชั่วโมง ลู่หยางก็ปรุงยาได้ทั้งสิ้น 100 ชุดโดยที่น้ำยา 1 ชุดจะถูกแบ่งออกเป็นน้ำยา 30 ขวด
“สาวน้อยทำอะไรอยู่?” ลู่หยางติดต่อไปหาฮั่นอิ่ง
“หนูกำลังหาเอมเมอรัลด์คริสตัลกับพวกฮั่นเฟยอยู่ค่ะ” ฮั่นอิ่งตอบ
“บอกให้ทุกคนมาที่ป้อมคริมสัน เดี๋ยวพี่จะพาพวกเธอไปที่ใหม่” ลู่หยางกล่าว
“ได้ค่ะ” ฮั่นอิ่งตอบ ก่อนที่เธอจะนำทุกคนเทเลพอร์ตไปยังป้อมปราการคริมสัน
—
“พี่จะพาพวกเราไปเก็บเลเวลใช่ไหมครับ?” ฮั่นเฟยถาม
“ใช่ ฉันจะพาพวกนายไปเก็บเลเวล แต่ที่นั่นอยู่ไกลมากพวกเราต้องใช้เวลาเดินทางกันประมาณ 1 วัน” ลู่หยางกล่าว
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่พวกเราได้เก็บเลเวลด้วยกันแค่นั้นก็ดีแล้ว” ฮั่นอิ่งกล่าว
ลู่หยางรู้สึกอบอุ่นอยู่ภายในใจ ก่อนที่เขาจะพาสามพี่น้องตระกูลฮั่น, เสี่ยวเหลียงและมู่หยูมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของป้อมปราการคริมสัน
1 วันครึ่งต่อมา ลู่หยางก็พาทุกคนมาจนถึงแผนที่สปิริตอะคาเดมี่ได้สำเร็จ
แผนที่แห่งนี้เคยเป็นอารยธรรมที่รุ่งเรืองที่สุดของมนุษย์และเป็นสถานที่ที่เคยรวบรวมนักเวทผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่ามนุษย์เอาไว้อีกด้วย
ขณะเดียวกันเพื่อที่เหล่านักเวทจะเข้าถึงพลังที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พวกเขาจึงเริ่มทำการศึกษาเวทมนตร์จากเผ่าพันธุ์ที่เคยอาศัยอยู่บนดาวดวงนี้ในยุคโบราณเมื่อก่อน ซึ่งสัตว์เหล่านั้นก็ได้แก่แมงมุมยักษ์, ตั๊กแตนยักษ์และไดโนเสาร์
ในการทดลองครั้งหนึ่งพวกเขาได้พยายามชุบชีวิตราชาแมลงคานูโดะขึ้นมา โดยแมลงตัวนี้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่มีความสูงถึง 10 เมตร
อย่างไรก็ตามหลังจากคานูโดะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้สำเร็จ มันก็ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเหล่านักปราชญ์ มันจึงอาศัยจังหวะตอนไม่มีใครเห็นในการพ่นไข่ที่บรรจุวิญญาณของมันเอาไว้ออกจากปาก
หลังจากนั้นคานูโดะก็บุกเข้าไปภายในห้องกักเก็บพลังงานและทำการดูดซับพลังงานเวทมนตร์ที่ถูกเก็บสะสมเอาไว้เพียงคนเดียว พลังงานนี้มากเพียงพอที่จะทำให้เหล่าจอมเวทย์ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาได้เป็นเวลาถึง 3 ปี มันจึงเป็นพลังงานมากพอที่คานูโดะจะสร้างมอนสเตอร์ขึ้นมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อทำการสังหารมนุษย์ส่วนใหญ่ภายในสปิริตอะคาเดมี่หลงเหลือเอาไว้เพียงแค่มนุษย์ที่รู้จักวิธีการฟื้นคืนชีพเท่านั้น
เมื่อมนุษย์รู้เรื่องนี้พวกเขาก็ทำการยกทัพมาโจมตี แต่น่าเสียดายที่คานูโดะได้ฟื้นคืนชีพแมลงโบราณขึ้นมาเป็นจำนวนมาก มันจึงทำให้กองทัพมนุษย์พ่ายแพ้อย่างยับเยินแล้วพวกเขาก็ตัดสินใจละทิ้งที่แห่งนี้ไปในที่สุด
นับตั้งแต่นั้นมาสปิริตอะคาเดมี่ก็ได้กลายเป็นสวรรค์ของเหล่าแมลง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 195
- 👍 ถูกใจ


แสดงความคิดเห็น